ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรหรือที่เรียกกันว่า ‘สภาสามัญ(ชน)’ ในสหราชอาณาจักรมีการอภิปรายร่างกฎหมายอื้อฉาวที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘Assisted Dying Bill’ หรือหากแปลเป็นไทยคงหมายถึง ‘ร่างกฎหมายช่วยดับชีพ’ โดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านต่างโต้แย้งหักล้างกันโดยการใช้อารมณ์อย่างดุเดือด เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคุณธรรม คตินิยม ความเชื่อทางศาสนาในลักษณะปัจเจก โดยมีสมาชิกหลายคนขอแก้ไขบางมาตราอย่างอุตลุด ดังนั้นการยกมือสนับสนุนหรือค้านร่างกฎหมายในแต่ละวาระจะมีคะแนนที่สูสีกันมาก
เนื่องจากร่างกฎหมายนี้เสนอโดยสมาชิกสภาสามัญคนหนึ่งในลักษณะส่วนตัว (แม้ว่าเขาเป็น สส. จากพรรครัฐบาล) ไม่ได้เป็นนโยบายของพรรค ซึ่งเรียกกันว่า ‘Private Member’s Bill’ (PMB) ส่งผลให้การอภิปรายสนับสนุนหรือโต้แย้งจึงเป็นเรื่องมโนธรรมส่วนบุคคล โดยกรรมการบริหารพรรคจะไม่ชี้นำ ไม่มีวิป เราจึงเห็นว่ามีสมาชิกบางคนแม้สังกัดพรรคเดียวกันต่างลุกขึ้นมาคัดง้างกันเองแล้วยังออกมาโต้กันออกสื่อนอกสภาอีกด้วย
ความจริงแล้วเคยมีร่างกฎหมายลักษณะเช่นนี้ถูกเสนอเข้าสภาหลายครั้ง แต่ไม่เคยผ่านวาระแรก หนหลังสุดก็กว่าสิบปีมาแล้ว แต่มาคราวนี้ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวสามารถผ่านวาระแรกได้ จึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นกัน โดยมีการวิเคราะห์กันว่าทัศนะสังคมได้เปลี่ยนไป ผู้คนรุ่นใหม่ๆ ทัศนะความคิดเห็นไม่ยึดถือค่านิยมเดิมๆ อีกทั้งบางประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์เปิดให้บริการคนป่วยที่ต้องการจบชีวิตตัวเองอย่างสมัครใจโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแนวทางดังกล่าวถูกดำเนินการมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว
ร่างกฎหมายนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘Terminally Ill Adults (End of Life) Bill’ โดยมีสาระสำคัญคือเปิดโอกาสให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมายแก่บุคคลที่มีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไปที่ป่วยในวาระสุดท้าย โดยสามารถขอให้แพทย์ช่วยจบชีวิตตนเองอย่างสมัครใจ
สาระสำคัญที่ผู้เสนอได้กำหนดไว้ในร่างกฎหมาย ได้แก่
- ผู้ร้องขอต้องอยู่อาศัยในแคว้นอังกฤษหรือเวลส์เป็นการถาวรไปลงทะเบียนไว้กับแพทย์ประจำตำบล อย่างน้อย 12 เดือน
- ผู้ร้องจะต้องมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในการขอใช้บริการ ต้องมีขีดความสามารถในการแสดงเจตจำนงที่ชัดเจน แสดงความจำนงอย่างตระหนักรู้ในข้อมูล ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหรือบีบบังคับใดๆ
- ผู้ร้องจะต้องป่วยในระยะสุดท้าย ซึ่งแพทย์ประเมินว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน
- ผู้ร้องจะต้องลงนามในคำประกาศเจตจำนง โดยมีพยานลงนามรับรอง
- ผู้ร้องจะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของผู้พิพากษาศาลสูง ซึ่งจะซักถามให้เกิดความชัดเจน ผู้พิพากษาอาจจะเรียกให้บุคคลอื่นๆ มาให้ซักถามให้ปากคำเพิ่มเติมก่อนที่จะวินิจฉัยว่าจะอนุมัติหรือไม่
- แพทย์จะทำหน้าที่เพียงจัดเตรียม ‘ตัวยา’ ให้แก่ผู้ร้องดำเนินการนำสู่ร่างกายเพื่อดับชีพด้วยตัวเอง โดยแพทย์หรือบุคคลอื่นใด ไม่มีหน้าที่ดำเนินการให้แก่ผู้ร้อง แพทย์มีหน้าที่เพียงเฝ้าดูจนกว่าผู้ร้องจะดำเนินการเสร็จสิ้น
ขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวเพียงแค่ผ่านวาระรับหลักการเท่านั้น แต่ยังจะต้องมีการอภิปรายในขั้นกรรมาธิการตามขั้นตอนของของสภานิติบัญญัติซึ่งเข้าใจว่าคงใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะผ่านออกมาใช้บังคับ โดยร่างสุดท้ายก่อนมีมติผ่านก็อาจจะมีการแก้ไขสาระสำคัญบางประการ เนื่องจากยังมีสมาชิกสภาหลายคนขอแก้ไขเพิ่มเติม
ประเด็นสำคัญที่มีการโต้เถียงกันมากในสภาคือ ภาครัฐจะมีการวางมาตรการให้เกิดความแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้ร้องขอดับชีวิตตนเองนั้นมีข้อมูลถูกต้องครบถ้วน มิได้ถูกหลอกให้หลงผิด หรือถูกหว่านล้อมกดดันจากทั้งผู้ประสงค์ดีและประสงค์ร้าย
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยวาระสุดท้ายหลายคน ที่สื่อมวลชนติดต่อสอบถามความเห็นต่างก็บอกว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ความหวังสำหรับพวกเขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการยื้อชีวิตอีกต่อไป เช่น ผู้ป่วยสตรีอายุห้าสิบปีรายหนึ่งซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย โดยแพทย์บอกว่าเธออาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองปี ซึ่งเธอบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เธอต้องใช้ยาระงับปวดสองขนานคือ ‘มอร์ฟีน’ และ ‘โคโคดดามอล’ เพื่อระงับปวด
ตอนนี้เธอบอกว่าไม่กลัวความตายอีกแล้ว แต่กลัวความทุกข์ทรมานที่ลากยาวจนถึงวาระสุดท้ายมากกว่า อีกทั้งเธอยังกล่าวว่าไม่ต้องการทารุณร่างกายและจิตใจตัวเองเพียงเพื่อรักษาชีวิตที่ไม่มีคุณภาพไม่มีความหวังใดๆ อีกต่อไป เธอเข้าใจว่ามีคนคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่เธอเชื่อว่าทุกคนควรมีสิทธิหรือมีทางเลือกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเอง
แต่ในกลุ่มผู้ที่คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่าหากสภาผ่านออกมาบังคับใช้เท่ากับเป็นการสร้างแรงกดดันอย่างเป็นนัยๆ ให้กับผู้ป่วยวาระสุดท้าย เพราะเปิดทางเลือกอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่จะดับชีพตัวเอง โดยพวกเขาอาจจะรู้สึกผิดที่ความเจ็บป่วยของตนได้กลายเป็นภาระให้กับลูกหลานหรือญาติพี่น้อง ดังนั้นการจบชีวิตตนเองถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
สส. และนักเคลื่อนไหวในกลุ่มคัดค้านนี้โต้เถียงว่าทางเลือกที่ดีกว่าคือ รัฐบาลควรให้ความเอาใจใส่จัดหางบประมาณ เพิ่มการสนับสนุนคลินิกหรือสถานบำบัดที่ให้บริการ ‘End of Life Care’ หรือเป็นการดูแลคนไข้ในระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต พยายามลดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ จนกระทั่งจบชีวิตลงอย่างมีศักดิ์ศรี
สส. ฝ่ายรัฐบาลคนหนึ่งที่ยกมือคัดค้านร่างกฎหมายนี้ได้อภิปรายในสภาว่าตนรู้สึกกังวลใจมาก เนื่องจากผู้ป่วยบางคนที่อารมณ์เปราะบางอาจจะถูกชักจูงให้ถลำตัวเข้าไปใช้บริการช่วยดับชีพอย่างขาดความถี่ถ้วน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วทางออกที่ดีสำหรับพวกเขาคือ การเข้ารับการดูแลรักษาในสถานพยาบาลแบบ ‘End of Life Care’ มากกว่า
สำหรับผู้ที่ติดตามชมการอภิปรายผ่านทางทีวีรัฐสภาของบีบีซี ก็จะได้เห็นการอภิปรายโต้เถียงกันของ สส. ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน ซึ่ง สส. บางคนได้นำเอาประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้จากสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงที่เจ็บป่วยในวาระสุดท้ายมาอภิปรายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเจ็บปวด ในส่วนของ สส. บางคนที่ยึดมั่นในความเชื่อทางศาสนา ก็ไม่ลดละที่จะเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิของชีวิต (Sanctity of Life)
สำหรับสหราชอาณาจักรและหลายประเทศในยุโรป ความคิดความเชี่อทางศาสนาคริสต์ยังคงมีอิทธิพลสำคัญที่เคลือบแฝงอยู่ในกฎหมายและขนบประเพณีของสังคม ดังนั้นการเสนอหรือคัดค้านร่างกฎหมายบางฉบับก็ยังมีการอ้างอิงถึงหลักการของศาสนาปะปนมา แม้จะถือว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยเป็นรัฐฆราวาส
ความจริงแล้ว หลายประเทศทั่วโลกต่างก็มีกฎหมายลักษณะเช่นนี้มาหลายปีแล้ว เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2015 ส่วนในยุโรปมีถึงหกประเทศได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบอร์ก สเปญ และออสเตรีย โดยทั้งหกประเทศเหล่านี้ กฎหมายไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีชีวิตได้ไม่เกินหกเดือนแบบร่างกฎหมายของสหราชอาณาจักร
สวิตเซอร์แลนด์ นับได้ว่าเป็นประเทศแรกในโลกที่มีกฎหมายนี้ตั้งแต่ปี 1942 แถมยังเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้าไปใช้บริการดับชีพตัวเองได้ด้วยโดยมีชาวบริติชเข้าไปใช้บริการแล้วมากกว่าห้าร้อยคน โดยเฉพาะปีที่แล้วมีถึงสี่สิบคน
ปัจจุบันในสหราชอาณาจักรยังไม่มีกฎหมายช่วยดับชีพ ดังนั้นความพยายามใดๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตถือว่าผิดกฎหมาย การมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าตัวตาย หรือการดำเนินการใดๆ ที่เรียกว่า ‘การุณฆาต’ ผู้ที่สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมอาจจะมีความผิดต้องโทษจำคุกสุงสุดถึงสิบสี่ปี ดังนั้นผู้ป่วยระยะสุดท้ายบางคนจึงเดินทางไปใช้บริการที่สวิตเซอร์แลนด์
บัดนี้ร่างกฎหมายช่วยดับชีพของสหราชอาณาจักรเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภา โดยจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาให้ความเห็นเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีการแก้ไขปรับปรุงในด้านรายละเอียดบางประเด็นก่อนนำกลับเข้าสู่การอภิปรายในวาระสามอีกครั้ง โดยถ้าหากผ่านก็จะส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาขุนนางต่อไป ซึ่งคราวนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผู้เสนอกฎหมายมีความมั่นใจว่าร่างกฎหมายของตนน่าจะผ่านออกมาบังคับใช้ได้ภายในปีนี้