วิธีการงบประมาณ การเรียนรู้

ว่าด้วย ‘งบประมาณ’ ในโลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่

วิธีการงบประมาณ การเรียนรู้

คำว่า ‘งบประมาณ’ เป็นคำที่ฟังดู ‘ใหญ่’ มาก จนหลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นของ ‘ไกลตัว’ – โดยเฉพาะ ‘งบประมาณแผ่นดิน’ ที่ประชาชนตัวเล็กตัวน้อยเข้าไปแตะต้องอะไรไม่ได้

แน่นอนว่างบประมาณเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะเกี่ยวพันกับเงินมหึมามหาศาล แถมยังเป็น ‘เงินสาธารณะ’ ที่ไม่ใช่ใครมีอำนาจขึ้นมาจะดึงไปใช้อะไรก็ใช้ได้ทันที แต่ต้องผ่านการทำงานที่เรียกว่า ‘วิธีการงบประมาณ’ หลายขั้นตอน จึงต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ที่จะพูดถึงเรื่องงบประมาณในบทความนี้ ไม่ได้พูดในฐานะคนที่เชี่ยวชาญนะครับ แต่อยากชวนคุณ ‘ถอยตัวเอง’ ออกมามองดู ‘วิธีการงบประมาณ’ โดยใช้มุมมอง bird’s-eyes view เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ เผื่อจะพบแง่มุมใหม่ๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณในโลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนผันพรวดๆ รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มอย่างในทุกวันนี้!

คงต้องยอมรับนะครับ ว่า ‘รัฐราชการ’ ถูกวิพากษ์มาตลอดศก – ว่าทำอะไรๆ ชักช้าไม่ค่อยทันการสักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นมิติของ ‘การเรียนรู้’ ในโลกยุคใหม่ เราจะเห็นเลยว่าเทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างรวดเร็วมากจนแทบจะเร็วเหนือเสียงกันแล้ว

คำถามคือ ความเร็วในระดับนี้ วิธีการงบประมาณแบบเดิมๆ จะตามทันหรือเปล่า!

ยกตัวอย่างเช่น ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว buzzword หรือคำที่ฮือฮากันมาก คือคำว่า Metaverse คนทำงานภาครัฐหลายคนในหลายหน่วยงานบอกผมว่า กำลังคิดโครงการการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse หลายโครงการ ฟังแล้วน่าตื่นเต้นไม่หยอก

แต่อย่างที่ทุกคนเห็นนั่นแหละครับ Metaverse ฮือฮาอยู่พักเดียว ก็เกิดคลื่นเทคโนโลยีใหม่ถาโถมเข้ามาถมทับ คือ Generative AI ซึ่งหากมองในมิติการเรียนรู้ รัฐไทยควรต้องหางบประมาณมาสร้างกลไกการเรียนรู้ในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การใช้งาน Generative AI ไปจนถึงการถกเถียงกันเรื่องจริยศาสตร์หรือ AI Ethics ที่ล่วงล้ำก้ำเกินเข้ามาในพรมแดนการละเมิดลิขสิทธิ์และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ปัญหาคือ – วิธีการงบประมาณของรัฐไทย ทำให้โครงการต่างๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่ละหน่วยงานต้องเตรียมทำงบประมาณกันล่วงหน้าตั้งแต่ปีมะโว้ โดยทั่วไปแล้วล่วงหน้าเกือบสองปี ดังนั้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเทรนด์การเรียนรู้ขึ้นมา งบประมาณจึงมักไม่สามารถ ‘ตอบสนอง’ ต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที บ่อยครั้งต้องหันไปใช้ ‘วิธีพิเศษ’ เช่น การพึ่งพางบกลาง แต่ก็มีปัญหาซับซ้อนหลายอย่างในทางปฏิบัติ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองไม่น้อย คนทำงานจำนวนมากจึงไม่ค่อยอยากพาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะกลัวจะโดนตรวจสอบในภายหลังเมื่อสายลมแห่งการเมืองเปลี่ยนไป

แล้วจะทำอย่างไรดี?

ถ้าจะพูดถึงระบบงบประมาณกันให้ถึงแก่น ก็ต้องย้อนกลับไปดู ‘ประวัติศาสตร์งบประมาณ’ ซึ่งสลับซับซ้อนไม่น้อย มีหลักฐานว่า วิธีการงบประมาณถูกนำมาใช้ครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 1572 แต่ที่มักกล่าวถึงกันบ่อยๆ คือประวัติศาสตร์งบประมาณของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 16-17 โดยเฉพาะในยุคของเสนาบดีคลัง โรเบิร์ต วอลโพล (Robert Walpole) ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว แนวคิดเรื่องการจัดการงบประมาณให้เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของกษัตริย์อังกฤษด้วย เนื่องจากช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์ ‘ฟองสบู่แตก’ เรียกว่า ‘ฟองสบู่ทะเลใต้’ (South Sea Bubble) กล่าวคือบริษัท South Sea Company ได้รับสัมปทานจากราชวงศ์สเปนในการผูกขาดการค้าทาสจากแอฟริกาและอเมริกาใต้ แต่ปัญหาคือทำเงินไม่ได้จริง ทว่าราคาหุ้นของบริษัทกลับพุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าจอร์จที่หนึ่งของอังกฤษเป็นผู้อุปถัมภ์บริษัท และลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรที่ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งคือ บริษัทนี้ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ จัดการหนี้สาธารณะของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายทางการเงินที่กษัตริย์อังกฤษสนับสนุน แต่เมื่อทำเงินไม่ได้จริง สุดท้ายก็เป็นแค่ฟองสบู่ที่แตกออกมาจนเกิดวิกฤต วอลโพลจึงต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว โดยเรื่องหนึ่งที่เขายื่นมือเข้ามาจัดการก็คือเรื่องงบประมาณนี่แหละครับ

ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่งบประมาณหรือการจัดการงบประมาณถูกนำมาใช้เชื่อมโยงกับนโยบายการคลังของรัฐบาล และทำให้เห็นว่า คำว่า ‘งบประมาณ’ นั้น มีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของ ‘การปกครอง’ หรือ ‘การเมือง’ อย่างแยกจากกันไม่ได้

แต่เรื่องงบประมาณไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะกว่าจะมาเป็น ‘งบประมาณสมัยใหม่’ (modern budget) อย่างที่เรารู้จักกัน ก็ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี คือจากปี 1721 มาสำเร็จเอาในปี 1860 ก่อนหน้านั้น งบประมาณไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ทว่าใครจะใช้งบประมาณอะไรตอนไหน ก็ค่อยขอเป็นส่วนๆ ไป เรียกว่าไม่เป็นระบบเอาเสียเลย (มีศัพท์เรียกว่า piecemeal)

เมื่องบประมาณมาทีละนิดทีละหน่อยแบบนี้ สภาขุนนาง (คล้ายๆ วุฒิสภานี่แหละครับ) ก็สามารถปัดตกได้ง่าย จึงเกิดแนวคิดที่จะ ‘รวม’ คำของบประมาณทั้งหมดเข้าด้วยกัน ประกอบร่างออกมาเป็นกฎหมายงบประมาณเดียวในแต่ละปี โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อยุติการแทรกแซงของสภาขุนนาง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะเกิดงบประมาณสมัยใหม่ (ที่มีผู้เรียกว่า People’s Budget) ขึ้นมาได้ ก็สู้กันต่อมาอีกหลายยกจนถึงปี 1911

การต่อสู้เรื่องงบประมาณที่ยาวนานขนาดนี้ทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการงบประมาณที่ ‘ดี’ ขึ้นมา กล่าวคืองบประมาณที่ดี ต้องกำหนดเงินให้สอดคล้องกับการทำงาน ตรวจสอบได้ มีระยะเวลาทำงานที่เหมาะสม เป็นไปเพื่อการพัฒนาอะไรๆ ให้ดีขึ้น ใช้เงินอย่างประหยัด ชัดเจน ถูกต้องน่าเชื่อถือ เปิดเผยได้ และมีความยืดหยุ่น ลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของงบประมาณที่ดี คือต้อง ‘เป็นศูนย์รวมของเงินงบประมาณทั้งหมด’ พูดง่ายๆ คือ ทุกเรื่องต้องของบประมาณคราวเดียวกันไปเลย

มีผู้วิเคราะห์ว่า วิธีคิดแบบนี้มีที่มาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เรื่องงบประมาณนั่นแหละ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาจะพิจารณางบประมาณ ไม่ควรทำงบประมาณแบบ piecemeal คือเป็นเรื่องย่อยๆ ทีละเรื่องๆ แต่ควรพิจารณาแบบ ‘มัดรวม’ กันมาให้หมดทีเดียว เพื่อจะได้เปรียบเทียบแต่ละรายการได้ เช่น หน่วยโน้นขอเรื่องนั้นมา หน่วยนี้ขอเรื่องนี้มา ถ้าเทียบเคียงกันได้ก็จะรู้ว่าควรอนุมัติหรือไม่อนุมัติอะไร (มีข้อยกเว้นนะครับ เช่น งบกลางหรืองบราชการลับ – ซึ่งก็ต้องถกเถียงกันต่อ ว่าควรจะมากน้อยแค่ไหนหรือมีวิธีการตรวจสอบอย่างไร) ทำให้จัดการเรื่องงบประมาณได้ง่ายและโปร่งใสมากขึ้น

เห็นได้ชัดเลยว่า วิธีคิดเกี่ยวกับงบประมาณเช่นนี้ เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านวิธีการงบประมาณแบบเดิมที่ไม่เป็นระบบ ซึ่งถ้าถามว่าดีไหม ก็ต้องตอบว่าดีแน่ๆ นั่นแหละครับ เพราะช่วยให้เราเห็นหรือเปรียบเทียบงบประมาณแต่ละก้อนได้ในคราวเดียว การซักค้านงบประมาณต่างๆ ก็จะได้เป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่เหมือนพวกงบลับที่ถกอะไรแทบไม่ได้

แต่อีกด้านหนึ่ง วิธีการงบประมาณที่ถือว่า ‘ดี’ นี้ ก็มีข้อเสียเหมือนกันนะครับ เพราะต้องเอาทุกอย่างมา ‘ประกอบร่าง’ ให้เป็นร่างกฎหมายงบประมาณขึ้นมาก่อน จึงใช้เวลานาน (มาก) ดังนั้นคนทำงานแต่ละหน่วยแต่ละฝ่ายจึงต้องคิดล่วงหน้า แล้วส่งงานต่างๆ ไปรวมกัน ตามด้วยกระบวนการตัดทอนหรือส่งเสริมระหว่างทางอีกไม่น้อย

หากงานนั้นเป็นงานประจำหรืองานรูทีน อย่างงานบริการประชาชน เช่น การรับทำบัตรต่างๆ ที่แต่ละปีไม่เปลี่ยนแปลงมากนักก็ไม่กระไร แต่ถ้าเป็นงานด้าน ‘การเรียนรู้’ ของสังคม โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา – ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากวิธีการงบประมาณอย่างที่ถือกันว่า ‘ดี’ นี้ กลับกลายเป็นอุปสรรคเพราะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ไม่รวดเร็วเพียงพอ

คำถามถัดมาคือ – แล้วเราควรใช้ ‘วิธีการงบประมาณ’ แบบไหนกับเรื่องการเรียนรู้ เพื่อให้สังคมได้ก้าวไปข้างหน้าและ ‘สดใหม่’ กับการเรียนรู้ดีเล่า?

ก่อนจะพูดเรื่องนี้ อยากชวนคุณย้อนกลับไปดูวิธีการงบประมาณเสียก่อนนะครับ – ว่ามีแบบไหนบ้าง

วิธีการงบประมาณในโลกนี้ มีอยู่ราวๆ 5-6 ประเภท แต่ละประเภทเหมาะสมกับงาน โครงการ หรือกิจกรรมที่ต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น ‘งบประมาณแบบแสดงรายการ’ (line-item budgeting) เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือการแบ่งงบออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น งบบุคลากร (เงินเดือน ฯลฯ) งบครุภัณฑ์ งบวัสดุ ฯลฯ โดยไม่ได้บอกอะไรเราเลยเกี่ยวกับเนื้องาน แต่ควบคุมการใช้จ่ายได้ดี

นอกจากนี้ก็มีงบที่ให้ความสำคัญกับผลงาน เรียกว่า ‘งบประมาณแบบแสดงผลงาน’ (performance-based budgeting) ที่เน้นเรื่องผลการดำเนินงานหรือ KPI หรือถ้าอยากลงลึกไปกว่านั้นอีก ก็มี ‘งบประมาณแบบแสดงแผนงาน’ (program budgeting) ที่ลงไปถึงตัวแผนงานเลย แต่สองอย่างนี้ซับซ้อนและวัดผลได้ยากกว่าแบบแรก

นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีงบประมาณแบบที่ (อดีต) พรรคก้าวไกลเคยเสนอ คือ ‘งบประมาณฐานศูนย์’ (zero-based budgeting) คืองบประมาณที่เริ่มต้นใหม่ทุกปี และต้องชี้แจงทุกรายการ จึงใช้เวลาและทรัพยากรมาก อาจไม่ได้เหมาะกับทุกเรื่อง แต่ช่วยเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ดี

หรืองบประมาณแบบที่ไม่ได้สนใจแค่เรื่องเงิน เช่น ‘งบประมาณสมดุล’ (balanced scorecard budgeting) ที่พิจารณาเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น การเรียนรู้และการพัฒนา ทำให้เห็นภาพรวมครบถ้วน แต่คนที่นำไปใช้ก็ต้องเข้าใจอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ด้วย

วิธีการงบประมาณแบบต่างๆ ที่ว่ามานี้ แต่ละแบบตั้งอยู่บน ‘ปรัชญา’ หลายอย่างนะครับ เช่น ถ้าเราสนใจเรื่องการควบคุม (control philosophy) ที่เน้นการควบคุมการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด เน้นความโปร่งใส เราก็อาจใช้ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ ถ้าเราสนใจเรื่องการจัดการ (management philosophy) ที่เน้นประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เราก็อาจใช้ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน เป็นต้น

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณเกิดความสงสัยขึ้นมาเหมือนผมไหมครับ ว่าแล้วถ้าเราเชื่อในปรัชญาแบบอื่นๆ อีกหลากหลายไม่รู้จบล่ะ จะก่อให้เกิด ‘ระบบงบประมาณ’ แบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ไหม?

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเชื่อเรื่องความยั่งยืน (sustainability philosophy) จะก่อให้เกิดระบบงบประมาณสีเขียว (green budgeting) ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนเป็นหลักขึ้นมาได้ไหม หรือถ้าเราเชื่อเรื่องความเสมอภาค (equity philosophy) เราจะทำระบบงบประมาณที่เน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมขึ้นมาได้หรือเปล่า และถ้าเราเชื่อเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน (participatory philosophy) เราจะสร้างวิธีการงบประมาณแบบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ขึ้นมาได้ไหม

หลายคนอาจมองว่า วิธีการงบประมาณประหลาดๆ ที่ว่ามานี้ดูเพ้อฝัน เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะกับ ‘รัฐราชการ’ ที่ฝังตัวอยู่กับขนบอันอุ้ยอ้ายจนเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปได้ยาก ที่สำคัญ งบประมาณยังเกี่ยวข้องกับ ‘การเมือง’ อย่างแนบแน่นด้วย จนกลายเป็น ‘การเมืองเรื่องงบประมาณ’ (politics of budgeting) เพราะมันคือเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ การประนีประนอม เรื่องของอำนาจ การตัดสินใจ เรื่องของนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน แถมถ้าไปเกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ ระบบบ้านใหญ่ และการหาเสียงหิวแสงต่างๆ ก็อาจยิ่งซับซ้อนจนยากจะจัดการหรือ ‘มีจินตนาการ’ ถึงวิธีการงบประมาณแบบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป

แต่กระนั้น ก็ต้องบอกคุณด้วยนะครับว่า ในประเทศที่เห็นว่าเรื่องไหน ‘สำคัญ’ จริงๆ ถึงระดับที่เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ นั้น กลุ่มก้อนทางการเมืองต่างๆ ก็สามารถรวมตัวกันสร้าง ‘ฉันทามติ’ (consensus) ในเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาได้ แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฟินแลนด์ ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงคาดเดาได้นะครับ ว่าประเทศที่ ‘พัฒนาแล้ว’ เหล่านี้ เขาให้ความสำคัญในทางงบประมาณกับเรื่องไหน

ถูกต้องแล้วครับ – เรื่อง ‘การเรียนรู้’ (รวมถึงการศึกษา) ของประชาชนนั่นแหละครับ!

ยกตัวอย่างประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบการศึกษาอย่างฟินแลนด์นะครับ ฟินแลนด์มีวิธีการงบประมาณที่วางอยู่บนวิธีการและฐานคิดร่วมหลายเรื่องที่ไม่เปลี่ยนไปตามกระแสลมของขั้วอำนาจการเมือง เช่น ใช้หลักการกระจายอำนาจ (decentralization) เพื่อกระจายงบประมาณไปสู่ท้องถิ่น แล้วให้ท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารจัดงานงบประมาณตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเองได้ โดยมีวิธีการงบประมาณที่เรียกว่า block grant (ไทยเราก็มี เรียกว่า ‘งบอุดหนุน’) และทำอย่างมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงความเท่าเทียมของสังคมด้วย แถมยังใช้วิธีการงบประมาณแบบยืดหยุ่น (flexible budgeting) เพื่อให้หน่วยรับงบสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งยังใช้วิธีการงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์ (outcome-based budgeting) โดยประเมินผลจากคุณภาพการศึกษา ไม่ใช่ปริมาณการใช้งบ ไล่รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและอื่นๆ อีกหลายเรื่อง

ประสิทธิภาพของระบบการจัดงบประมาณของฟินแลนด์เกิดจากการผสมผสานแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยเน้นความยืดหยุ่น ความเท่าเทียม และการมุ่งเน้นคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของประเทศ โดยมีการพัฒนาต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษ และเกิดจาก ‘ฉันทามติ’ จากภาครัฐ นักการศึกษา และชุมชน

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่ารัฐไทยไม่มีวิธีงบประมาณที่ว่ามาหรือไร แต่ที่จริงแล้วต้องบอกว่า วิธีการงบประมาณในไทยนั้นก้าวหน้าไม่น้อยนะครับ ที่ว่ามาแทบทั้งหมดมีการริเริ่มจากหลายหน่วยงานแล้ว เช่น ความพยายามในการประเมินแบบใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นผลลัพธ์ (outcome-based) มากขึ้น แต่ก็ยัง  ‘ต่างคนต่างทำ’ ยังไม่เกิดเป็น ‘ฉันทามติร่วม’ ที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกัน ว่าเราต้องมี ‘วิธีการงบประมาณใหม่’ เพื่อผลักดัน ‘การเรียนรู้’ ของประชาชนทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด

คำถามที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็คือ – แล้วเราจะสามารถมี ‘ฉันทามติร่วม’ เพื่อแสวงหาวิธีการงบประมาณสำหรับการเรียนรู้ของสังคมในโลกยุคใหม่ได้หรือเปล่า

เราจะสามารถค้นหาวิธีการงบประมาณแบบใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดทำงบประมาณโดยเฉพาะในเรื่องการเรียนรู้ เพื่อให้วิธีการงบประมาณของเรา ‘เท่าทัน’ การเปลี่ยนแปลงของโลก โดยไม่ละทิ้งการตรวจสอบได้ไหม

เราจะทำอย่างไรให้วิธีการงบประมาณของเรา ‘กระตุ้น’ ให้เกิดโครงการใหม่ๆ ตามเทรนด์การเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ขัดขวางสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาเพราะวิธีการไม่เหมาะสม

เหล่านี้คือคำถามที่อยากชวนคุณมาร่วมกันคิด และหาหนทางก้าวเดินต่อไปในอนาคตร่วมกัน

มาค้นหา ‘วิธีการงบประมาณ’ ในโลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ ด้วยการเปลี่ยนแปลง ‘โครงสร้าง’ ของระบบงบประมาณกันเถอะครับ!

วิธีการงบประมาณ การเรียนรู้

MOST READ

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save