ช่วงที่ผ่านมากระแส ‘quiet luxury’ ที่เน้นเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่แอบซ่อนความหรูหรากำลังมาแรง คุณลุงมองว่ากระแสแบบนี้จะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่ต้องแต่งตัวหรูอย่างเห็นได้ชัดหรือเปล่าคะ – ลิซ่า
ตอบคุณลิซ่า
‘quiet luxury’ เป็นเทรนด์ฝรั่ง (บางคนอาจเถียงว่ามันเป็นมากกว่าเทรนด์นะ นี่มันไลฟ์สไตล์) เห็นมีคนแปลเป็นไทยโดยให้ความหมายว่า ‘เรียบหรูแบบไม่ต้องตะโกน’ ซึ่งก็เข้าท่าดี ในความจริง quiet luxury อยู่กับเรามานานแล้ว หลายคนจะเรียกว่าเป็นลุคผู้ดีเก่าก็ว่าได้ คือนิยมเลือกใช้ของดีๆ วัตถุดิบชั้นเยี่ยม นุ่มสบาย ถ้าร้อนใส่แล้วเย็นสบาย ถ้าอากาศหนาวสวมใส่แล้วก็แสนอุ่นโดยไม่ต้องพอกทับหลายชั้น ตัดเย็บด้วยฝีมือระดับคราฟต์ ใส่แล้วพอดีตัว ดูดี เคลื่อนไหวสะดวกไม่ดึงไม่รั้ง แบบที่เลือกมักจะเรียบร้อยไม่หวือหวา ใส่กันได้นานๆ ล้าสมัยยาก แต่สิ่งที่กล่าวมานี้เพิ่งจะมาเป็นที่สนใจก็ปีสองปีหลัง ซึ่งมีผู้อธิบายถึงสาเหตุการกลับมาของมันอยู่สามสี่ข้อ ประกอบด้วย
1) ความเบื่อหน่ายต่อเทรนด์บ้าแบรนด์ชนิดติดป้ายกันโต้งๆ แบบหน้าไม่อาย หรือที่ฝรั่งเรียกว่า logo manoa เอาโลโก้ไปโชว์หราบนเสื้อผ้าแนวสตรีท แล้วเสื้อยืดธรรมดา เนื้อดีหน่อย ราคาก็ถีบตัวขึ้นได้สิบๆ เท่าอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเป็นที่นิยมมากเพราะมันง่าย (ขอให้มีเงินก็พอ) ซื้อง่ายและใส่ง่าย
2) โควิดเป็นเหตุ สำหรับคนไทยที่เน้นแคชวลสบายๆ ใส่เสื้อยืดไปทำงาน เชิ้ตก็ไม่เอาเข้ากางเกง ใครแต่งตัวหน่อยก็มองทำนองว่าเขาเว่อร์นั้น อาจไม่ค่อยรู้สึกกันนัก แต่สำหรับฝรั่งนั้นการที่ต้องถูกล็อคดาวน์ ไม่เจอผู้คน ไม่ต้องแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ (ยกเว้นตอนประชุม zoom) แล้วมาพบกับอิสรภาพของการแต่งกาย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอยากได้เสื้อผ้าที่ดูดีดูหรูแล้วใส่สบาย ทำให้เสื้อผ้าแนว quiet luxury จึงเป็นคำตอบ เพราะเน้นการใช้วัตถุดิบชั้นเยี่ยม การตัดเย็บชั้นยอด ให้ความสบายระดับลึกล้ำชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้ใส่เองนี่จะไม่มีทางนึกออก
3) เศรษฐกิจไม่ดี อันนี้โยงกับข้อแรกซึ่งว่าด้วยความระอาในโลโก้ เนื่องจากหากคนเราพอหาเงินได้ยากขึ้นในช่วงที่การทำมาหากินฝืดเคืองแบบนี้ ทำให้ความรู้สึกคึกอยากแต่งตัวไปอวดชาวบ้านก็เฉาลงและไม่เหมือนเมื่อก่อน เรื่องเสื้อผ้าที่คุณภาพดี แม้ราคาไม่ได้ถูก (หลายคนหันไปล่าเสื้อผ้าแบรนด์มือสอง ซึ่งเป็นตลาดที่บูมมาก) แต่ใส่แล้วสบ้ายสบาย ใส่แล้วอิ่มเอิบในใจด้วยรู้ว่าฝ้ายที่เราใส่อยู่ คือฝ้ายอียิปต์ 300 เส้น ตัดด้วยทีมช่างสืบสานงานคราฟต์ด้านตัดเย็บจากเฮาส์อายุกว่าร้อยปี ฯลฯ เสื้อผ้าที่ซื้อแล้วใส่ได้ยาวๆ ไม่ต้องวิ่งตามใคร สิ่งที่เสื้อผ้าแปะโลโก้ทำไม่ได้ เอาเข้าจริง quiet luxury น่าจะสิ้นเปลืองน้อยกว่า
4) เมื่อสื่อหันมาให้ความสนใจกับเสื้อผ้าหรูแบบไม่ต้องตะโกนที่อยู่ในซีรีส์ ‘Succession’ (ลุงเคยดูอยู่สองสามตอนแล้วขี้เกียจดู คือไม่รู้จะไปเอาใจช่วยเศรษฐีพวกนี้ไปทำไม) มันก็เหมือนบอกว่านี่ไง quiet luxury อ๋อ เขาต้องใส่กันเป็นแบบนี้นี่เอง ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น
quiet luxury ก็เหมือนกับแฟชันอื่นๆ กล่าวคือมันจะมีค่าขึ้นมาได้เมื่อใส่แล้วมีคนรู้ว่าเราใส่ และคนเห็นต้องมีความรู้ว่าแบรนด์นั้นแพง แบรนด์นี้ดัง รุ่นนี้หายาก แต่สิ่งที่ทำให้ quiet luxury ยากขึ้นไปอีกขั้น คือถ้าไม่บอกนี่ดูเผินๆ แล้วเกือบไม่รู้ว่าใส่ของดีของแพง เพราะบังเอิญหน้าตาเหมือนของโหลที่เขาก๊อปเจ้าอื่นมา คนที่รู้ว่ากำลังใส่เสื้อผ้าดีๆ แพงๆ ก็มีแต่เจ้าตัว (และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผู้ ‘ตาถึง’) เท่านั้น ทำให้ quiet luxury เป็นการบริโภคแบบ exclusive โดยแท้
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก quiet luxury ทำให้ซื้อเสื้อผ้าน้อยลง ใช้ทรัพยากรโลกน้อยลง เป็นพฤติกรรมเด็กดีรักษ์โลก
หากถามว่า quiet luxury จะไปกันได้กับคนไทยหรือไม่ ก็คงเหมือนกับที่คุณตั้งข้อสังเกตไว้น่ะครับ คนไทยโดยทั่วไปคงไม่ชอบใส่อะไรที่คนไม่รู้ว่าแพง เราไม่เคยให้ความสำคัญกับงานฝีมือใดๆ (เรารักฟอร์มแต่งงกับฟังก์ชั่น เหมือนที่รักอิเกีย แต่หายเห่อนิโตริแล้ว) รสนิยมของเราขาดการบ่มเพาะ กล่าวคือถ้าไม่มีการชี้นำแล้วจะไปไม่ถูก เหล่านี้เป็นสรณะทางรสนิยมของชาติเราไปเสียแล้ว ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงครับ quiet luxury คงจะเงียบเชียบต่อไป เพราะซื้อใส่แล้วไม่ใครรู้ จะซื้อทำไม
นอกจากคนบางกลุ่มซึ่งเป็นส่วนน้อย และชีวิตเรากับชีวิตเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว.
ช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้ ราวกับว่าเราเริ่มเห็นผลกระทบของโลกร้อนกันแล้ว คุณลุงมีวิธีดับร้อนแนะนำไหมครับ – พัท
ตอบคุณพัท
ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน บอกได้เลยว่าไม่เคยเจออากาศร้อนต่อเนื่องขนาดนี้ ฝนขาดช่วงนานขนาดนี้ ร้อนจนผู้คนหันมาคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศกันคล่องปาก ราวกับเป็นฝรั่งที่เพิ่งมารู้จักกันแล้วไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรดี กระนั้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือนนี้ เราอยู่กันไปอย่างข้าวคอยฝนโดยแท้
หากคุณถามเรื่องวิธีดับร้อนเหรอ? คำตอบโง่ๆ คือเปิดแอร์ครับ ง่ายๆ งั้นเลย เพราะพัดลมก็แล้ว มีต้นไม้ให้ร่มเงาในบ้านก็แล้ว ใส่เสื้อผ้าป่านและลินินก็แล้ว อาบน้ำบ่อยจนเบื่อก็แล้ว กินของที่เขาว่าเป็นธาตุเย็นก็แล้ว ร้อนมันก็คือร้อนครับ เมื่ออุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของร่างกาย เราจะอยู่เฉยๆ ไปแบบนั้นไม่ได้ หนทางเดียวคือเปิดแอร์ (แล้วพ่นลมร้อนจากคอยล์ร้อนออกมาใส่ชาวบ้าน ชนิดตัวใครตัวมัน ก็โลกมันจะแตกแล้วนี่)
ถามว่าแล้วจะทำอะไรได้ ก็คงจ่ายตลาดแล้วไม่รับถุงพลาสติกให้แม่ค้าล้อว่า ‘ลดโลกร้อน’ ต่อไป