คุณว่าช่วงนี้โลกและสังคมไทยวุ่นวายไหม?
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนถึงได้พยายามเอาตัวเข้าไปเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ แบกรับสนับสนุนฝ่ายของตนเพื่อที่จะ ‘ต่อสู้’ กับคนฝ่ายอื่นได้มากถึงขั้นที่ ‘บิดผัน’ ชุดศีลธรรม (morality) ในตัว จนอาจกลับข้างไปเลยกับสิ่งที่ควรจะเป็น?
คุณคิดว่าโลกกำลังหกคะเมนตีลังกาอยู่หรือเปล่า?
แล้วคุณควรทำอย่างไรดี?
สำหรับคนบางกลุ่ม เวลาเห็นโลก ‘ไม่เป็นไปอย่างใจ’ ก็จะกระโดดเข้าสู่โลก สู่สังคม ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหน ตั้งแต่เข้าไปเป็นนักการเมือง เป็นนักธุรกิจ เป็นอาสาสมัครทำงานทางสังคม เป็นคนทำสื่อ ฯลฯ เพื่อช่วย ‘เปลี่ยนโลก’ ให้เข้ารูปเข้ารอยเข้าแก๊ปในแบบที่ตัวเองคิดว่าควรจะเป็น
ในศตวรรษที่แล้ว คำว่า ‘เข้าแก๊ป’ อาจเป็นคำที่พอใช้ได้อยู่ เพราะดูเหมือนโมเดลของชุดศีลธรรมจะมีอยู่ไม่กี่ชุด สิ่งที่เรียกว่า ‘คุณธรรม’ (virtue) ของคนในโลกไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ชุดของอุดมการณ์การปกครองหลักในโลกน่าจะมีแค่คอมมิวนิสม์กับประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่ในปัจจุบัน โมเดลของแทบทุกสิ่งทุกอย่างร่วงลงมาจากหิ้งที่มนุษย์เคยบูชากราบไหว้เห็นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แตกกระจายเกลื่อนกล่น แต่ละคนสามารถ ‘เลือก’ อะไรก็ได้ที่คิดว่าสอดคล้องกับตัวเองมาเป็นหลักยึด นั่นทำให้ชุดศีลธรรมมีหลากหลายมาก รวมไปถึงอุดมการณ์และอุดมคติในด้านต่างๆ ด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องทางการเมือง แต่กินความรวมไปถึงวัฒนธรรม สังคม ความรวยจน เพศวิถี ความเชื่อ ความงาม ความจริง ฯลฯ
ผลลัพธ์คือ ผู้คนที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ แทนที่จะโอบรับความต่างได้ พวกเขากลับพุ่งเข้าใส่กัน และทำทุกอย่างคล้ายอยากประหัตประหารคนที่ ‘คิดต่าง’ จากตัวเองให้แดดิ้นสิ้นใจไปจนหมด
สภาวะแบบนี้ทำให้คนบางกลุ่มเกิดอาการ ‘เบื่อหน่าย’ โลกอย่างที่สุด โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยๆ และมีต้นทุนในชีวิตไม่มากนัก หลายคนอาจรู้ว่าโลกที่ตัวเองต้องการเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อเห็นว่าถ้าจะเข้าไปเปลี่ยนโลกให้เป็นอย่างที่ต้องการ ต้องใช้พละกำลังมหาศาล ซึ่งอาจกินเวลาชั่วชีวิตของตัวเอง พวกเขาก็เลยรู้สึก ‘เหนื่อย’ และ ‘อ่อนล้า’ เกินกว่าที่จะทำอย่างนั้น โดยเฉพาะคนที่อายุยังไม่มาก และเกิดมาพบกับสภาวะของโลกและสังคมที่ตัวเองไม่มีสิทธิเลือกอะไรเลย คนเหล่านี้จึงอาจรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ออกวิ่ง ตั้งแต่ยังไม่ได้ใช้ชีวิต ตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตคืออะไร
โลกที่ตีกันอีนุงตุงนัง ตั้งแต่การตีกันทางการเมืองในสังคมไทย ไปจนถึงโลกที่ทรัมป์เลือกทำสงครามการค้ากับประเทศต่างๆ ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม โลกที่ถูกโรคระบาดคุกคาม โลกที่หลายประเทศทำสงครามจนลุกลามไปทั่ว ไม่นับรวมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้เกิดสภาวะ ‘อึมครึม’ ของฝนฟ้าที่คาดเดาไม่ได้ – โลกเหล่านี้อาจ ‘สนุก’ สำหรับบางคนที่พอจะมีทรัพยากรและต้นทุนในการต่อสู้กอบโกย คนที่มีมากอาจรู้สึกว่าเป็นโลกแห่ง ‘โอกาส’
แต่โปรดอย่าลืมว่า – สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเหล่านี้คุกคามสวัสดิภาพของผู้คน โดยเฉพาะคนอีกไม่น้อยที่ ‘ตัวเล็กตัวน้อย’ เกินกว่าจะมีความหวัง!
หญ้าแพรกบางต้นก็เลือกจะล้มร่างแหลกตั้งแต่เห็นช้างสารส่งเสียงแปร๋นโดยไม่ยังทันเข้ามาเหยียบด้วยซ้ำ
“ผมไม่มีความหวังเลย” น้องคนหนึ่งบอกผมในวันที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกันถึงเรื่องความเป็นไปในชีวิต
เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคมโลก ไม่ได้ชวนให้เขาเกิด ‘ความหวัง’ แม้สักนิด ว่าคนอย่างเขาที่ไม่มีต้นทุนอะไรนักหนา จะสามารถก้าวขึ้นมามี ‘ชีวิต’ ในแบบที่ตัวเองอยากมีได้
“ผมไม่ได้อยากตายนะครับ แต่อยากหนีไปให้พ้นๆ จากโลก จากสังคมแบบนี้ ผมไม่อยากสนใจโลกอีกต่อไป” เขาว่า
คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงอาการที่เรียกว่า apathy ซึ่งหมายถึงสภาวะ ‘ไร้อารมณ์’ หรือ ‘เฉยชา’ จนไม่อยากสนใจใส่ใจกับอะไรในโลกอีกแล้ว ไม่มีทั้งความห่วงกังวล ไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีแรงขับเคลื่อน และไม่มีความปรารถนาหรือแพชชั่นที่จะทำอะไรอีกต่อไป
โดยนิยาม apathy หมายถึงการขาดแรงจูงใจหรือความสนใจในกิจกรรม เป้าหมาย หรือสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่มีอาการเฉยชาแบบนี้ อาจแสดงความ ‘ไม่ใส่ใจ’ (insensible) หรือ ‘เกียจคร้าน’ (sluggish) ต่อโลกออกมาให้คนเห็น
โดยทั่วไป apathy มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งระดับอ่อนและระดับรุนแรง โดยสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของความสนใจเป็นสามแบบหลัก คือ
- executive apathy: คำว่า executive ไม่ได้หมายถึงผู้บริหารนะครับ แต่หมายถึงการไม่สนใจวางแผน จัดระเบียบ หรือจัดการอะไรเลย เพราะเบื่อหน่ายเหลือเกินแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจทำได้ อาการนี้อาจเกิดจากความเบื่อหน่ายแบบอ่อนๆ หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้น อาจเกิดจากการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความคิดและการตัดสินใจ แต่พูดง่ายๆ ก็คือเป็น apathy ประเภทที่ไม่อยากลงมือทำอะไรนั่นแหละ
- emotional apathy: แบบที่สองนี้ จะขาดการตอบสนองทางอารมณ์ คือมีความเฉยเมย ไม่รู้สึกสะเทือนใจ เศร้าสร้อย และไม่รู้สึกมีความสุขสนุกสนานอะไรด้วย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องดีหรือร้ายอะไรขึ้นมาก็จะ – อ้อเหรอ, แล้วก็ไม่สนใจอะไร ซึ่งก็เช่นเดียวกับแบบแรก คืออาจเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกก็ได้ หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้น (และมักเกิดกับผู้สูงวัย) อาจเกิดจากความเสียหายของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่นในผู้ป่วยสมองเสื่อมบางประเภท
- initiation apathy: แบบนี้คือการขาด ‘แรงจูงใจ’ ตั้งแต่ต้นทางเลย คือไม่อยากเริ่มลงมือทำอะไรทั้งนั้น มีความพยายามจะริเริ่มทำสิ่งต่างๆ ต่ำกว่าคนทั่วไป แม้ว่าจะยังรับรู้เป้าหมายได้ก็ตาม
ในทางสังคม เราอาจคุ้นกับคำว่า ‘ฮิคิโคโมริ’ กันดี คนที่เรียกว่าเป็นฮิคิโคโมริจะเก็บตัว ไม่สนใจโลก ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไร อยู่แต่ในห้องของตัวเอง ไม่ออกมาข้างนอก ถ้าจะออกนอกห้องหรือนอกบ้านบ้างก็นานๆ ครั้ง และมักเลือกออกมาในตอนกลางคืน อาการแบบนี้ถือว่าเป็น apathy แบบหนึ่งที่ค่อนข้างรุนแรง
ในทางศาสนา หลายศาสนาที่ไม่เข้าใจว่า apathy อาจเกิดจากพยาธิสภาพทางสมองได้ (ซึ่งก็อาจเกิดจากการโน้มนำทางสังคมได้ด้วย) มักเห็นว่าคนที่มีอาการเหล่านี้เป็นคนที่ไม่พึงปรารถนา เพราะถือว่าเป็นคนเกียจคร้าน ในศาสนาคริสต์ มีศัพท์เรียกคนที่ ‘เฉื่อยชาทางจิตวิญญาณ’ ว่า acedia คือรู้สึกเหนื่อยหน่ายหรือจืดจางต่อชีวิตทางจิต ซึ่งในหลายมิติก็คาบเกี่ยวกับ apathy ด้วยเหมือนกัน แต่อาจเรียกว่าเป็น spiritual apathy ในขณะที่ apathy จะมีมีบริบทที่กว้างกว่า
ส่วนในทางเศรษฐกิจ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมบริโภคนิยมที่เน้นการผลิต คนเหล่านี้ที่ทั้ง ‘ไม่ผลิต’ และ ‘ไม่บริโภค’ (หรือบริโภคน้อย) น่าจะถือเป็นตัวร้ายในสังคมทุนนิยมเลย เพราะไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินใดๆ
นั่นจึงทำให้หลายสังคมเห็นว่า apathy ร้ายกาจยิ่งกว่าความเกลียดหรือความโกรธเสียอีก เพราะอย่างน้อยที่สุด ความเกลียดและโกรธ ก็ยังก่อให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมา เช่นถ้าสังคมแบ่งเป็นฝักฝ่าย แล้วแต่ละฝ่ายเกลียดกัน คนที่ ‘แบก’ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาไว้ก็จะต้องพยายามสร้างสรรค์อาวุธใหม่ๆ มาโจมตีฝ่ายตรงข้าม รวมถึงพยายามหาวิธีป้องกันตัวเองด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ยังเกิดความเคลื่อนไหวอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่ถ้าสังคมเต็มไปด้วยคนที่มีลักษณะ apathy ไม่รักอะไร ไม่เกลียดอะไร ก็เป็นไปได้ที่สังคมแบบนั้นจะเหมือน ‘ตายไปแล้ว’ คือด้านชา ตายซาก ไม่รู้สึกรู้สา
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้น ก็คือการที่ apathy (ภาวะเฉยชา) อาจพัฒนาต่อจนกลายเป็นการ ‘ถอนตัว’ ออกจากสังคม หรือ resignation syndrome (RS) ไปเลย
RS มักเกิดกับคนที่เผชิญสภาวะที่แย่มากๆ เช่น ทหารที่ต้องสู้รบในสงครามที่โหดเหี้ยมจนเฉยชาต่อโลก เชลยศึกที่ถูกจับในสงคราม หรือผู้ลี้ภัยที่ต้องรอผลการลี้ภัยเป็นเวลานานจนสิ้นหวัง เมื่อคนเหล่านี้สิ้นหวังมากเข้า แต่รู้สึกว่าตัวเอง ‘ติดกับดัก’ ไม่สามารถ ‘หนี’ ออกไปจากชีวิตของตัวเองได้ พวกเขาก็เลือกวิธี ‘ถอนตัว’ ไปจากโลกนี้ ด้วยการเลิกทำกิจกรรมพื้นฐานต่างๆ เลิกพูด เลิกเคลื่อนไหว เลิกขยับตัว และเลิกกิน จนอาจเกิดอาการหมดสติ ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออะไรอีก บางรายต้องใช้วิธีให้อาหารทางท่อ แต่หลายรายก็รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
มีรายงานมาระยะหนึ่งแล้ว ว่า apathy ในระดับโลกมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งรายงานของ WHO บทความของ UNHCR หรือบทความที่ตั้งคำถามว่า apathy ในทางการเมืองนั้น มันเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยหรือเปล่า
ผมไม่รู้หรอกว่า ในสังคมไทยของเรา สภาวะ apathy มันเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่คำพูดของรุ่นน้องคนนั้นสะกิดใจให้นึกถึงคำนี้ขึ้นมา พร้อมกับคำถามที่แผดเผาอยู่ในใจว่า – นี่เรากำลังสร้างโลกแบบไหนกันอยู่หรือ ถึงได้ทำให้คนรุ่นใหม่ (อย่างน้อยก็น้องคนนั้น) เกิดความรู้สึกที่ ‘เข้าใกล้’ สภาวะ apathy ได้ถึงขนาดนี้