ปัญญาประดิษฐ์จะพลิกโฉมเศรษฐกิจกี่โมง?

ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 การเปิดตัวของแชตจีพีที (ChatGPT) ทำให้คนหมู่มากเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์ล้ำสมัยได้เพียงปลายนิ้วคลิก ความสนใจที่หลั่งไหลราวไฟลามทุ่งทำให้แชตจีพีทีมีผู้ใช้งานต่อเดือนแตะ 100 ล้านคนภายในเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแวดวงปัญญาประดิษฐ์ก็อยู่ในสปอตไลต์ที่ไม่ว่าใครๆ ต่างก็จับตามอง

นักอนาคตศาสตร์ต่างตบเท้าป่าวประกาศว่าปัญญาประดิษฐ์จะพลิกโฉมเศรษฐกิจของมนุษยชาติไปตลอดกาล

พวกเขาคาดว่าเจ้าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ที่สามารถเสกข้อความขึ้นมาภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาอีเมลสำหรับการทำงาน บทความวิชาการ หรือแม้แต่การเขียนกาพย์กลอนโคลงต่างๆ จะมาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของมนุษย์ที่ทำให้ผลิตภาพพุ่งกระฉูด ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดการณ์ว่าปัญญาประดิษฐ์จะทำให้จีดีพีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ในทศวรรษหน้า ส่วนบริษัทที่ปรึกษาอย่างแมคคินซีย์ (McKinsey) มองว่าปัญญาประดิษฐ์จะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกพุ่งขึ้นมากกว่าปีละ 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 576 ล้านล้านบาท)

แต่ดารอน อาเซโมกลู (Daron Acemoglu) หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคนล่าสุดที่โด่งดังในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สถาบันมองต่างออกไป เขาคือคนหนึ่งที่คร่ำหวอดในงานวิจัยเพื่อตอบคำถามว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไร และใครบ้างที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตนั้น ผลงานชิ้นล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า The Simple Macroeconomics of AI (เศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้นว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์) ประมาณการว่าปัญญาประดิษฐ์จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตเพียง 1.1 ถึง 1.6 เปอร์เซ็นต์ในทศวรรษหน้า โดยผลิตภาพเพิ่มขึ้นเพียง 0.05 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

บางคนมองว่าเขาคือฝ่ายมองโลกในแง่ร้าย แต่อาเซโมกลูให้สัมภาษณ์ว่าเขาเพียงมองโลกตามความเป็นจริง

แล้วความเป็นจริงหน้าตาเป็นอย่างไร ปัญญาประดิษฐ์จะพลิกโฉมเศรษฐกิจเมื่อไร แล้วใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบ ผมขอชวนผู้อ่านมาหาคำตอบร่วมกัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่ามันอาจไม่ได้สวยหรูดูดีอย่างที่หลายคนคิด

ภาคธุรกิจใช้ปัญญาประดิษฐ์มากน้อยแค่ไหน

วิธีการศึกษาของอาเซโมกลูคือการแยกส่วนกระบวนการทำงานออกเป็นงานย่อย (task) แล้วใช้ผลการศึกษาจากงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่างานย่อยชนิดใดบ้างที่เสี่ยงจะถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยสรุปได้ว่างานย่อยที่อาจถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ในตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตา มีเพียงงาน 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบแบบคุ้มค่าคุ้มทุน

อาเซโมกลูเขียนอธิบายในบทความของเขาว่างานที่ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างสามารถทำได้คืองานย่อยที่สามารถเรียนรู้ได้ง่าย (easy-to-learn tasks) หมายถึงงานที่ตรงไปตรงมาและมีผลลัพธ์ชัดเจน แต่เมื่อปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ มันก็จะถูกใช้กับงานที่ยากยิ่งขึ้นซึ่งอาจไม่ช่วยให้แง่ของการเพิ่มผลิตภาพมากนัก

ข้อค้นพบดังกล่าวใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริง หนังสือพิมพ์ดิอีโคโนมิสต์ (The Economist) เผยแพร่บทความชี้ให้เห็นว่าบริษัทส่วนใหญ่ยังลังเลที่ใช้ลงทุนกับการหาทางประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในบริษัท แม้ว่าพนักงานจำนวนมากจะระบุว่าเคยใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็ตาม สำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ เปิดเผยในปี 2024 ว่าธุรกิจในอเมริกาเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยในการผลิตสินค้าและบริการ ส่วนการสำรวจโดยบริษัทที่ปรึกษาอย่างดีลอยท์ (Deloitte) ระบุว่าบริษัทส่วนใหญ่ใน 14 ประเทศเปลี่ยนโครงการนำร่องเพื่อประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพียง 1 ใน 5 สู่การใช้งานจริง

ปัญหาสำคัญคือความไม่แน่นอนเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เนื่องจากการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าอัลกอริธึมสามารถนำไปใช้งานได้อย่างปลอดภัยต้องใช้เงินมหาศาล และถ้าต้องการสร้างเซอร์เวอร์สำหรับใช้ภายในบริษัทเองเงินลงทุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่รายได้ที่มากขึ้นและต้นทุนที่ลดลงอาจไม่เกิดขึ้นจริง ยังไม่นับความเสี่ยงเรื่องกฎระเบียบ ทั้งเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องในประเด็นความเป็นส่วนตัว อคติจากอัลกอริธึม การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และความเสี่ยงหากปัญญาประดิษฐ์เกิดอาการ ‘หลอน’ จนบริษัทเสียชื่อเสียง

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ผลการศึกษาของอาเซโมกลูก็นับว่าไม่ขายฝันและน่ารับฟังไม่น้อย

แล้วปัญญาประดิษฐ์จะส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำอย่างไร

นอกจากประเด็นเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว อีกหนึ่งแง่มุมที่อาเซโมกลูให้ความสำคัญคือความเหลื่อมล้ำที่อาจมาพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์

ฉากทัศน์แรกของอาเซโมกลูคือ การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในฐานะผู้ช่วยมนุษย์ซึ่งจะไม่นำไปสู่การปลดคนงานจำนวนมากอย่างที่หลายคนกังวลแต่เป็นการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานแรงงานเดิมให้มีผลิตภาพมากยิ่งขึ้น มุมมองนี้ได้รับแรงหนุนจากการศึกษาชิ้นแรกๆ ที่ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์กับคอลเซ็นเตอร์แล้วพบว่าปัญญาประดิษฐ์จะช่วยเพิ่มผลิตภาพให้กับพนักงานใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ให้ใกล้เคียงกับพนักงานประสบการณ์สูง หรือกล่าวได้ว่าช่วยลด ‘ช่องว่างทางทักษะ’ อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาประยุกต์ใช้มากยิ่งขึ้น ข้อสังเกตจากภาคธุรกิจคือเหล่าหัวกะทิจะได้ประโยชน์มหาศาลจากปัญญาประดิษฐ์ไม่ต่างจากเสือติดปีกเนื่องจากสามารถถ่ายโอนงานย่อยที่น่าเบื่อหน่ายและซ้ำซากให้กับปัญญาประดิษฐ์ พวกเขาจึงเวลาผลิตงานที่ต้องอาศัยทักษะและพรสวรรค์ของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผลิตภาพของเหล่าพนักงานแถวหน้าของบริษัทยิ่งทิ้งห่างจากพนักงานทั่วไป

แม้จะฟังดูเลวร้าย ถึงอย่างนั้นฉากทัศน์แรกก็แย่นักหากเทียบกับฉากทัศน์ที่สองซึ่งบริษัทพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อมาทดแทนมนุษย์ โดยอาเซโมกลูมองว่านี่คือความพยายามที่ผิดที่ผิดทาง เพราะความพยายามสร้างปัญญาประดิษฐ์อเนกประสงค์ (general artificial intelligence) สุดท้ายก็จะได้ปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งกว่าคนเพียงเล็กน้อยแต่ต้องแลกกับการที่คนจำนวนมากต้องตกงาน โดยมีฝ่ายเดียวที่ได้ประโยชน์นั่นคือบริษัทที่เปลี่ยนลูกจ้างมนุษย์เป็นเอไอที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมง 7 วัน ไม่เกี่ยงงาน และไม่เรียกร้องสวัสดิการใดๆ

ลองนึกภาพคอลเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์โดยอาจมีพนักงานมนุษย์หลงเหลืออยู่จำนวนหยิบมือ ผมเชื่อว่าเราทุกคนน่าจะทราบดีถึงความน่ารำคาญใจที่ต้องฝ่าด่านอรหันต์เพื่อที่จะได้คุยกับมนุษย์ซึ่งแก้ไขปัญหาให้เราได้จริงๆ อาเซโมกลูเรียกความพยายามเช่นนี้ว่าเป็น ‘เทคโนโลยีงั้นๆ’ (so-so technology) ที่ทำให้คนตกงาน ผู้บริโภครำคาญใจ ส่วนบริษัทได้ประโยชน์เพราะประหยัดค่าใช้จ่าย

แต่ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์จะเบนเข็มมาพัฒนาฉากทัศน์ที่สองแบบเต็มกำลัง โดยเรือธงของเหล่าบริษัทปัญญาประดิษฐ์คือการสร้าง ‘พนักงานปัญญาประดิษฐ์’ (agentic AI) ซึ่งนายจ้างสามารถสั่งงานได้และมันก็จะทำงานให้ตามคำสั่งราวกับเป็นพนักงานหนึ่งคน โดยเหล่าบริษัทคาดว่าเจ้าพนักงานปัญญาประดิษฐ์จะสร้างกระแสเงินก้อนใหญ่ให้กับบริษัท เช่น โอเพนเอไอ (Open AI) ผู้ประดิษฐ์แชทจีพีทีที่เราคุ้นเคยกันดี ก็คาดว่าจะเปิดตัวบริการพนักงานปัญญาประดิษฐ์ “รายได้สูงที่ทำงานด้านความรู้” ในราคาเดือนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 68,000 บาท) แต่หากต้องการพนักงานปัญญาประดิษฐ์ “นักพัฒนาซอฟต์แวร์” ราคาจะอยู่ที่เดือนละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 339,000 บาท)

แม้จะฟังดูเป็นเรื่องห่างไกลเกินจริง แต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แวดวงปัญญาประดิษฐ์ก็สั่นสะเทือนอีกครั้งจากการเปิดตัวมานัส (Manus) ปัญญาประดิษฐ์คลื่นลูกใหม่จากประเทศจีนที่ทำงานเป็นพนักงานปัญญาประดิษฐ์ซึ่งสามารถรับคำสั่งของเราแล้วไปดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ อีกทั้งยังผสานพลังโมเดลภาษาขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคล็อด (Claude) ของแอนโทรปิก (Anthropic) หรือเควน (Qwen) ของอาลีบาบา คล้ายกับการให้หลายคนร่วมกันคิดแก้ปัญหา

แม้ว่าเจ้ามานัสอาจไม่สมบูรณ์แบบและมีปัญหาด้านการใช้งานมากมาย แต่อย่างน้อยมันก็ฉายภาพให้เราเห็นว่าพนักงานปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นได้และเกิดขึ้นจริง และหากวันหนึ่งมันพัฒนาศักยภาพได้ใกล้เคียงหรือมากกว่ามนุษย์ การทำงานที่เราคุ้นชินนั้นก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

ส่วนพนักงานปัญญาประดิษฐ์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น หรือสามารถใช้การได้เชิงพาณิชย์เมื่อไรก็เป็นเรื่องที่ยากจะหยั่งรู้ได้ แต่หากเจ้าปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถก้าวข้ามความท้าทายจนเข้ามาทำงานแทนที่เราได้จริง ตัวเลขผลิตภาพที่อาเซโมกลูประมาณการไว้ก็นับว่าสมเหตุสมผล

แล้วผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าปัญญาประดิษฐ์จะมาแทนที่พวกเราได้จริงๆ หรือเป็นเพียงกระแส ‘เห่อ’ เทคโนโลยีที่อีกไม่นานก็คงซบเซาลงไป


เอกสารประกอบการเขียน

The Simple Macroeconomics of AI

A new look at the economics of AI

Daron Acemoglu: What do we know about the economics of AI?

A Nobel laureate on the economics of artificial intelligence

How AI will divide the best from the rest

With Manus, AI experimentation has burst into the open

What happened to the artificial-intelligence revolution?

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save