“การนิรโทษกรรมประชาชน คือการยกเลิกความผิดที่ไม่ควรต้องผิดตั้งแต่แรก”
“ถ้าไม่มีนิรโทษกรรมก็จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งยังคงอยู่ ความขัดแย้งของเจนเนอเรชันเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่รวมในส่วนนี้ มันก็รอวันปะทุใหม่”
เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองแบบแบ่งขั้ว ตั้งแต่การชุมนุมเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. จนถึงม็อบคนรุ่นใหม่และประชาชนในปี 2563 แม้การแสดงออกทางการเมืองควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่คนที่ออกมาเคลื่อนไหวกลับถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก หรืออย่างน้อยราว 5,000 คน นับตั้งแต่ปี 2549
“ความขัดแย้งทางการเมืองที่ถูกสะสมมา มันจำเป็นจะต้องเริ่มคลี่คลายสักที แต่อันดับแรกต้องคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ออกมาใช้เสรีภาพก่อน”
ปัจจุบันมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อยกเลิกความผิดในคดีการเมือง และเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งอันยาวนาน โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีการเสนออยู่ประกอบไปด้วยร่างของพรรคการเมือง 3 ร่าง ได้แก่ ก้าวไกล รวมไทยสร้างชาติ ครูไทยเพื่อประชาชน และร่างของภาคประชาชนอีก 1 ร่าง ในขณะที่แกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทยเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
“จุดตัดมันอยู่ที่มาตรา 112 เขาพยายามใช้มาตรา 112 มาเป็นข้ออ้างในการถกเถียงกันตลอดเลยว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่านดี”
101 ชวนฟังบทสัมภาษณ์ 3 นักเคลื่อนไหวทางการเมือง สมบัติ บุญงามอนงค์ ในฐานะคนเสื้อแดง, นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ อดีตผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ผู้ร่วมชุมนุมม็อบ 2563 ถึงผลกระทบจากคดีการเมืองและมุมมองต่อการนิรโทษกรรมประชาชน