เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังรายการโหนกระแส (15 ตุลาคม 2025) ออกอากาศ เชื่อว่าไทม์ไลน์ของใครหลายคนคงเต็มไปด้วย ‘ดราม่า’ ที่เกี่ยวข้องกับรายการ ไม่ว่าจะจากฝ่ายที่เห็นด้วยในคำวิจารณ์ที่มีต่อนักสิทธิมนุษยชน หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยพร้อมวิจารณ์การมีอยู่ของรายการและแขกรับเชิญเสียเอง
แต่ประเด็นคงไม่ได้อยู่เพียงว่า กรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการโหนกระแส พูดหรือไม่พูดอะไรหรอก และคงไม่ใช่สาระสำคัญด้วยเช่นกันว่า กัน จอมพลัง แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนักสิทธิมนุษยชนอย่างไร ทว่าสิ่งที่น่าทำความเข้าใจและให้ความสำคัญมากยิ่งกว่า อาจหนีไม่พ้นเรื่องสถานะและการดำรงอยู่ของสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา
ข้อวิจารณ์สำคัญจากปรากฏการณ์นี้ คือสื่อมวลชน -โดยเฉพาะรายการประเภทโหนกระแส- และอินฟลูเอนเซอร์กำลังตั้งตนเป็นศาลเตี้ยออนไลน์อยู่หรือเปล่า ตัวแสดงเหล่านี้กำลังโหมกระพือกระแสชาตินิยมอยู่หรือไม่ เพราะเหตุใดรัฐไทยและพรรคการเมืองถึงไม่ค่อยมีแสดงบทบาทหรือจุดยืนต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของสื่อและอินฟลูเอนเซอร์จะส่งผลกระทบต่อการต่างประเทศและเวทีโลกอย่างไรบ้าง วันโอวันชวนหาคำตอบกับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
“ที่ผ่านมาไทยทำเรื่องดีๆ ที่ได้รับคำชมในเวทีต่างประเทศ แต่สุดท้ายการทูตไทยอาจตกม้าตายเพราะเพลงผีและรถสูบส้วม” ปวินบอกกับเรา
หรือรัฐกำลังให้ ‘ไฟเขียว’ กับสื่อและอินฟลูเอนเซอร์
ศาลเตี้ย, คณะลูกขุนออนไลน์, ตุลาการหน้าจอ เหล่านี้คือสารพัดคำเรียกและหนึ่งในข้อวิจารณ์สำคัญเมื่อสังคมเกิดการถกเถียงและตั้งคำถามต่อรายการโหนกระแส
ปวินเผยว่าบางมุมอาจมองได้ว่ารายการมีลักษณะที่พิพากษาและมีบทลงโทษบางอย่าง แม้จะไม่ใช่บทลงโทษทางกฎหมาย แต่ก็เป็นบทลงโทษทางสังคม พร้อมยกตัวอย่างถึงกรณีที่ อังคณา นีละไพจิตร ถูกวิจารณ์ผ่านรายการ แม้เธอจะไม่ต้องรับโทษใดทางกฎหมาย แต่เธอก็ต้องเผชิญโทษทางสังคมผ่านการถูกวิจารณ์รุนแรงเกิดขอบเขตและถูกเรียกร้องให้ออกจากตำแหน่ง สว.
อย่างไรก็ตาม ปวินเห็นว่าปรากฏการณ์สื่อศาลเตี้ยไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน รายการโหนกระแสก็ไม่ใช่รายการเดียวของไทยที่มีลักษณะเป็นศาลเตี้ย ทว่าสิ่งนี้คือเทรนด์ของการรายงานข่าวที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
“การที่สังคมไทยกำลังเคลื่อนไปสู่เทรนด์รายงานข่าวเช่นนี้ ผมคิดว่าจะส่งผลกระทบทุกด้าน โดยธงสำคัญที่สุดที่ทำให้เราเคลื่อนไปกับเทรนด์คือธงแห่งชาตินิยม ซึ่งบุคคลในรายการโหนกระแสกรณีล่าสุดต่างชูธงชาตินิยมทั้งสิ้น
“การเคลื่อนด้วยธงแห่งชาตินิยมมีผลกระทบมาก เพราะแค่คุณทำอะไรที่ดูไม่ชาตินิยมก็อาจถูกมองว่าชังชาติ ส่วนคนที่ทำอะไรดูชาตินิยมก็อาจถูกมองว่ามีความชอบธรรม ฉะนั้นนโยบายหรือกระบวนการต่างๆ หลังจากนี้อาจได้รับผลกระทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการดีลกับฝ่ายไทยเองหรือการดีลกับฝ่ายกัมพูชา” ปวินกล่าว ก่อนเสริมว่านิยามชาตินิยมของสังคมไทยยังแคบมาก กล่าวคือยังมองแค่ ‘พวกเรา’ และ ‘ศัตรู’ อันไม่เปิดโอกาสให้สร้างความเข้าใจต่อกันและกัน
ทว่าท่ามกลางความโกลาหลของสื่อมวลชนและบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เราอาจยังไม่ค่อยเห็นท่าทีใดของรัฐบาลต่อปรากฏการณ์นี้ ทั้งที่การสร้างความเข้าใจและสันติสุขในสังคมก็อาจสำคัญไม่แพ้เรื่องความมั่นคง ต่อประเด็นนี้ปวินมองว่า “การไม่ทำอะไรคือการกระทำ” กล่าวคือการที่รัฐไม่ลงมาปรามสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ ถือเป็นการกระทำรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอาจตีความได้ว่ารัฐกำลังให้ไฟเขียวกับบุคคลเหล่านี้
ปวินมองว่ารัฐควรทำอะไรบางอย่างต่อปรากฏการณ์ที่สื่อและอินฟลูเอนเซอร์โหมกระแสชาตินิยมท่ามกลางความขัดแย้ง โดยไม่ใช่การสั่งปิดรายการ แต่อาจเป็นการออกแถลงการณ์ตำหนิจากปากนายกฯ ว่าพฤติกรรมเช่นนี้อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง หรือออกแถลงการณ์ขอความร่วมมือให้ผู้ดำเนินรายการมีความรับผิดชอบและระมัดระวังกว่านี้
“การที่รัฐไม่ทำอะไรเลยอาจแสดงว่ารัฐยอมรับในสิ่งที่โหนกระแสทำ หรือเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
จริงอยู่ที่รัฐอาจไม่ควรปิดปากประชาชนอันกระทบเสรีภาพในการแสดงออก แต่ปวินยกตัวอย่างถึงกรณี กัน จอมพลัง ชายผู้เปิดเพลงผีและนำรถสูบส้วมไปจอดที่ชายแดนหวังก่อกวนฝ่ายกัมพูชา โดยชี้ว่านอกจากกองทัพและรัฐไทยจะไม่ปรามแล้ว กัน จอมพลัง ยังออกมาพูดด้วยซ้ำว่าได้รับการสนับสนุน ทั้งยังอาจได้สิทธิพิเศษในการก่อปฏิบัติบริเวณชายแดนด้วย
“สิ่งนี้สะท้อนอะไรหลายอย่าง สมมติฐานแรกคือหรือว่ารัฐไม่รู้จะดีลกับเรื่องนี้อย่างไรจึงเปิดช่องให้อินฟลูเอนเซอร์ สมมติฐานที่สองคือหากอินฟลูเอนเซอร์พลาดก็รับไป รัฐก็ไม่ต้องออกหน้ารับผิด … ผมคิดว่าเผลอๆ รัฐอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องดีลอย่างไร หรือถ้าต้องใช้กลไกอะไรบางอย่างก็จะอยากยืมมืออินฟลูเอนเซอร์” ปวินตั้งข้อสังเกต
อย่างไรก็ตาม ปวินมองว่าการไม่ทำอะไรของรัฐอาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์แห่งชาติและชีวิตของประชาชนไทยด้วย โดยเขากล่าวว่า “แล้วจะให้รัฐมนตรีต่างประเทศไปดีลกับยูเอ็น (UN) หรือกล่าวสุนทรพจน์สวยๆ ทำไม ในเมื่อพอกลับมาที่รั้วบ้านก็ปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์ทำในสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พูดบนเวทีโลก”
“ประชาชนต้องตั้งคำถามด้วยว่าใครควรรับผิดชอบในความตึงเครียดนี้ ซึ่งคำตอบมันง่ายมาก นั่นคือรัฐบาลต้องรับผิดชอบและตอบคำถามว่าปล่อยให้คนอื่นมีบทบาทส่วนนี้ได้อย่างไร” ปวินเน้นเสียง
จริงอยู่ที่การแสดงจุดยืนท่ามกลางกระแสชาตินิยมนั้นต้องอาศัยความกล้าหาญ ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนความนิยมทางการเมือง แต่ปวินมองว่ายังมีวิธีพูดและวิธีแสดงจุดยืนที่ประนีประนอมกับทุกฝ่ายอยู่ เช่น การสื่อสารว่า “ผมเข้าใจ ผมก็รักชาติ แต่ที่อาจต้องระมัดระวังกว่านี้ในช่วงที่เราต่อสู้ทางการทูตระหว่างประเทศ” เป็นต้น
“ผมไม่แน่ใจว่าพรรคประชาชนพูดประเด็นนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็น่าสนใจ เพราะเรามักคาดหวังให้พรรคประชาชนออกมาพูดยืนยันหลักการ คำถามคือเขายินดีจะพูดมากน้อยแค่ไหน หรือในที่สุดแล้วก็อาจไม่ต่างจากพรรคอื่นในแง่ที่เลือกจะไม่พูดเพราะอาจทำให้คะแนนนิยมลดลง
“พรรคประชาชนต้องตีความให้ได้ว่าประเด็นไหนเป็นหลักการ ซึ่งคนรุ่นใหม่อาจชอบบางหลักการ แต่ก็จะมีบางหลักการที่คนไม่ซื้อ โดยเฉพาะหลักที่เกี่ยวกับชาตินิยม หากพรรคคิดเพียงว่าจะไม่ยืนยันหลักการใดหลักการหนึ่งเพราะคนจะไม่ซื้อหรือคะแนนนิยมจะลดลง ผมคิดว่าแบบนี้แย่และหมายความว่าพรรคเลือกปฏิบัติต่อหลักการ ซึ่งคงต้องรอดูต่อไปว่าพรรคจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป” ปวินกล่าว
โหนกระแสกับการไม่แตะปัญหาเชิงโครงสร้าง
อีกข้อวิจารณ์สำคัญต่อรายการโหนกระแส -รวมถึงสื่ออื่นที่มีลักษณะใกล้เคียง- คือรายการมักจัดการปัญหาระดับชาวบ้าน แต่ไม่แตะโครงสร้างภาพใหญ่ของประเทศไทย กล่าวคือเราจะเห็นการรายงานเรื่องการทุจริตโกงบัญชีของชาวบ้านแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อาจไม่ค่อยเห็นการตรวจสอบการทุจริตของหน่วยงานราชการ เป็นต้น
เมื่อถามว่าอะไรคือปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อให้เป็นเช่นนี้ ปวินมองว่ารายการเหล่านี้มักมีความเป็นธุรกิจ และเมื่อเป็นธุรกิจก็จะมีเรื่องรายรับและรายจ่าย ซึ่งภาคธุรกิจก็มักจะไม่อยากมีรายจ่าย และบางครั้งรายจ่ายก็อาจไม่ใช่เพียงเม็ดเงิน แต่หมายถึงราคาที่ต้องจ่ายและความปลอดภัยด้วย
ขณะเดียวกัน ปวินชี้ว่ารายการประเภทนี้มักมีกลุ่มผู้ชมชัดเจน ดังนั้น การเลือกรายงานประเด็นชาวบ้านจึงไม่มีผลกระทบและไม่มีรายจ่ายที่ต้องเสียมากนัก ทว่ามีรายได้แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่ทั้งเล่นกับจิตใจและธรรมชาติของมนุษย์ที่อาจต้องการเรื่อง ‘แซ่บๆ’ มากกว่าเรื่องจริงจังอย่างกระทรวงนี้ทุจริตมากน้อยแค่ไหน
นอกจากประเด็นธุรกิจ ปวินตั้งข้อสังเกตว่าการจะพูดถึงประเด็นเชิงโครงสร้างอาจต้องอาศัยบุคคลที่มีความรู้ มีความเข้าใจ และมีข้อมูลในการอธิบายจึงจะจัดรายการได้ดี เขาไม่ได้หมายความว่าผู้จัดรายการประเภทนี้ไม่มีทักษะ เพียงแต่อาจขาดข้อมูลและขาดความถนัดในประเด็นเชิงโครงสร้าง
“นี่อาจถึงเวลาที่โหนกระแสต้องออกมาอธิบายว่าตนเองเป็นรายการอะไร ถ้าต้องการเล่าประเด็นสังคมที่เกาะติดปัญหาชาวบ้านจริงๆ ก็ต้องติดฉลาก พอไม่ติดฉลากคนก็จะคาดหวังประเด็นอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคนที่คาดหวัง
“โหนกระแสมีความเป็นธุรกิจมาก ซึ่งธุรกิจมักกังวลใจในการแตะเรื่องที่ละเอียดอ่อนเพราะกลัวจะเป็นผลลบต่อรายการ ถ้าให้อ่านใจคุณกรรชัย นอกจากเรื่องความไม่ถนัดแล้ว เรื่องธุรกิจก็คงสำคัญเช่นกัน หากข้ามไปพูดเรื่องละเอียดอ่อนหรือการเมืองมากๆ เขาก็อาจถูกกระทืบกลับมา อันส่งผลต่ออาชีพและอนาคต” ปวินกล่าว
ทั้งนี้ ปวินตั้งประเด็นว่าสังคมอาจต้องถกเถียงและให้ความหมายของ ‘สื่อ’ กันใหม่ กล่าวคือต้องถกเถียงกันต่อไปว่ารายการโหนกระแสเป็นสื่อหรือไม่ หากไม่ใช่จะนิยามว่าอะไร หมายความว่าสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ขณะที่สื่ออื่นต้องรับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร
เมื่อปรากฏการณ์สื่อและอินฟลูเอนเซอร์อาจส่งผลกระทบต่อการต่างประเทศ
ไม่ใช่เพียงสื่อ จะเห็นว่าตัวแสดงสำคัญท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชาระลอกนี้คืออินฟลูเอนเซอร์ ปวินชี้ว่าอินฟลูเอนเซอร์คือปรากฏการณ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้มีผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศร้อยเปอร์เซ็นต์
“จุดยืนทางการของเราคือประนีประนอม ทว่าพฤติกรรมอินฟลูเอนเซอร์จะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ ขณะที่ไทยพูดบนเวทีโลกว่าต้องการประนีประนอม ต้องการเจรจา ต้องการหยุดยิง แต่อินฟลูเอนเซอร์ไทยกลับยังส่งเสริมให้ทำสงคราม ช่องว่างนี้จะลดความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของทางการไทย
“ใครจะเชื่อเรา ในเมื่อเราพูดแบบหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลก็ปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์ทำอีกแบบหนึ่ง โดยที่อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่แค่ขู่ -ซึ่งนั่นก็แย่และเลวร้ายแล้ว- แต่มีการเปิดเพลงผีและเอารถสูบส้วมไปไว้ตรงชายแดนจริง” ปวินกล่าว
ทั้งนี้ ปวินตั้งข้อสังเกตว่าหากกัมพูชาเพียงแค่โหนกระแสความบ้าคลั่งรักชาติของไทยก็อาจชนะเกมครั้งนี้ได้ เนื่องจากเมื่อมีการเปิดเพลงผีโดยอินฟลูเอนเซอร์ กัมพูชาก็ใช้โอกาสเขียนถึงยูเอ็น ซึ่งเป็นแต้มหนึ่งที่สามารถอ้างได้ในอนาคต นอกจากนี้ พฤติกรรมอินฟลูเอนเซอร์อาจเข้าขอบเขตของสงครามเชิงจิตวิทยาด้วย ซึ่งก็ทำให้ไทยเสียแต้มเช่นกัน
“ต่อให้เปิดเพลงเพราะก็ไม่ใช่เรื่องดี อินฟลูเอนเซอร์กำลังบังคับให้ฝั่งตรงข้ามได้ยินเสียง แถมผู้นำทหารก็บอกว่าทำในเขตพื้นที่ของเรา เมื่อผู้นำทหารไทยพูดแบบนี้ กัมพูชาจะตีความว่ากองทัพไทยไม่เห็นด้วยกับยุทธวิธีด้านจิตวิทยาได้อย่างไร” ปวินตั้งคำถาม
เวทีโลกรับรู้ถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งการที่สื่อและอินฟลูเอนเซอร์ไทยเป็นเช่นนี้อาจเปิดช่องให้เกิดการรายงานต่อเวทีระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ปวินมองว่าแม้กัมพูชาเองก็อาจมีปรากฏการณ์สื่อและอินฟลูเอนเซอร์คล้ายประเทศไทย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหากเขาทำไม่ดีแล้ว ไทยจะต้องทำไม่ดีตามไปด้วย
“ที่ผ่านมาไทยทำเรื่องดีๆ ที่ได้รับคำชมในเวทีต่างประเทศ แต่สุดท้ายการทูตไทยอาจตกม้าตายเพราะเพลงผีและรถสูบส้วม”
ผู้เขียนพบคอมเมนต์น่าสนใจท่ามกลางประเด็นนี้ นั่นคือไทยจะได้อะไรจากการใส่ใจในสิทธิมนุษยชน ขณะที่สายสิทธิมนุษยชนกำลัง ‘โลกสวย’ เกินไปหรือไม่ ปวินตอบกลับทันทีว่าการมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเลือด มันดีกว่าการมองโลกสวยแล้วเห็นการเมืองระหว่างประเทศเป็นสีชมพูในทุกมิติอย่างไร
ปวินชี้ว่าหากทุกคนมองทุกอย่างในแง่ลบบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ คำถามคือเราจะเดินไปทางไหนได้นอกจากการทำสงคราม ขณะเดียวกัน ไทยไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ และถ้าจะมองแบบโลกไม่สวย ทางออกเดียวที่มีคือต้องชนะสงครามให้ได้ ซึ่งไม่มีอะไรสามารถการันตีได้เลยว่าไทยจะชนะสงคราม
“หากเราไม่ชนะและแพ้ยับเยิน แต่เรายังโลกสวยอยู่ มันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดและทำให้ประเทศอื่นบนโลกเห็นว่าอย่างน้อยไทยที่พ่ายแพ้ก็เคยมีความพยายามสร้างสันติภาพและพลิกให้เป็นเรื่องบวก […] เราไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจที่จะชนะทุกสงคราม มันมีโอกาสแพ้ และในช่วง 40-60 ปีที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ชนะสงครามตลอด เผลอๆ อาจแพ้บ่อยกว่าด้วยซ้ำ” ปวินระบุ
ท้ายที่สุด ปวินมองว่าปรากฏการณ์สื่อและอินฟลูเอนเซอร์ชาตินิยมจะทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีการต่างประเทศ โดยอาจมีเพียงคนไม่กี่คนที่ได้ประโยชน์ในระยะสั้นเท่านั้น อาทิ เอนเกจเมนต์ รายได้ โอกาสทางการเมือง และคะแนนนิยม เป็นต้น
แต่ในระยะยาวไทยจะเสียประโยชน์ เพราะท้ายที่สุดประเทศเราย้ายผืนแผ่นดินหนีจากตรงนี้ไม่ได้ และอย่างไรก็ต้องอยู่ร่วมกับกัมพูชา ในความหมายที่ว่าทั้งสองประเทศยังต้องพึ่งพาอาศัยกัน ทั้งด้านการค้าชายแดนที่มูลค่ามหาศาล ตลอดจนยังต้องมีการติดต่อ การไปมาหาสู่ระหว่างญาติพี่น้อง และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอีกมากมาย
“การที่คุณสะใจในเวลานี้อาจเป็นเพียงประโยชน์ระยะสั้น แต่ระยะยาวนั้นยากที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ อย่างประเด็นเขาพระวิหารที่ไทยในปี 1962 เวลาผ่านมาเนิ่นนานเราก็ยังไม่หลุดจากความขัดแย้งนั้นเลย
“และถ้าเราจะทำสงครามกับกัมพูชาจริงก็ต้องไปให้สุดตลอดรอดฝั่ง กล่าวคือเราต้องออกจากอาเซียน คำถามคือเราจะออกหรือไม่ ยังไม่รวมการกดดันจากประเทศที่สาม ซึ่งต่อให้เราอยากรบจริง จีนกับอเมริกาจะว่าอย่างไร ถ้าจีนบอกว่าอย่ารบแล้วเราจะทำอย่างไรต่อ
“ยิ่งคุณทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะขึ้นออกจากหลุมมันก็ยิ่งยาก” ปวินทิ้งท้าย