นักวิทยาศาสตร์ยังศึกษาประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) ของนักแสดงค่อนข้างน้อย เนื่องจากข้อจำกัดของอุปกรณ์และเทคโนโลยี แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีงานวิจัยแนวนี้ออกมามากขึ้นและผลการวิจัยที่ได้ก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ปี 2019 มีงานวิจัยที่ลงในวารสาร Royal Society Open Science ซึ่งออกแบบการทดลองได้น่าสนใจไม่น้อย[1] และตอบคำถามเบื้องต้นว่าขณะที่นักแสดงกำลังแสดงบทบาทต่างๆ อยู่ เกิดอะไรขึ้นบ้างกับสมองของพวกเขา
ในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน เราแสดงบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา อาจารย์ สามี ภรรยา ลูกจ้าง หรือนายจ้าง ฯลฯ โดยทั้งหมดนั้นเหมือนกันตรงที่แสดงเป็น ‘ตัวเอง’ นั่นคือเป็นบุคคลที่มีมุมมองแบบบุคคลที่หนึ่ง กล่าวคือฉันคิดอย่างนี้ ฉันพูดอย่างนั้น และทำฉันทำแบบโน้น
แต่การแสดงต่างๆ ไม่ว่าจะละคร ละครเวที หรือภาพยนตร์ นักแสดงต้องแสดงบุคลิกลักษณะท่าทาง นิสัยใจคอ และอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครสมมุติ ในความรู้สึกของเรา นักแสดงน่าจะต้องสมมุติตัวเองเป็นคนอื่น จำเป็นต้องคิดและแสดงเป็นคนอื่นโดยที่ไม่ใช่ตัวเอง กล่าวคือเป็นคนในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง มีอยู่แต่ในจินตนาการของผู้เขียนบทละครแค่นั้น
ในการทดลองจะใช้อุปกรณ์สร้างภาพจากสนามแม่เหล็กที่เรียกว่า fMRI (functional magnetic resonance imaging) ที่สามารถตรวจสอบส่วนต่างๆ ของสมองของนักแสดงในขณะที่คิดและแสดงบทบาทสมมุติ (แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในอุโมงค์) ซึ่งในเมื่อเป็นการทดลองของชาวตะวันตก จึงเหมาะที่สุดหากให้ผู้ชายรับบทบาทเป็น ‘โรมีโอ’ ส่วนผู้หญิงก็รับบทบาทเป็น ‘จูเลียต’ จากวรรณกรรมระดับโลกของเชกสเปียร์เรื่องโรมีโอกับจูเลียตนั่นเอง
ผลลัพธ์จากการทดลองคือโดยรวมแล้วสมองส่วนต่างๆ ทั้งหมดจะทำงานลดลง หากเทียบกับการเป็นตัวของตัวเอง แต่ที่สำคัญคือมีการลดหรือเลิกการทำงานของสำคัญของสมองส่วนหน้าที่เรียกว่าเครือข่ายคอร์ติคัล มิดไลน์ (cortical midline network) ที่ควบคุมความเป็นอัตลักษณ์ตัวตน
ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจึงสรุปว่าการแสดงเป็นกระบวนการที่กดหรือลดการทำงานของสมองที่ควบคุมความรู้สึกเป็นตัวตนตามปกติ การเป็นนักแสดงที่ดีและแสดงได้สมบทบาทจึงขึ้นอยู่กับความสามารถควบคุมให้สมองสูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วคราว เมื่อสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ
เรื่องนี้อาจขัดกับความคิดความเชื่อเดิมที่ว่า เราน่าจะใช้จินตนาการและใช้สมองเข้าไปช่วยสมมุติการเป็นคนอื่น (ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สมองควรทำงานหนักขึ้น) เพราะความจริงคือเราลดการทำงานของสมองโดยรวมต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองส่วนที่ควบคุมความเป็นตัวตน
สมัยที่ยังเป็นเด็ก เราทุกคนก็น่าจะเคยผ่านการสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ มาบ้าง ผ่านการเล่นเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือตัวละครอื่นตามแต่จะจินตนาการขึ้น การละเล่นแบบนั้นอาจจะส่งผลกับสมองแบบชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ต่างจากที่เกิดกับนักแสดงเช่นกัน
การละเล่นแบบนี้ก็เป็นกระบวนการเข้าสังคมที่สำคัญแบบหนึ่งของมนุษย์อย่างพวกเรา
มีการทดลองอีกชุด[2]ที่น่าสนใจครับ ในการทดลองนี้ นักวิจัยใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ไฮเทค กล่าวคือแทนที่จะต้องเอานักแสดงเข้าไปนอนในอุโมงค์เครื่องวัดสนามแม่เหล็กสมอง ก็ใช้อุปกรณ์ที่คล้ายคลึงกันแต่เป็นแบบสวมศีรษะได้ ซึ่งทีมคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) ของมหาวิทยาลัย UCL ของนักวิจัยกลุ่มนี้ประดิษฐ์ขึ้น อุปกรณ์ที่ว่านี้สามารถประเมินการทำงานของสมองนักแสดงได้แบบเรียลไทม์
นักแสดงยังคงได้รับบทบาทในบทละครของเชกสเปียร์ แต่คราวนี้นักวิจัยเลือกให้นักแสดงเล่นเรื่อง A Midsummer Night’s Dream (ราตรีนิมิตกลางคิมหันต์ หรือ ฝันในคืนกลางฤดูร้อน)
นักวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อนักแสดงได้ยินชื่อตัวละครที่ตัวเองแสดงเป็นตัวแทนอยู่นั้น สมองซีกซ้ายด้านหน้าของเปลือกสมองส่วนหน้า (left anterior prefrontal cortex) ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้หรือตระหนักในตัวตนจะถูกกดเอาไว้ ผลแบบนี้เห็นเหมือนกันหมดในนักแสดงทั้งหกคนที่เข้าซ้อมการแสดงหลายครั้งตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่อุปกรณ์ดังกล่าวที่ทำงานตลอดเวลา จึงทำให้รู้ว่าขณะที่ไม่ได้แสดงอยู่นั้น สมองมันทำงานเป็นปกติ เมื่อใครเรียกชื่อตัวจริง เจ้าตัวก็สามารถรับรู้ได้
นักวิจัยสรุปว่านักแสดงต้องเรียนรู้ที่จะกดความรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงไว้ แล้วกลายไปเป็นตัวละครสมมุตินั้นชั่วคราวขณะที่ฝึกซ้อมอยู่ในโรงละคร เพื่อให้สามารถแสดงเป็นตัวละครในละครนั้นได้อย่างสมจริง
จะเห็นได้ว่าผลการทดลองที่ได้สอดคล้องกับการทดลองก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน
แต่ที่สำคัญคือการทดลองนี้สามารถตรวจวัดสมองขณะฝึกซ้อมการแสดงและออกท่าออกทางจริงๆ ขณะที่การทดลองก่อนหน้านี้ นักแสดงล้วนต้องนอนอยู่ในอุโมงค์เครื่อง fMRI และไม่สามารถขยับตัวและแสดงเป็นตัวตนนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
การค้นพบอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือนักวิจัยพบว่านักแสดงที่ซ้อมด้วยกันนั้น มีรูปแบบการทำงานของสมองจำเพาะบางส่วนคล้ายคลึงกันในขณะที่แสดงร่วมกัน ได้แก่ สมองส่วนอินฟีเรียร์ ฟรอนทัล ไจรัสด้านขวา (right inferior frontal gyrus) และสมองส่วนฟรอนโตโพลาร์ คอร์เทกซ์ด้านขวา (right frontopolar cortex)
สมองส่วนต่างๆ เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการวางแผนการแสดงหรือตอบโต้ต่างๆ แต่กลับไม่ได้แสดงถึงความสอดคล้องของการจังหวะการเต้นของหัวใจหรือการหายใจแต่อย่างใด
นี่แสดงให้เห็นว่าระบบของสมองมีระบบการควบคุมปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอันสลับซับซ้อนและมีความจำเพาะสูงที่พัฒนามาตามวิวัฒนาการ
อุปกรณ์ตรวจวัดการทำงานของสมองที่พัฒนาขึ้น จึงน่าจะมีประโยชน์กับการใช้พิสูจน์ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบต่างๆ ว่าสอดคล้องกับโลกจริงมากน้อยเพียงใด และน่าสนใจใช้ศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่า การฝึกซ้อมและการแสดงจะมีโอกาสส่งผลกระทบกับความรู้สึกเป็นตัวตนของนักแสดงมากน้อยเพียงใด ทั้งระหว่างและหลังการแสดง เพราะดังที่หลายคนอาจเคยได้ยินว่ามีนักแสดงบางคน ‘อิน’ กับบทบาทมาก จนแม้เลิกแสดงแล้วก็ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตปกติได้ จนถึงกับต้องรับการรักษา
อุปกรณ์เดียวกันนี้ยังอาจมีประโยชน์กับการใช้ตรวจสอบการทำงานของสมองผู้ป่วย เช่น ผู้เป็นออทิสติก เพื่อช่วยให้สามารถเรียนรู้ทักษะทางสังคมแบบใหม่ๆ โดยอาจผ่านการมีส่วนร่วมในการแสดงละครลักษณะนี้
การทดลองนี้จึงเป็นการผนวกรวมเอาวิทยาศาสตร์เข้ากับศิลปะอย่างงดงาม
อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กคือ ครอบคลุมนักแสดงเพียง 6 คนและชุดข้อมูลเพียง 19 ชุด อีกทั้งไม่มีกลุ่มควบคุมที่ไม่มีความสามารถทางการแสดงมาเปรียบเทียบด้วย การตีความการประยุกต์ใช้จึงอาจยังจำกัดอยู่และต้องการข้อมูลจากการทดลองในอีกบางแง่มุมเพิ่มเติมอีก
อ่านข้อมูลการทดลองแบบนี้แล้วก็อดสงสัยไม่ได้นะครับ บรรดานักการเมืองที่ทำเรื่องเลวร้ายกับประเทศอยู่ แต่ต้องจินตนาการถึงตัวเองว่าแทบจะเป็น ‘อีกคนหนึ่ง’ ที่รักและเทิดทูนประเทศอย่างยิ่งนั้น หากจับเอามาวัดสัญญาณประสาทและคลื่นสมองขณะพูดปาวๆ อยู่ จะได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง?
ไม่แน่ว่าอาจจะได้รูปแบบการทำงานของสมองที่ไม่ต่างจากนักแสดงอาชีพเลย!
↑1 | Brown Steven, Cockett Peter and Yuan Ye. 2019. The Neuroscience of Romeo and Juliet: an fMRI Study of Acting. R. Soc. Open Sci. 6:181908 http://doi.org./101098/rsos.181908 |
---|---|
↑2 | Dwaynica A. Greaves et al. 2022. Exploring Theater Neuroscience: Using Wearable Functional Near-infrared Spectroscopy to Measure the Sense of Self and Interpersonal Coordination in Professional Actors. Journal of Cognitive Neuroscience 34 (12): 2215–2236. https://doi.org/10.1162/jocn_a_01912 |