ถึงแม้ว่าภูมิภาคเอเชียและลาตินอเมริกาจะมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางด้านวัฒนธรรม การทูต และเศรษฐกิจมาเป็นเวลานาน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองภูมิภาคมักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับความสำคัญเท่าใดนัก โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ที่สหรัฐอเมริกามีกับประเทศต่างๆ ตลอดบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชียหรือลาตินอเมริกา
แม้เป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่า ภูมิภาคที่ยังอยู่ในสถานะกำลังพัฒนาทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจอย่างลาตินอเมริกา ยังไม่มีประเทศใดสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้เหมือนอย่างสหรัฐฯ แต่ด้วยการเปิดกว้างของระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศและการที่เอเชียผงาดขึ้นเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของโลก ประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกาจึงต่างต้องการแสวงหาโอกาสนี้ไว้เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจของตน
‘กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก’ (Pacific Alliance) ถือเป็นพัฒนาการทางความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคที่สำคัญล่าสุดในลาตินอเมริกาเพื่อตอบสนองต่อกระแสเศรษฐกิจดังกล่าว และได้กลายเป็นกลุ่มการค้าที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดทั้งจากในภูมิภาคเองและระดับนานาชาติ
กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกก่อตั้งขึ้นในเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554 โดย 4 ประเทศสมาชิกปัจจุบัน ได้แก่ ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และเปรู[1] เป้าหมายของกลุ่มนี้คือ
- ส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจโดยผ่านการมีส่วนร่วมและความเห็นชอบจากทุกภาคส่วน รวมถึงผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า การบริการ เงินทุนและทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบ
- สนับสนุนให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาและการแข่งขันทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสมาชิก โดยมุ่งเน้นให้มีระบบสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพมากขึ้น ขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ และผลักดันให้เกิดการยอมรับความหลากหลายของสมาชิกในสังคมเพิ่มมากขึ้น
- เป็นฐานนโยบายให้กับด้านการเมือง เศรษฐกิจและการรวมกลุ่มการค้า และขยายจุดแข็งต่างๆ เหล่านี้ไปสู่ระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นพิเศษ[2]
เป้าหมายของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกมุ่งเน้นกระชับสายสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกเป็นหลัก โดยมีเงื่อนไขว่าทุกประเทศที่เป็นสมาชิกต้องปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ประเทศสมาชิก (รวมถึงประเทศที่ประสงค์จะเข้าร่วมกลุ่ม) ต้องจัดทำข้อตกลงทางการค้ากับทุกประเทศในกลุ่มพันธมิตร โดยประเทศทั้งสี่ที่เป็นสมาชิกต่างมีแนวชายฝั่งขนานไปตลอดแนวมหาสมุทรแปซิฟิก มีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมกันเป็นจำนวนกว่า 1 ใน 3 ของทั้งภูมิภาคลาตินอเมริกา และมีอัตราการส่งออกสินค้าคิดเป็นร้อยละ 47 ของภูมิภาค
สมาชิก | ชิลี | โคลอมเบีย | เม็กซิโก | เปรู | พันธมิตรแปซิฟิก | ลาตินอเมริกา | ร้อยละของพันธมิตรแปซิฟิก ในลาตินอเมริกา |
ประชากร (ล้าน) | 18 | 49 | 116 | 31 | 214 | 593 | 36 |
Nominal GDP (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)* | 277 | 378 | 1,261 | 207 | 2,123 | 5,937 | 37 |
Nominal GDP (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ PPP)** | 395 | 529 | 2,095 | 344 | 3,363 | 8,008 | 42 |
รายได้ประชาชาติต่อหัว (PPP)** | 19,067 | 11,189 | 15,563 | 11,124 | |||
มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) | 90 | 67 | 401 | 48 | 606 | 1,280 | 47 |
มูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการ (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) | 91 | 74 | 409 | 50 | 624 | 1,361 | 46 |
FDI Stock (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) | 215 | 128 | 389 | 74 | 806 | 2,569 | 31 |
FDI Inflows (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) | 20 | 17 | 38 | 10 | 85 | 292 | 29 |
ที่มา: คำนวณจากฐานข้อมูล Economist Intelligence Unit (EIU)
*ค่า Nominal GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเบื้องต้น) คำนวณโดย EIU และอาศัยฐานข้อมูลของ World Bank และ World Development Indicators
**PPP หรือความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (purchasing power parity) ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงินแต่ละประเทศโดยแสดงผลในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกมีลักษณะที่สำคัญอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกต้องการสร้างสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชียโดยตั้งใจทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมทางเศรษฐกิจระหว่างสองภูมิภาค ด้วยการอาศัยข้อตกลงทางการค้าเสรีที่มีอยู่แล้วระหว่างประเทศสมาชิกกับประเทศในเอเชียแปซิฟิก อาทิ กับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และสิงคโปร์
ประการต่อมาคือสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกทุกประเทศมีแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ โดยในทางประวัติศาสตร์นั้น ลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่มีทั้งประเทศที่ต่อต้านและสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ตามแนวความคิดทฤษฎีการพึ่งพา (Dependency Theory) ดังที่เกิดขึ้นในบราซิล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Brazilian Model’
กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกจัดตั้งขึ้นในขณะที่กลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (MERCOSUR) ซึ่งประกอบด้วยอาร์เจนตินา บราซิล ปารากวัยและอุรุกวัย เผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและนโยบายกีดกันทางการค้าในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่างเคยเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลสูงมากในภูมิภาคลาตินอเมริกาเนื่องด้วยขนาดทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ของประเทศสมาชิก แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยรวมทั้งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของประเทศสมาชิก อิทธิพลทางเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่างลดลงเป็นอันมาก รวมทั้งประเทศสมาชิกต่างมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่กีดกันการค้าเสรี แตกต่างจากกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายเสรีทางเศรษฐกิจ เปิดกว้างต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งหากกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกประสบความสำเร็จ อาจกดดันให้บราซิลและประเทศอื่นๆ ในกลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่างเปลี่ยนมาใช้นโยบายที่เปิดกว้างและเสรีทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกจะมีนโยบายเน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งแต่ละประเทศต่างก็มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่ทางกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกยังคงประสบปัญหาและอุปสรรคจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ยังไม่เพียงพอและโอกาสทางการศึกษาที่ยังไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ประเทศสมาชิกยังคงพึ่งพารายได้หลักจากการส่งออกสินค้าวัตถุดิบซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจโลก รวมถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในลาตินอเมริกาที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนประมาณการว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของลาตินอเมริกาในอนาคตจะเหลือเพียงร้อยละ 2 ต่อปีเท่านั้น โดยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเศรษฐกิจขยายตัวของลาตินอเมริกา อันเป็นผลมาจากวิกฤตโควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ในอดีตนั้น การส่งสินค้าวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุ ถั่วเหลือง และเชื้อเพลิงจำนวนมากได้ช่วยยกระดับเศรษฐกิจของลาตินอเมริกาไว้ โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งหากไม่ได้พึ่งพาการส่งสินค้าเหล่านี้ ภูมิภาคลาตินอเมริกาอาจมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยอยู่ที่เพียงร้อยละ 2.4 ดังเช่นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันที่มิได้พึ่งพิงรายได้จากการส่งออกสินค้าวัตถุดิบเป็นสำคัญ แต่อีกด้านหนึ่งการพึ่งพาการส่งออกสินค้าวัตถุดิบจำนวนมากนี้ก็ส่งผลให้มูลค่าเงินตราสกุลท้องถิ่นขยับตัวสูงขึ้น จนก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจที่มิได้เกี่ยวข้องกับสินค้าวัตถุดิบดังกล่าว ดังนั้นภูมิภาคลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก จำเป็นต้องพัฒนาและผลักดันการเจริญเติบโตของประสิทธิภาพการผลิตรวมทั้งส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีความหลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (Boom and Bust Cycle) ที่มักเกิดขึ้นในลาตินอเมริกา
นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำในลาตินอเมริกานั้นเป็นผลมาจากการขาดการพัฒนาในระบบการคมนาคมขนส่ง การขาดศักยภาพทั้งในด้านการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งผลกระทบของการขยายตัวของธุรกิจใต้ดินที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการขาดนโยบายด้านการเคหะและการวางผังเมืองที่ไม่เหมาะสมก็ยังส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องใช้เวลากับการเดินทางเป็นเวลานาน
ที่ผ่านมา ประเทศในลาตินอเมริกาจึงพยายามแก้ไขปัญหา โดยการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตลอดจนการแก้ปัญหาอาชญากรรมซึ่งความพยายามนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคได้เช่นกัน ขณะเดียวกันการให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกนี้ก็จะช่วยส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีความหลากหลายและแข็งแกร่งมากขึ้น ก่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานในการผลิตในระดับภูมิภาค คล้ายคลึงกับแนวทางพัฒนาที่ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง[3]
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศสมาชิกกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกจะสามารถเอาชนะอุปสรรคภายในประเทศได้แล้ว แต่ประเทศเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ลาตินอเมริกาถือเป็นภูมิภาคที่มีการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือต่างๆ ในระดับภูมิภาคเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงแต่ความคาดหวังในที่ประชุม
ถึงแม้กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกจะมีจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจประสบปัญหาเช่นเดียวกับ กลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่างหรือความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ยามเมื่อมีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้ากลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกประสบความสำเร็จ ก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคอีกด้วย
รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกาพยายามสร้างสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาตั้งแต่อดีต เพื่อขยายโอกาสทางการค้าสู่อีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก และด้วยลักษณะความเป็นพหุภาคีและมีความมุ่งมั่นของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก การรวมกลุ่มเศรษฐกิจครั้งนี้จึงอาจเป็นคำตอบให้กับประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกาที่มักเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาตามลำพังอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับในยามต้องเจรจาการค้ากับจีนในลักษณะทวิภาคี ดังนั้นถ้ากลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักของการรวมกลุ่มกันได้ ก็จะกลายเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างเอเชียกับลาตินอเมริกาต่อไปในภายภาคหน้า
[1] จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกมีประเทศผู้สังเกตการณ์ทั้งสิ้น 61 ประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงสี่ประเทศที่เป็นสมาชิกของอาเซียน คือ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย
[2] ดูเป้าหมายของกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกได้ที่ http://alianzapacifico.net/en/home-eng/the-pacific-alliance-and-its-objectives (เข้าถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2565.)
[3] The Economist. “The Loss of El Dorado: After the Commodity Boom, the Region Needs a New Formula for Growth,” (June 27, 2022). http://www.economist.com/news/leaders/21656185-after-commodity-boom-region-needs-new-formula-growth-loss-el-dorado/, (เข้าถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2565)