เมื่อคุณเล่นโซเชียลมีเดีย คุณจะมีผู้ช่วยที่คอยเลือกสรรข่าวหรือเนื้อหาที่คุณน่าจะสนใจ ปรากฏขึ้นให้คุณเห็นอย่างง่ายดายบนหน้าฟีดของคุณ … ผู้ช่วยคนนั้นก็คือ ‘อัลกอริทึม’ (Algorithm)
เมื่อคุณกำลังอยากรู้รายละเอียดของข่าวสารหรือข้อมูลอะไรก็แล้วแต่ คุณก็มีผู้ช่วยที่สามารถส่งคำถามที่คุณอยากรู้ไปให้ได้ตลอดเวลา ก่อนที่มันจะให้คำตอบด้วยเนื้อหาที่รวบรัดอ่านง่ายได้ใจความในเวลาเพียงไม่กี่วินาที … ผู้ช่วยคนนั้นก็คือ ‘ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง’ (Generative AI) ดังเช่น ChatGPT, Gemini หรือกระทั่ง Google AI Overview ที่สรุปเนื้อหาที่คุณอยากรู้ให้ได้ทันที ภายหลังจากที่คุณพิมพ์ข้อความบนแถบค้นหาของ Google
เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างอัลกอริทึมและเอไอจึงทำให้ชีวิตของใครหลายคนสะดวกสบายขึ้น หากคุณอยู่ในฐานะ ‘ผู้เสพข้อมูลข่าวสาร’
ทว่าสำหรับคนที่เป็น ‘สื่อมวลชน’ ที่ทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารแก่ผู้คนนั้น การมีอยู่ของเทคโนโลยีเหล่านี้กลับเปรียบเสมือน ‘หายนะ!’
ที่ผ่านมามีสื่อมวลชนหลายคนหลายสำนักที่ลงทุนลงแรงกับการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพบนโซเชียลมีเดีย แต่เมื่อเผยแพร่แล้ว กลับมีผู้เข้ามาอ่านหรือรับชมเพียงน้อยนิด เพราะเหตุผลหนึ่งคืออัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียลดการมองเห็นเนื้อหาของพวกเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ทำให้ผู้เสพสื่อบนโซเชียลมีเดียมีโอกาสพบเห็นเนื้อหาเหล่านี้ได้น้อยลงไปมาก
ขณะเดียวกันเมื่อหลายคนได้ทยอยหันมาใช้เครื่องมือ Generative AI ที่ช่วยป้อนเนื้อหาที่คุณกำลังอยากรู้เข้าปากคุณ พร้อมย่อยให้จนเคี้ยวง่ายแล้ว คุณจึงอาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปค้นเนื้อหาอ่านในเว็บไซต์อีก และนั่นก็ทำให้หลายสำนักข่าวเผชิญวิกฤตยอดผู้อ่านเว็บไซต์ลดฮวบ จนส่งผลต่อรายรับของบริษัท
เหล่านี้คือตัวอย่างของความยากลำบากจากการเกิดขึ้นของอัลกอริทึมและเอไอที่สื่อมวลชนทั่วโลกกำลังเผชิญ และได้กลายเป็นหัวข้อหลักของการจัดเวที Asian Journalism Forum 2025 ที่เมืองไทเป ไต้หวัน เมื่อวันที่ 5-6 กรกฎาคม 2568 ซึ่งมีตัวแทนสำนักข่าวและองค์กรด้านสื่อสารมวลชนในเอเชีย ทั้งไต้หวัน อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ไปจนถึงแนวทางการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของแต่ละองค์กร
ในงานวันนั้น วันโอวันคือหนึ่งในองค์กรที่ได้รับเชิญไปร่วมแลกเปลี่ยน เราจึงสรุปเนื้อหาสำคัญที่ได้มีการพูดคุยกันบนเวทีดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจภาพความท้าทายของสื่อมวลชนในภูมิภาคเอเชียวันนี้มากขึ้น
อัลกอริทึมและเอไอ ความท้าทายที่ไม่ใช่แค่เรื่องยอดวิว
บนเวทีแลกเปลี่ยน สื่อมวลชนแต่ละสำนักต่างยืนยันตรงกันว่าอัลกอริทึมและเอไอกำลังทำให้เนื้อหาของตนถูกมองเห็นลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นมามีบทบาทของ Generative AI อย่างโปรแกรม ChatGPT และ AI Overview ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่ายอดการเข้าถึงเว็บไซต์กำลังลดลงอย่างน่าใจหาย
ยกตัวอย่างเช่น Arkka Dhiratara ผู้บริหารของ Hukumonline.com แพลตฟอร์มให้ความรู้ด้านกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย ที่ให้ข้อมูลว่าในระยะเวลาราวหนึ่งปีนับตั้งแต่ปี 2024-2025 ยอดการเข้าถึงเว็บไซต์ของเขาตกลงไปมากถึงราว 25-30% โดยเขาชี้ว่าโดยพื้นฐานนั้นผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ Hukumonline.com ผ่านการค้นหาบนเครื่องมือสืบค้นข้อมูล (search engine) เช่น Google มากที่สุด กระทั่งเมื่อเครื่องมือ Generative AI แพร่หลายขึ้น เนื้อหาของเว็บไซต์จึงถูกดึงขึ้นไปปรากฏในโปรแกรมเหล่านั้น จนทำให้ผู้ใช้งานกดเข้าไปอ่านรายละเอียดบนหน้าเว็บไซต์น้อยลง ซึ่ง Arkka ยังมีข้อมูลสถิติยืนยันอีกด้วยว่าหน้าเว็บไซต์ Hukumonline.com มียอดการเข้าชมจากผู้ใช้งานที่ตรวจพบว่าเป็นระบบอัตโนมัติและคล้ายว่าเป็นอัตโนมัติ (automated and likely-automated users) ถึงราว 20% ของจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ทั้งหมด ทำให้ Arkka อนุมานว่า “แพลตฟอร์มเอไอกำลังเข้ามารวบรวมข้อมูลในเว็บไซต์เราในระดับที่สูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
ขณะที่ P Vaidyanathan Iyer บรรณาธิการอำนวยการของสำนักข่าว The Indian Express ในประเทศอินเดียก็ชี้ว่า “Google AI Overview กำลังเป็นหายนะ มันกำลังส่งผลต่อยอดการเข้าถึงเว็บไซต์ของสำนักข่าว” โดยเขายังให้ข้อมูลด้วยว่าชิ้นงานข่าวที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือข่าวเชิงอธิบาย (explanatory journalism) ที่เป็นการย่อยเนื้อหาที่มีความซับซ้อนให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และถือเป็นหนึ่งในประเภทข่าวที่ The Indian Express เองให้ความสำคัญมายาวนาน จนเมื่อมีเครื่องมือ Generative AI ที่ช่วยผู้อ่านสรุปเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย ยอดการเข้าถึงชิ้นงานข่าวประเภทนี้จึงลดน้อยถอยลงไป และยังส่งผลต่อรายรับจากการโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์อย่างมาก
อีกกรณีที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้ ที่วัฒนธรรมการเสพสื่อค่อนข้างเฉพาะตัว คือประชาชนมักรับข่าวสารผ่านแพลตฟอร์มที่รวบรวมข่าวสารจากหลายสำนักข่าว (news aggregator) เป็นหลัก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มของ Naver ที่ประชากรเกาหลีใต้ใช้เป็นช่องทางค้นหาและเข้าถึงข่าวสารคิดเป็นสัดส่วนถึง 64.1% จึงกล่าวได้ว่าสำนักข่าวในเกาหลีใต้มักพึ่งพายอดการเข้าถึงเว็บไซต์จาก news aggregator มากที่สุด แต่ปัญหาคือในระยะหลังแพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้อัลกอริทึมในการเลือกข่าวให้กับผู้อ่านแต่ละคนมากขึ้น ส่งผลให้มีเนื้อหาข่าวจำนวนมากที่ไม่ถูกแนะนำแก่ผู้อ่านบนหน้าแพลตฟอร์ม โดย Jeong-hwan Lee ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักข่าว Slow News ในเกาหลีใต้ ชี้ข้อมูลให้เห็นว่าในบรรดาบทความข่าวที่มีประมาณ 60,000 ชิ้นต่อวันบนแพลตฟอร์ม news aggregator นั้น พบว่ามียอดผู้อ่านกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่บทความ โดยมีตัวเลขชี้ว่าบทความข่าวส่วนน้อยมากเพียง 0.35% ที่กินสัดส่วนการเข้าชมไปถึง 19% ในแต่ละวัน สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมในการใช้อัลกอริทึมคัดบทความขึ้นนำเสนอบนหน้าเว็บไซต์
“อัลกอริทึมกลายเป็นตัวกำหนดความสนใจของผู้อ่าน โดยคัดเลือกเอาข่าวที่น่าดึงดูดใจต่อผู้อ่านแต่ละคน มากกว่าที่จะเลือกข่าวที่มีความสำคัญต่อสาธารณชนจริง” Jeong-hwan Lee กล่าว
นอกจากนี้ Jeong-hwan Lee ยังนำข้อมูลมาแสดงให้เห็นว่า ยอดการเข้าถึงเว็บไซต์ของสำนักข่าวในเกาหลีใต้โดยรวมในปี 2025 อยู่ที่ราว 1.4 พันล้านครั้ง ซึ่งลดลงจากปี 2015 ที่มียอดเข้าถึงรวมกันราว 8.3 พันล้านครั้ง จึงเท่ากับว่าในระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา คนเกาหลีใต้เข้าถึงหน้าเว็บไซต์ข่าวลดลงไปถึงราว 6 เท่าตัว
การลดลงของจำนวนการเข้าถึงผลงานข่าวอาจเป็นผลสะเทือนที่เด่นชัดที่สุดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัลกอริทึมและเอไอ แต่นั่นก็ไม่ใช่ผลกระทบรูปแบบเดียว เพราะสื่อมวลชนผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนหลายคนยังชี้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ส่งผลข้างเคียงต่อการทำงานของสื่อมวลชนในหลายแง่ โดยสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
- ปรากฏการณ์ฟองสบู่ตัวกรอง (Filter Bubble Effect) ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากอัลกอริทึมที่พยายามคัดเลือกเนื้อหาตามความสนใจเฉพาะของผู้ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแต่ละคน จนทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสได้เห็นเฉพาะเนื้อหาหรือข่าวสารที่สอดคล้องหรือตอกย้ำความเชื่อของตน โดยไม่ได้รับเนื้อหาด้านอื่นๆ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งขั้วความคิดในสังคมอย่างรุนแรงขึ้น จนยากที่จะหาพื้นที่ตรงกลาง จึงกลายเป็นความท้าทายของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสารเพื่อให้ไปถึงคนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันหลายเฉดพร้อมกันได้ และขณะเดียวกันก็ยังผลักให้บางสำนักข่าวเลือกนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาเอียงไปทางขั้วความคิดหนึ่งมากขึ้น เพราะมีโอกาสดึงความสนใจผู้อ่านได้มากกว่า
- การตัดสินใจลดคุณภาพของเนื้อหา ซึ่งก็มีปัจจัยสำคัญหนึ่งมาจากอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้เนื้อหาบางประเภท เช่น ข่าวขนาดสั้น ข่าวที่เน้นพาดหัว หรือข่าวที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ มีโอกาสเป็นที่มองเห็นได้มาก ทำให้หลายสำนักข่าวตัดสินใจปรับรูปแบบการนำเสนอข่าวเพื่อเอาใจอัลกอริทึม มากกว่าที่จะทำข่าวที่เน้นเนื้อหาสาระจริงจัง ขณะเดียวกันหลายสำนักข่าวยังเน้นการสร้างปริมาณข่าวให้ได้มากที่สุด รวมทั้งแข่งขันด้านความเร็วในการนำเสนอกันมากขึ้น เพื่อจะมีโอกาสเพิ่มยอดการมีส่วนร่วมให้กับหน้าบัญชีโซเชียลมีเดียของตน จนเริ่มให้ความสำคัญกับการกลั่นกรองคุณภาพเนื้อหาน้อยลง
- การแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารเท็จ การปรับรูปแบบการนำเสนอข่าวจากผลพวงของอัลกอริทึมที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นยังนำไปสู่การแพร่กระจายของข่าวเท็จได้มากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านความเร็วและปริมาณที่ทำให้กระบวนการตรวจสอบเนื้อหาเริ่มถูกละเลย รวมถึงการเน้นนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาสั้นหรือเน้นพาดหัวฉูดฉาด ก็มีโอกาสสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ง่าย เพราะขาดการให้รายละเอียดหรือข้อเท็จจริงไว้ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ การใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือในการสร้างเนื้อหาก็มีโอกาสนำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเช่นกัน เพราะมีบ่อยครั้งที่พบว่าเนื้อหาจาก Generative AI มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอัลกอริทึมและเอไอก็ไม่ใช่แค่ปัจจัยเดียวที่นำมาสู่ความท้าทายทั้งหมดข้างต้น แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่สื่อมวลชนในเอเชียหยิบยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนบนเวที เช่น ปรากฏการณ์การหลีกเลี่ยงการเสพข่าวสาร (news avoidance) อันเป็นเหตุจากความเหนื่อยล้าหรือความเครียดในการรับข้อมูลที่ล้นเกิน, อัตราการเกิดของประชากรที่น้อยลง รวมถึงจำนวนประชากรที่กำลังหดตัวในบางประเทศ จนทำให้ผู้บริโภคสื่ออาจมีลดลง, การก้าวขึ้นมาของผู้นำประชานิยมปีกขวาในบางประเทศที่ชักจูงให้ประชาชนเชื่อถือในสื่อมวลชนกระแสหลักน้อยลง และการก้าวขึ้นมามีบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์บนโลกออนไลน์ เป็นต้น
หนทางรอดของสื่อมวลชนเอเชียอยู่ที่ไหน?
ความท้าทายที่รุมเร้าเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ให้สื่อมวลชนทั่วโลกต้องดิ้นรนหาทางรอดและต้องพยายามรักษาบทบาทในสังคมไว้ให้ได้ ซึ่งบนเวที Asian Journalism Forum 2025 นั้น ตัวแทนสื่อมวลชนในเอเชียก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงประเด็นนี้เช่นกัน โดยมีหลายแนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่
สร้างแพลตฟอร์มใหม่ หนีปัญหาแพลตฟอร์มเดิม
เมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกต่างๆ เริ่มไม่เอื้อต่อการเติบโตของสื่อมวลชน จึงมีคนที่คิดสร้างแพลตฟอร์มใหม่ในลักษณะคล้าย news aggregator ที่รวบรวมเนื้อหาข่าวจากหลายสำนักข่าวเข้าด้วยกัน โดยมีจุดเด่นคือการเป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยให้สำนักข่าวเข้าถึงผู้อ่านได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมมากขึ้น อีกทั้งยังเอื้อให้สื่อคุณภาพเป็นที่มองเห็นและมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นความพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มดั้งเดิมต่างๆ โดยหนึ่งในแพลตฟอร์มน่าสนใจที่ได้มีการนำเสนอบนเวที Asian Journalism Forum 2025 นั้นก็คือ READr Mesh ของไต้หวัน
READr Mesh รวบรวมสำนักข่าวในไต้หวันไว้มากกว่า 26 สำนัก แพลตฟอร์มนี้มีแนวคิดหลักคือการนำอำนาจในการเลือกข่าวกลับคืนสู่ผู้อ่าน ต่างจากแพลตฟอร์มอื่นที่มักให้อัลกอริทึมเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อ่านในการเลือกข่าวขึ้นหน้าฟีด จนเกิดปัญหา filter bubble และการแพร่ระบาดของข่าวที่เน้นสร้างยอด engagement โดยแอปพลิเคชัน READr Mesh เปิดให้ผู้อ่านสามารถตั้งค่ากำหนดประเภทข่าวหรือสำนักข่าวที่ตนชื่นชอบหรือสนใจ เพื่อให้ข่าวประเภทนั้นหรือของสำนักข่าวนั้นปรากฏขึ้นบนหน้าฟีดของตัวเอง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังให้ผู้อ่านสามารถแสดงบทบาทเป็นเสมือนภัณฑารักษ์ข่าว (news curator) ที่สามารถแชร์ แนะนำ และรวบรวมข่าวที่คิดว่ามีคุณค่าต่อสังคม หรือเหมาะกับกลุ่มผู้ติดตาม (followers) ของผู้อ่านเองได้
ยิ่งไปกว่านั้น READr Mesh ยังเปิดช่องทางให้สำนักข่าวสามารถสร้างรายได้ในสองช่องทางหลัก ทางแรกคือการได้รับแบ่งปันรายได้ (revenue sharing) จากรายได้โฆษณาบนแพลตฟอร์มในอัตราเป็นธรรมที่ระดับ 50% และอีกทางหนึ่งคือการได้รับแรงสนับสนุนจากผู้อ่านผ่านระบบ Mesh Point ซึ่งเป็นคะแนนที่ผู้อ่านสะสมจากการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม เช่น การอ่าน และการสร้างโฟลเดอร์ข่าว โดยคะแนนส่วนนี้สามารถแปรเป็นเงินสนับสนุนสำนักข่าวได้ และนอกจากนี้ READr Mesh ก็ยังมีช่องทางให้สำนักข่าวสามารถนำเสนอโปรเจกต์ผลงานข่าวที่อยากทำ เพื่อเปิดรับเงินบริจาคในการสนับสนุนโปรเจกต์นั้นได้เช่นกัน
เปิดช่องทางใหม่ ขยายตลาดให้กว้างขึ้น
ในเมื่อสำนักข่าวไม่อาจพึ่งพา search engine หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในการเป็นช่องทางหลักดึงคนเข้าสู่เว็บไซต์อีกต่อไป หลายสำนักข่าวจึงต้องพยายามคิดหาหนทางใหม่ๆ ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ ซึ่งบนเวที Asian Journalism Forum 2025 นั้น หลายสำนักข่าวต่างก็แลกเปลี่ยนกันถึงวิธีการที่ตนกำลังใช้หรือกำลังสนใจ ซึ่งมีทั้งการส่งจดหมายข่าวที่รวบรวมลิงก์ของบทความข่าวสู่อีเมลของผู้อ่านโดยตรง การกระจายรูปแบบเนื้อหาสู่มัลติมีเดียอย่างพอดคาสต์หรือคลิปวิดีโอมากขึ้น การทำเนื้อหาเป็นภาษาอื่นเพื่อดึงดูดฐานคนอ่านในต่างประเทศ การจัดกิจกรรมที่ช่วยให้สำนักข่าวมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสามารถขยายการรับรู้ในแบรนด์สำนักข่าวเพิ่มเติมได้ และการเพิ่มเกมบนหน้าเว็บไซต์ข่าวเพื่อดึงดูดผู้อ่านที่เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นต้น
อยู่กับเอไอให้ได้ ใช้เอไอให้เป็น
จากที่เล่ามาทั้งหมดในบทความนี้ เอไออาจดูเหมือนเป็นตัวร้ายในโลกสื่อมวลชน แต่อีกด้านตัวแทนสำนักข่าวบนเวที Asian Journalism Forum 2025 ก็มองว่าเอไอเป็นโอกาสที่จะเพิ่มศักยภาพของสำนักข่าวเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประยุกต์ใช้เอไอเป็นเครื่องมือช่วยทุ่นแรงในกระบวนการทำงานบางขั้นตอนของนักข่าว และการใช้เอไอเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มในฐานะผลิตภัณฑ์เสริมที่ดึงดูดคนให้เข้ามาสู่สำนักข่าวมากขึ้นได้
บนเวทีได้มีการพูดถึงตัวอย่างของการใช้นวัตกรรมเอไอกับสำนักข่าว เช่น COA BEAT ASSISTANT ซึ่ง Jaemark Tordecilla สื่อมวลชนชาวฟิลิปปินส์ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนบนเวที เป็นผู้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยนักข่าวในการทำงานสืบสวนหรือตรวจสอบรายงานของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินของฟิลิปปินส์ (Commission on Audit: COA) ซึ่งนำไปสู่การชี้ข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในการใช้งบประมาณหรือจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ได้ ขณะเดียวกัน Arkka Dhiratara จาก Hukumonline.com ของอินโดนีเซีย ก็ได้นำเสนอถึงการใช้เครื่องมือ Generative AI อย่าง Allex (คล้าย ChatGPT) มาเป็นเครื่องมือบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถศึกษาหรือสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายขึ้น
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการพูดถึงแนวทางการประยุกต์ใช้เอไอกับสำนักข่าวในแง่อื่นๆ เช่น การแปลงเนื้อหาบทความเป็นเสียง (text-to-voice) และการสรุปย่อยเนื้อหาของบทความ (summary) เป็นต้น อย่างไรก็ตามตัวแทนของแต่ละสำนักข่าวและองค์กรข่าวก็ได้ย้ำเตือนให้คำนึงถึงจริยธรรมและขอบเขตในการใช้งานเทคโนโลยีเอไอด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าอีกประเด็นเกี่ยวกับเอไอที่มีการอภิปรายกันบนเวทีคือการที่เว็บไซต์ข่าวต่างกำลังถูก Generative AI แย่งผู้อ่านไป ซึ่งตัวแทนสำนักข่าวและองค์กรข่าวก็มีการเสนอแนวคิดในการจะเอาชนะความท้าทายนี้ เช่น การพยายามปิดกั้นไม่ให้ Generative AI เข้าไปดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ข่าวมาใช้ได้ อย่างการใช้ระบบสมัครสมาชิก (subscription) ที่บังคับให้ผู้อ่านต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่เนื้อหา โดยอาจมีการเรียกเก็บค่าสมาชิกหรือไม่ก็ได้
แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อเสนอในทางตรงกันข้าม คือการทำให้เนื้อหาข่าวมีโอกาสปรากฏบนการแสดงผลของ Generative AI รวมถึง AI Overview มากขึ้น ด้วยการใช้เทคนิคปรับแต่งหน้าเว็บไซต์หรือ SEO (Search Engine Optimization) สำหรับเอไอ ซึ่งแต่เดิมสำนักข่าวคุ้นเคยกับการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google อยู่แล้ว โดยอย่างน้อยที่สุดการทำ SEO for AI นี้ก็อาจช่วยให้ผู้ใช้งานเครื่องมือ Generative AI ได้มองเห็นหรือทำความรู้จักกับเว็บไซต์ข่าวมากขึ้น จากการกล่าวอ้างอิงท้ายผลลัพธ์ของการป้อนข้อมูล หรืออาจเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้งานจะกดอ้างอิงเข้าไปอ่านรายละเอียดต่อบนหน้าเว็บไซต์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในการเปิดให้ Generative AI เข้าถึงและนำเนื้อหาในเว็บไซต์ข่าวไปใช้นั้น ก็มีข้อเสนอให้สำนักข่าวมีการเจรจากับบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มเอไอเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งรายได้ หรืออาจต้องดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมาย ดังเช่นในประเทศอินเดียที่ P Vaidyanathan Iyer แห่งสำนักข่าว The Indian Express บอกว่าบรรดาสำนักข่าวในประเทศได้รวมตัวกันเพื่อต่อสู้ทางกฎหมายต่อบริษัทแพลตฟอร์มในเรื่องดังกล่าวแล้ว
เน้นคุณภาพข่าว มากกว่าปริมาณและความเร็ว
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนข่าว แต่เป็นเพราะข่าวมีมากเกินไป” คือความเห็นของ Jeong-hwan Lee ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักข่าว Slow News ประเทศเกาหลีใต้ เขามองว่าโลกของข่าวสารทุกวันนี้กำลังมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันในแง่การผลิตข่าวให้มีปริมาณมากที่สุด ทั้งยังพยายามแข่งเรื่องความรวดเร็ว จนทำให้ข้อมูลข่าวสารกำลังล้นเกิน และกลายเป็นเสมือน “เสียงรบกวนที่ดังจนกลบแก่นสารอันแท้จริงที่สังคมควรรับรู้”
ปัญหานี้คือสิ่งที่ตัวแทนสื่อมวลชนบนเวที Asian Journalism Forum 2025 เห็นสอดคล้องกัน และขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่พูดถึงปัจจัยเรื่องการแพร่หลายของ Generative AI ที่กำลังเข้ามาแย่งผู้อ่านไปจากสำนักข่าว ซึ่งบีบให้สำนักข่าวโดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นผลิตข่าวเชิงอธิบายข้อมูลความรู้หรือสถานการณ์อย่างธรรมดาๆ นั้นต้องเร่งปรับตัว เพราะฉะนั้น ด้วยปัจจัยท้าทายเหล่านี้ ตัวแทนจากหลายสำนักข่าวจึงนำเสนอสอดคล้องกันว่า การมุ่งเน้นสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ลึก และแตกต่าง คือทางรอดของสื่อมวลชนในยุคสมัยนี้ มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับความเร็วและปริมาณอย่างที่เป็นมา
Slow News คือตัวอย่างของสำนักข่าวที่มุ่งเดินมายังทิศทางนี้ โดย Jeong-hwan Lee ชี้ว่าการตั้งชื่อสำนักข่าวว่า Slow News นั้นก็เป็นตัวบ่งบอกว่าสำนักข่าวของเขาจะไม่แข่งขันที่ความเร็วในการนำเสนอ หากแต่เน้นเนื้อหาที่มีความลึก มุ่งอธิบายเบื้องหลังหรือวิพากษ์ปรากฏการณ์สังคมที่เกิดขึ้น ทั้งยังให้ความสำคัญกับข่าวที่มุ่งนำเสนอวิธีแก้ปัญหาสังคม (solution journalism) และยังเลือกเฉพาะข่าวที่มีความสำคัญต่อสังคมจริง
สนับสนุนความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชน
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเท็จแพร่ระบาดและความเชื่อถือในสื่อมวลชนกำลังลดน้อยถอยลง บางองค์กรสื่อจึงมีแนวคิดที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อแวดวงสื่อมวลชน ด้วยการสร้างระบบรับประกันความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ยังยึดมั่นในคุณภาพการทำงาน เช่น องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders: RSF) ที่ร่วมมือกับองค์กรสากลต่างๆ ในการริเริ่มโครงการ Journalism Trust Initiative (JTI) ซึ่งมีหน้าที่สร้างมาตรฐานสากลสำหรับการทำงานของสื่อที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยสำนักข่าวที่ผ่านเกณฑ์การประเมินจะได้รับตรารับรอง JTI Certified เพื่อยืนยันว่าเป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ และสำนักข่าวที่ได้รับการรับรองดังกล่าวจะมีสิทธิประโยชน์บางประการ เช่น การมีโอกาสได้รับการแสดงผลบน search engine เป็นลำดับต้นๆ และการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนหรือทรัพยากรสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ก็มีบางองค์กรที่สร้างแพลตฟอร์มเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบยืนยันความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวหรือเนื้อหาข่าว เช่น Numbers Protocol ซึ่งใช้ระบบบล็อกเชน (blockchain) ในการยืนยันถึงต้นทางและความถูกต้องของสื่อดิจิทัล เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรืองานสร้างสรรค์ต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสำนักข่าวในการตรวจสอบยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและที่มาของแหล่งข้อมูลที่ได้รับมา อีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่น่าสนใจคือ Originator Profile จากความร่วมมือของภาคสื่อมวลชนและองค์กรด้านเทคโนโลยีในประเทศญี่ปุ่น โดยมีลักษณะเป็นโปรแกรมติดตั้งเสริม (plugin) บนเบราว์เซอร์ (browser) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบถึงต้นทางของผู้เผยแพร่เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตได้