เมื่อความเป็นอิสระ…ไม่ได้แปลว่าเสรี: ธนาคารกลางในยุคการเมืองแทรกซ้อน

เมื่อ 17 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ลงใน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาว่า การปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เร็วพอ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

ต่อมาในวันที่ 22 เมษายน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงว่าเขาไม่มีเจตนาจะปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากที่การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปลดประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ ของเขาส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างหนัก สะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ

แต่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ยังโจมตีพาวเวลล์อีกครั้ง โดยเรียกเขาว่า “คนทื่อสิ้นดี” ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด พร้อมย้ำว่าเขาไม่มีเจตนาจะถอดถอนพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ และเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ได้โจมตีพาวเวลล์อย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยเรียกเขาว่า “คนโง่” หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้

ประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความไม่ลงรอยกันตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1.0 โดยเขามองว่าการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในขณะนั้นทำให้นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของเขาไม่ได้ผล เช่นเดียวกันกับในสมัยทรัมป์ 2.0 ที่เขามีความเห็นต่างในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเห็นได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีการวิพากษ์การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตามภายใต้เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงในปัจจุบัน ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองและธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องและจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

เมื่อครั้งความเป็นอิสระของธนาคารกลางเคยขยับใกล้เส้นแบ่งอำนาจตามกฎหมาย

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2550-2551 เป็นช่วงที่บทบาทของธนาคารกลางดูเหมือนว่าจะขยายตัวมากขึ้นเกินกว่าขอบเขตเดิมก่อนวิกฤตซึ่งเน้นแค่การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยในการควบคุมเงินเฟ้อ

ในปี 2551 พอล โวล์เกอร์ (Paul Volcker) อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ผู้เป็นที่จดจำในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ได้กล่าวในที่ประชุม Economic Club of New York โดยเป็นการแสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้อำนาจอย่างเต็มที่จนเกือบเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดและอำนาจโดยนัยที่มีอยู่ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ดำเนินการช่วยเหลือโดยใช้มาตรการฉุกเฉินที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อป้องกันการล้มละลายของสถาบันการเงินอย่าง Bear Stearns จนถูกมองว่าเป็นการเข้าไปช่วยเหลือบริษัทเดียวแบบเฉพาะเจาะจง เขามองว่าการดำเนินการดังกล่าวของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความเสี่ยงในการละเมิดหลักการและแนวปฏิบัติที่ฝังรากลึกของธนาคารกลางจากการเป็นผู้ให้กู้รายสุดท้าย (lender of last resort) กลายเป็นผู้ค้ำประกันระบบการเงิน และการดำเนินการเหล่านี้อาจถูกตีความว่าเป็นคำมั่นโดยนัยว่าธนาคารกลางจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต เมื่อเกิดความปั่นป่วนในระบบการเงินในอนาคต ซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีใครให้ความสนใจในคำเตือนของโวลเกอร์อย่างจริงจัง  

ธนาคารกลางออกนอกกรอบหน้าที่หลัก?       

ในปีนี้บทบาทของธนาคารกลางถูกตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเควิน วอร์ช (Kevin Warsh) นักวิชาการอาวุโสด้านเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันฮูเวอร์ (Hoover Institution) และอดีตคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ ระหว่างปี 2549–2554 กล่าวในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาต่อที่ประชุม Group of Thirty (G30) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเขาระบุว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ ได้บั่นทอนความน่าเชื่อถือของตัวเองด้วยการหลงออกนอกกรอบภารกิจด้านรักษาเสถียรภาพราคา เขามองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ กลายเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่หลากหลายแทนที่จะเป็นธนาคารกลางที่มีขอบเขตจำกัดอย่างที่ควรจะเป็น วอร์ชมองว่าธนาคารกลางควรหลีกเลี่ยงการให้ความเห็นในเรื่องการคลัง แต่ถ้าจะก้าวข้ามเส้นนั้นก็ต้องมีความสมดุลในเชิงการกระทำและคำพูด แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ดูเหมือนจะล้ำเส้นนโยบายการเงินไปสู่นโยบายการคลังผ่านการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) เป็นเวลานานหลังวิกฤตปี 2551 ซึ่งช่วยให้รัฐบาลกู้เงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติ จึงเท่ากับเป็นการดำเนินการอุดหนุนการขาดดุลงบประมาณโดยปริยาย จนกระทั่งธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และมีส่วนสำคัญทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความฟุ่มเฟือยทางการคลังและทำให้การดำเนินนโยบายการคลังของสหรัฐฯ มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยง

นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไปยุ่งเกี่ยวกับนโยบายที่นอกเหนือจากนโยบายการเงิน นั่นคือการดำเนินนโยบายด้านสังคม เช่น นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงของประชากรกลุ่มต่างๆ ในมิติต่างๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือภารกิจดั้งเดิมของธนาคารกลาง วอร์ชมองว่าประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นคำถามเชิงการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองไม่ใช่ธนาคารกลาง การเข้ามายุ่งถือเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองตั้งคำถาม

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมักถูกกล่าวอ้างทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างธนาคารกลางและฝ่ายการเมือง วอร์ชมองว่าความเป็นอิสระไม่ใช่เป้าหมายนโยบายในตัวของมันเอง แต่มันคือเครื่องมือเพื่อบรรลุผลลัพธ์เชิงนโยบายที่สำคัญและเฉพาะเจาะจง ทุกครั้งที่ธนาคารกลางถูกวิจารณ์ ทุกฝ่ายจะออกมาประกาศและอ้างถึงความเป็นอิสระของธนาคารกลางเป็นลำดับแรกและเป็นเหตุผลหลักในการที่เราไม่ควรเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์หรือแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลาง ทั้งนี้ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่าธนาคารกลางจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระในเชิงปฏิบัติการ แต่สิ่งที่ควรพึงระวังคือความเป็นอิสระของธนาคารกลางไม่ได้หมายความว่าเป็นความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์​ที่ไม่สามารถตั้งคำถาม ตรวจสอบ หรือติเตือนหากมีการดำเนินนโยบายผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่เชื่อในความเป็นอิสระของธนาคารกลางโดยสมบูรณ์ควรเปิดใจ เมื่อธนาคารกลางโดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย โดนวิพากษ์วิจารณ์ในการดำเนินงานที่ผิดพลาด

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางในสายตาการเมืองไทย

ในส่วนของประเทศไทย ความเห็นต่างในการดำเนินนโยบายระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลังมีปรากฎให้เห็นเช่นกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ดูจะมีความรุนแรงน้อยกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีกันอย่างเปิดเผย ทั้งยังเป็นการโจมตีไปที่ตัวบุคคล ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมีลักษณะเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างเชิงนโยบายและกดดันกันผ่านสื่อ ไม่เผชิญหน้ากันโดยตรง

ในยุครัฐบาลนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นความขัดแย้งในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ฝ่ายรัฐบาลอยากให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้กับประชาชน สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพราะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเปราะบาง การมีต้นทุนทางการเงินที่สูงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 2.5 เป็นอัตราที่สูงเกินไป ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนั้นมีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และมองว่าถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจจะเปราะบางในบางภาคส่วน แต่การดำเนินนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายได้ โดยรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ได้ออกมากดดันผ่านสื่อหลายครั้งที่จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ตอบสนองต่อแรงกดดันจากฝ่ายรัฐบาล ทำให้นายกฯ เศรษฐาถึงกับเคยกล่าวถึงความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ว่าถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะยึดความเป็นอิสระ แต่ความเป็นอิสระนั้นไม่ได้หมายถึงเป็นอิสระจากความลำบากของประชาชน

ต่อเนื่องมาถึงประเด็นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางในการดำเนินโครงการของรัฐบาล ทั้งแหล่งที่มาของงบประมาณจากการออก พรบ. กู้เงิน รวมทั้งการแจกเงินให้กับคนกลุ่มใหญ่กว่า 50 ล้านคน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าควรแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางเท่านั้น จนในที่สุดรัฐบาลต้องปรับรูปแบบโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมทั้งจุดยืนที่สะท้อนออกมาจากคำกล่าวของแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยแพทองธารได้กล่าวกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อ 3 พฤษภาคม 2567 ว่ากฎหมายที่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาลเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานอย่างหนักเพียงข้างเดียวจนหนี้สาธารณะปรับสูงขึ้น

ประเด็นนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากและมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางหากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ทำให้ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จากพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นออกมาแก้ต่างแทนหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ใช่องค์กรหรือสถาบันที่ประชาชนจะกล่าวถึง วิพากษ์วิจารณ์ หรือแตะต้องไม่ได้

ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายธนาคารกลางถือเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกตระหนักซึ่งไม่ได้มีอะไรใหม่ การแสดงความคิดเห็นวิพากษ์การทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสิ่งที่ควรทำได้ หากเป็นการวิพากษ์ในการทำงานที่ผิดพลาด แต่ผู้พูดผิดเพียงเพราะไปเชื่อมโยงความเป็นอิสระของธนาคารกลางกับความไม่สามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพราะความเป็นอิสระไม่ได้เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยตัวของมันเอง

ในที่สุดเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กระแสความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกระบวนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยถูกมองว่าฝ่ายการเมืองพยายามเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานบอร์ดคนใหม่ และคาดว่ากระแสความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อถึงขั้นตอนกระบวนการสรรหาผู้ว่าธนาคารกลางแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่จะมาแทนที่ผู้ว่าการคนปัจจุบันที่ใกล้จะหมดวาระในไม่ช้า ซึ่งฝ่ายการเมืองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน พิชัย ชุณหวชิร เคยออกมาระบุว่าผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ต้องเป็นคนมีแนวคิดทันสมัยในโลกปัจจุบันที่ตลาดเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และต้องการคนที่สามารถทำงานร่วมกับรัฐบาลได้อย่างใกล้ชิด

ธนาคารแห่งประเทศไทยยืนหยัดต้านแรงกดดันทางการเมืองได้ดี

จนถึงปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถยืนหยัดต้านกระแสแรงกดดันทางการเมืองได้เป็นอย่างดี รางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 จาก Central Banking เป็นเครื่องการันตีการรักษาจุดยืนของธนาคารแห่งประเทศไทยในการคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายทางการเงิน เศรษฐกิจจะแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานที่ดีได้เมื่อธนาคารกลางสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างอิสระ ปราศจากแรงกดดันทางการเมืองในระยะสั้น ยึดหลักเศรษฐศาสตร์และข้อมูลในการดำเนินนโยบายอย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตามก็มิได้หมายความว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางหมายถึงการที่ธนาคารกลางสามารถทำอะไรได้ตามใจและมีอิสระโดยชอบทั้งในมิติทางกฎหมายและในเชิงปฏิบัติ หากเราตีความเช่นนี้จะเป็นการตีความที่กำลังเข้าใจผิดอย่างรุนแรง ในทางตรงกันข้ามก็มีตัวอย่างให้เห็นอย่างมากมายในการที่ผู้นำทางการเมืองออกมาเรียกร้องให้ธนาคารกลางใช้มาตรการทางการเงินในการกระตุ้นนโยบายเศรษฐกิจเพื่อหวังผลระยะสั้นและผลทางการเมือง หากธนาคารกลางดำเนินการตามแรงกดดันก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แย่ในระยะยาว เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หรือเศรษฐกิจชะลอตัวลง

หากจะพิจารณาข้อสังเกตของวอร์ชเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางและความเสี่ยงในการที่ธนาคารกลางดำเนินนโยบายออกจากกรอบหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน จะเห็นว่าถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างการเข้าถึงของประชากรกลุ่มต่างๆ ในมิติต่างๆ เช่นกัน แต่การดำเนินการที่ผ่านมาไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยการเมือง และไม่ได้มีการเปลี่ยนจุดยืนเมื่อการเมืองเปลี่ยนเหมือนในยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งทำให้เกิดข้อวิพากษ์ถึงการออกนอกกรอบหน้าที่หลักของธนาคารกลาง

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอนาคต

ภายใต้การตั้งคำถามของวอร์ชเกี่ยวกับบทบาทของธนาคารกลางที่ดูเหมือนจะออกนอกกรอบหน้าที่หลักและการล้ำเส้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายในมิติทางการเมือง รวมไปถึงการตีความความเป็นอิสระของธนาคารกลางแบบสุดโต่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจมีความจำเป็นต้องตระหนักในประเด็นเหล่านี้เช่นเดียวกัน เช่นในการเข้าไปมีบทบาทขับเคลื่อนนโยบายหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ประเด็นทองคำหลวงตามหาบัว หรือประเด็นร้อนอย่างเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (กาสิโน) ซึ่งอยู่นอกกรอบหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้องดำเนินการและรักษาระยะอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้บทบาทหรือความคิดของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นถูกแปลงเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางนโยบาย ผู้ผดุงความยุติธรรม มากกว่าเป็นผู้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

สักวันหนึ่งทั้งหมดนี้อาจจะนำเราไปถึงจุดที่เกิดข้อวิพากษ์เรื่องการออกนอกกรอบอำนาจหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินนโยบายนั้นออกจากกรอบภารกิจหลักดั้งเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญการตั้งคำถามจากฝ่ายการเมืองและเข้าไปคลุกฝุ่นในประเด็นการเมือง ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินที่เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องเฟ้นหาว่าที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะนำพาองคาพยพผ่านมรสุมแรงกดดันทางการเมืองที่รอคอยอยู่ข้างหน้าและตระหนักในการดำเนินการตามกรอบภารกิจหลักของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ


Volcker, P. A. (2008, April 8). Remarks at the Economic Club of New York. The Economic Club of New York. https://www.econclubny.org/documents/10184/109144/2008VolckerTranscript.pdf

Warsh, K. (2025, April 27). The high cost of the Fed’s mission creep. The Wall Street Journal. https://www.wsj.com/opinion/the-high-cost-of-the-feds-mission-creep-role-responsibility-monetary-policy-economy-20a352f8

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

Economy

19 Mar 2018

ทางออกอยู่ที่ทุนนิยม

ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผู้คนสิ้นหวังกับปัจจุบัน หวาดหวั่นต่ออนาคต และสั่นคลอนกับอดีตของตนเอง
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เสนอทุนนิยมให้เป็น ‘grand strategy’ ใหม่ของประเทศไทย

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

19 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save