ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกได้รับความสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในเอเชียและลาตินอเมริกา รวมทั้งผลกระทบจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยมีการจัดทำข้อตกลงทางการค้าเสรีจำนวนมาก รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ที่ล้วนมีเป้าหมายในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging economies) ในเอเชียและลาตินอเมริกาที่สามารถข้ามผ่านวิกฤตเศรษฐกิจในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา ที่นอกจากเผชิญกับการผันผวนของระบบเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ลาตินอเมริกาจึงกลายเป็นภูมิภาคที่ดึงดูดความน่าสนใจของนักลงทุนนานาชาติรวมทั้งจากเอเชีย
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างลาตินอเมริกาและเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้นได้รับการศึกษาในแวดวงวิชาการเป็นจำนวนมาก อาทิ คณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (Economic Commission for Latin America and the Caribbean – ECLAC)[1], ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank – ADB)[2], Shafeaddin[3], Najam and Thrasher[4] และ Dutt[5] โดยงานศึกษาเหล่านี้เสนอว่าข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศแบบทวิภาคีระหว่างสองภูมิภาคจำนวนมากเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น ความล่าช้าของกรอบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในระดับพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็นองค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) หรือภายในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation – APEC), ความสนใจในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจีนที่มีความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของลาตินอเมริกาเป็นอย่างมาก, การตีตลาดลาตินอเมริกาของสินค้าจากเอเชีย และการคุ้มครองการลงทุนของจากต่างประเทศของประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกา
อย่างไรก็ดี หากเอเชียและลาตินอเมริกามีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการค้าระหว่างภูมิภาคมากขึ้นแล้ว อาจจำเป็นต้องขยายขอบเขตความสัมพันธ์ทางการค้าจากระดับทวิภาคีไปสู่การดำเนินการที่กว้างมากขึ้นในระดับภูมิภาค ด้วยเหตุนี้การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคระหว่างอาเซียนและ ‘พันธมิตรแปซิฟิก’ (Pacific Alliance ซึ่งประกอบด้วย ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และเปรู) อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคทั้งสองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
ประการแรก ทั้งชิลีและเปรูต่างก็มีข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นจำนวนไม่น้อย
ประการที่สอง หากพิจารณาจากมุมมองของลาตินอเมริกา การขาดความร่วมมือในระดับภูมิภาคของลาตินอเมริกาอันเป็นผลมาจากความแตกต่างในแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีประเทศต่างๆ จำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยกับระบบทุนนิยมเสรีทางเศรษฐกิจ ดังนั้นความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคดังเช่นพันธมิตรแปซิฟิกนี้อาจเป็นทางออกให้กับลาตินอเมริกาในการเพิ่มประสิทธิภาพเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคลาตินอเมริกาเอง[6] ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการค้ากับเอเชียผ่านอาเซียนได้
ประการที่สาม หากพิจารณาจากมุมมองของอาเซียน เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area – AFTA) ถือเป็นสะพานเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญไปสู่ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะในรูป ASEAN+1 (อาเซียนและจีน), ASEAN+3 (อาเซียน + จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) และ ASEAN+6 (ASEAN+3 + ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย)
เพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอนุภูมิภาคดังที่กล่าวมาข้างต้น ตารางที่ 1 และ 2 นำเสนอมูลค่าทางการค้าที่พันธมิตรแปซิฟิกนำเข้าและส่งออกจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นสำคัญหกลำดับแรก (ASEAN-6 ซึ่งประกอบไปด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม)[7] ตั้งแต่ ค.ศ. 2016-2020 ส่วนตารางที่ 3 เป็นข้อมูลสรุปดุลการค้าระหว่างพันธมิตรแปซิฟิกและ ASEAN-6 ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

ที่มา: คำนวณจากฐานข้อมูล UN-COMTRADE

ที่มา: คำนวณจากฐานข้อมูล UN-COMTRADE

ที่มา: คำนวณจากฐานข้อมูล UN-COMTRADE
จากข้อมูลสถิติในตารางที่ 1–3 มีข้อสังเกตที่น่าสนใจสองประการ
ประการแรก โดยทั่วไปแล้ว อาเซียนมีดุลการค้าที่เกินดุลพันธมิตรมาโดยตลอดและมีอัตราส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี สะท้อนถึงความไม่พร้อมทางศักยภาพของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกในการเจาะตลาดอาเซียน
ประการที่สอง ในบรรดากลุ่ม ASEAN-6 ไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าสำคัญของพันธมิตรแปซิฟิก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าประเภทรถยนต์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มประเทศพันธมิตรแปซิฟิก เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก[8] สินค้าหลักที่ส่งออกจากไทยไปยังพันธมิตรแปซิฟิก ได้แก่ เครื่องจักรอุตสาหกรรม แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ขณะเดียวกันก็นำเข้าเหล็กกล้าและปุ๋ยเคมีต่างๆ
การที่พันธมิตรแปซิฟิกยังมีดุลการค้าที่ขาดดุลต่ออาเซียนอยู่มาก แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่พันธมิตรแปซิฟิกจะต้องเร่งเพิ่มมูลค่าในการส่งออกสินค้ามายังอาเซียน ซึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนเชื่อว่าจะเป็นประตูสู่เอเชียให้กับลาตินอเมริกาได้อย่างแท้จริง โดยแนวทางที่เป็นไปได้คือแต่ละประเทศสมาชิกของพันธมิตรแปซิฟิกจะต้องเร่งพัฒนาสินค้าที่ตัวเองมีศักยภาพในการผลิตหรือส่งออกโดยเปรียบเทียบ (comparative advantage) รวมทั้งร่วมมือกับประเทศสมาชิกพัฒนาเป็นเครือข่ายเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า (economy of scale) และเกิดการพัฒนาทั้งในธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำโดยรวม
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและพันธมิตรแปซิฟิกมีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียกับลาตินอเมริกา โดยมูลค่าการค้าระหว่างสองกลุ่มขยายตัวขึ้นตลอดระยะเวลาห้าปีที่ทำการศึกษา ซึ่งอาเซียนได้เปรียบดุลการค้าและมีอัตราส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นงานของพันธมิตรแปซิฟิกที่ต้องเร่งเพิ่มมูลค่าในการส่งออกสินค้ามายังอาเซียน
[1] ECLAC, El Arco del Pacífico Latinoamericano Después de la Crisis. (Santiago, Chile: ECLAC, 2009) และ ECLAC, The People’s Republic of China and Latin America and the Caribbean: Towards a Strategic Relationship. (Santiago, Chile: ECLAC, 2010).
[2] ADB, Comparative Perspectives on Trans-Pacific Trade, Integration, and Development. (Manila, Philippines: ADB and IDB, 2009) และ ADB, Shaping the Future of the Asia-Latin America and the Caribbean Relationship. (Manila, Philippines: ADB and IDB, 2012).
[3] Mehdi Shafaeddin, South-South Regionalism and Trade Cooperation in the Asia-Pacific Region. (Colombo, Sri Lanka: UNDP Regional Center, 2008).
[4] Adil Najam and Rachel Thrasher, eds. The Future of South-South Economic Relations. (London: Zed Books, 2012).
[5] Amitava Krishna Dutt, South-South Economic Cooperation: Motives, Problems and Possibilities. Paper Presented at an URPE Session on South-South Economic Integration and Development at the ASSA Meetings, Philadelphia, PA. (January 4, 2014).
[6] เช่น ชิลีอาจเป็นผู้นำในการถ่ายทอดประสบการณ์ของตนในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้กับประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก
[7] ประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 4 ประเทศ (บรูไน กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) มิได้ถูกนำมาทำการวิเคราะห์ร่วมด้วย เนื่องจากมีมูลค่าการค้ากับประเทศสมาชิกพันธมิตรแปซิฟิกเป็นจำนวนน้อย
[8] Nipon Poapongsakorn and Kriengkrai Techakanont, “The Development of Automotive Industry Clusters and Production Network in Thailand,” in Production Networks and Industrial Clusters: Integrating Economies in Southeast Asia, eds. Ikuo Kuroiwa and Toh Mun Heng (Singapore: ISEAS, 2008), 196-256.