สถานการณ์การเมืองไทยหดหู่มากค่ะ คนใช้เสรีภาพในการพูดกับติดคุกหลักสิบปี แต่คนที่ทำให้คนอื่นเสียชีวิตในค่ายทหารกับได้รับโทษไม่กี่เดือน แถมได้รอลงอาญาด้วย เราจะรับมือกับข่าวการเมืองที่หดหู่อย่างไรดีคะหมดหวังกับประเทศมากๆ – เค้ก
ตอบคุณเค้ก
ไม่กี่วันหลังจากได้รับข้อความของคุณ สถานการณ์ก็ยิ่งหดหู่หนักด้วยเรื่องสงครามตามชายแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องเฮงซวยที่มาพร้อมการรบราฆ่าฟันกัน (ผมคิดว่าถ้าการเมืองดี สถานการณ์คงไม่ลุกลามมาถึงขนาดนี้) ทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำความสิ้นหวังทางการเมือง
กว่าจะได้รับคำตอบจากลุง หวังว่าคุณเค้กจะพอประคับประคองความหวังไม่ให้พังทลายไปมากกว่านี้
ข้อมูลทางจิตวิทยาบอกว่าเมื่อเรารู้สึกสิ้นหวัง วิธีจัดการในเบื้องต้นคือควรหาเรื่องปลอบใจตัวเองไปพลางก่อน เช่น คิดเสียว่ายังมีคนอีกมากที่เซ็งเหมือนเรา ไม่ใช่เราคนเดียวที่คิดว่าการเมืองมันห่วย เรายังมีเพื่อนอยู่อีกมากมาย นอกจากนั้น อย่าลืมทำดีกับตัวเองให้มากๆ ตั้งแต่เรื่องดูแลสุขภาพ หาของดีมีประโยชน์รับประทาน ออกกำลังกาย รับแดดอ่อนๆ ไปจนถึงพักผ่อนหย่อนใจบ้าง นอนหลับให้เต็มตา อย่าเครียด และสุดท้ายแล้วผมอยากจะบอกว่าเราจะรู้สึกแย่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ความสิ้นหวังมันไม่ใช่เรื่องถาวร พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ฮึดสู้กันอีกรอบได้
ท่านว่าการทำงานอาสาสมัครหรือทำอะไรเพื่อชุมชน (ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะบ้านเรามีช่องทางเรื่องนี้น้อย คนแก่โชคดีที่มีลานวัดให้กวาดหลังกลับมาจากเดินหิ้วของตามพระบิณฑบาตในตอนเช้า แต่เด็กนี่จะอย่างไรดี ไปเป็นอาสาสมัครให้มูลนิธิกระจกเงาหรือมูลนิธิใดๆ ที่เราพอใจละมั้ง) การทำงานอาสาอาจช่วยให้เรารู้สึกว่าพอมีพลังในสังคมนี้บ้าง พอช่วยประคับประคองความหวังทางอ้อมได้บ้าง
ขณะเดียวกัน เพลาๆ การตามข่าวการเมืองก็พอผ่อนหนักเป็นเบาได้
ส่วนคดี เมย–ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ที่ถูกธำรงวินัยจนเสียชีวิต ลองคิดเล่นๆ แบบ ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ นะครับ หมายความว่าที่เราเห็นนั้นมันแค่เบื้องหน้า จริงๆ แล้วมี ‘มือที่มองไม่เห็น’ ชักใยเหตุการณ์อยู่เบื้องหลัง คำตัดสินและรูปการณ์ของข้อมูลที่ออกมาในข่าวเป็นไปในเชิงเย้ยหยัน (บทลงโทษเบาๆ ทั้งที่จำเลยทำให้คนอื่นเสียชีวิต แถมเหตุผลของการรอลงอาญาก็ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย)
ฟังแล้วมีแต่ทำให้เจ็บใจ แค้นใจ ถ้าคนฟังไม่รู้สึกหมดหวังก็ให้มันรู้ไป
ลุงเชื่อว่าคนระดับที่มานั่งบัลลังก์ได้ (ด้วยความเคารพ) ไม่พูดจาพล่อยๆ แน่ ทุกคำที่ออกมาจากปากท่านน่าจะผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว
ราวกับว่าทั้งหมดนี้มีจุดหมายเพื่อทำลายความหวังว่าการเมืองบ้านเราเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งจะว่าไปการกำราบประชาชนในทุกมิติมันดำเนินการมานานแล้ว (ว่าไง ฟังดูเป็นทฤษฎีสมคบคิดมั้ย) หมดหวังกับประเทศได้ครับ แต่หมดแล้วก็อย่าหมดเลย อย่างไรก็จัดการกับตัวเองให้พอมีแรง แล้วอย่าลืมลุกขึ้นมาสู้กันใหม่
ข้อเท็จจริงคือคนรุ่นคุณได้เปรียบเรื่องอายุ ผู้มีอำนาจอนุรักษ์นิยมเท่าที่เห็นเหมือนจะเหลือเวลาอยู่ในโลกอีกไม่มากนัก พร้อมจะร่วงหล่นเป็นใบไม้หน้าแล้งได้ทุกเมื่อ
อย่าเพิ่งรีบย้ายประเทศไปไหนเสีย อยู่เมืองไทยเป็นเพื่อนกันไปก่อนนะครับ
สวัสดีครับลุงเฮม่า ผมจะรับมือกับภาวะเบิร์นเอาต์จากการทำงานอย่างไรดีครับ ทำไปก็เงินเดือนประมาณนี้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เศรษฐกิจก็แย่ ตั้งตัวก็ยาก ผมท้อมากเลยครับ – เนม
ตอบคุณเนม
ตอนแรกว่าจะตอบเรื่องอาการเบิร์นเอาต์ของคุณด้วยคำแนะนำทางด้านจิตวิทยา (อันนี้ค้นมาจากเว็บไซต์ของ Mayo Clinic) ได้แก่ ให้ตั้งสติก่อนว่าเบิร์นเอาต์เกิดจากความเครียดซึ่งมาจากเรื่องงาน เกิดเป็นความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไร้ประโยชน์ ว่างเปล่า ฯลฯ และมีอาการได้แก่ ไม่อยากทำงาน (อ่านแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะใครๆ ก็เป็นมั้ย)
ส่วนวิธีจัดการ ท่านว่าให้คุยเรื่องนี้กับหัวหน้าก่อนว่าพอมีวิธีเปลี่ยนเงื่อนไขใดๆ ที่เป็นปัญหาบ้างไหม ถ้าคุยแล้วการงานดูมีความหวังขึ้นก็ดี แต่ถ้าคุยแล้วดูท่าว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยน ท่านแนะว่าควรเปลี่ยนงานซะ
คำแนะนำด้านจิตวิทยาเพื่อช่วยเราสยบอาการเบิร์นเอาต์นั้นมีมากมายเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ให้หากิจกรรมหย่อนใจให้หายเครียด เช่น โยคะ ปฏิบัติธรรม เป็นต้น หรือแค่หายใจเข้าออกลึกๆ สักสี่ห้ารอบก็เป็นวิธีคลายเครียดที่ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์
ลุงเพิ่งได้ดู The Perfect Day ทางสตรีมมิง คุณฮิรายามะ ตัวเอกผู้แข็งขันกับการทำงานล้างส้วมสาธารณะในกรุงโตเกียว เขามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจทำงานต่ำต้อยให้ดีที่สุด (หรือเขาโชคดีที่ได้ล้างส้วมสาธารณะที่ออกแบบสร้างโดยสุดยอดสถาปนิก 15 รายก็ไม่ทราบได้) เขาฟังเพลงที่เขาชอบจากเทปคาสเซ็ต ฟังมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เขาซื้อหนังสือมือสองทีละเล่ม อ่านจบแล้วค่อยซื้อเล่มใหม่ เขาหาความสุขจากการมองเงาวิบวับของใบไม้เมื่อต้องแสงแดดอย่างที่ญี่ปุ่นเรียกว่า ‘โคโมเรมิ’ คุณฮิรายามะคือตัวอย่างชีวิตของคนที่ห่างไกลจากการเบิร์นเอาต์ เอาเป็นว่าแค่ดูแกล้างส้วมก็น่าจะช่วยให้เรามีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง…
แต่พอกลับไปอ่านคำถามให้ดีอีกที อ้าว ไม่ใช่นี่หว่า ลุงผิดไปเอง เพราะแม้คุณอาจจะเครียดจากการเบิร์นเอาต์ แต่ดูเหมือนคุณจะเครียดเรื่องรายได้มากกว่า “…ทำไปก็เงินเดือนประมาณนี้…”
ถ้าปัญหาของคุณคือเรื่องเงิน ลุงมีคำตอบ
วิธีแรก ลาออกจากงานที่ทำอยู่ แล้วเข้าสู่วงการข้าราชการ สอบให้ติด ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้บรรจุ เพราะงานราชการคือแหล่งของรายได้ (ที่ไม่ใช่เงินเดือน) อันมหาศาล แถมมีกลไกในการคอรัปชั่นรอไว้แล้วอย่างพร้อมสรรพ เข้าไปแล้วหาทางมุบมิบเงินภาษีของประชาชน ทำๆ ไปเดี๋ยวก็รวยเอง แถมไม่ต้องกลัวว่าพ่อแม่พี่น้องจะอายที่เราคอรัปชั่น เพราะทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครอาย
ถ้าคุณคิดว่าขอให้ได้เงินเท่านั้นก็พอ
ถ้าวิธีแรกมีอุปสรรค ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสอบไม่ติด แนะนำให้เข้าสู่วงการยาเสพติดนะครับ ข้อมูลของผู้ที่อยู่ในวงการระบุว่าเหตุผลที่ตนเข้าสู่แวดวงยาเสพติดเพราะ (หนึ่ง) มันใกล้ตัว ใครๆ รอบตัวก็เล่น (สอง) ทำงานสุจริตรวยช้า แต่ขายยาเสพติดรวยเร็ว ให้ทำไปจนกว่าจะถูกจับครับ
เงื่อนไขมีว่าคุณต้องดึงตัวเองเข้าสู่วงการด้วยการเริ่มเสพยาก่อน จากนั้นจึงค่อยหาหนทางยกระดับไปอยู่ชั้นบนๆ ของห่วงโซ่อาหารของการค้ายาฯ ต่อจนได้เป็นผู้ค้า และทำไปจนกว่าจะพลาดท่า โดนจับ โดนคู่แข่งจัดการ หรือเสียสติเพราะพิษยากัดกินสมองไปเอง ถึงตอนนั้นเราก็ไม่ต้องรับรู้หรือทุกข์ร้อนกับเรื่องอะไรอีกแล้ว
จบการชี้ช่องรวย (แบบคนสิ้นคิด) ของลุงเฮม่าเพียงเท่านี้
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]