สวัสดีค่ะคุณลุงเฮม่า ขอคำแนะนำได้ไหมคะว่าเราจะเอาชีวิตรอดในเดือนที่ไม่มีวันหยุดอย่างไร หนูขี้เกียจทำงานมากกกกๆ เลยล่ะค่ะ – Y___Y
ตอบคุณ Y__Y
ประเทศไทยเรามีวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือที่ฝรั่งเรียกว่า public holiday ในสัดส่วนที่ไม่มากไม่น้อยนะครับ คือมี 16 วันโดยประมาณ (ที่ไม่เจาะจงเพราะบางทีรัฐก็ประกาศวันหยุดพิเศษกันชนิดไม่ให้ประชาชนตั้งตัว)
ยกตัวอย่างประเทศอื่น เช่น เวียดนามมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หกวัน อเมริกาก็มีประมาณนี้ ส่วนศรีลังกามี 25 วัน อินโดนีเซียมี 27 วัน ขณะที่แชมป์โลกด้านวันหยุดนักขัตฤกษ์คือประเทศเนปาลที่มีอย่างน้อย 35 วันครับ โดยรัฐบาลอาจประกาศวันหยุดเพิ่มอีก และบางปีอาจมีวันหยุดนักขัตฤกษ์ถึงสี่สิบกว่าวัน
ลืมบอกไปว่าเนปาลนั้นทำงานสัปดาห์ละหกวันครับ หยุดวันเสาร์วันเดียว เอาเข้าจริงแล้ววันที่ต้องทำงานของเนปาลน่าจะมากกว่าของไทยเสียอีก
ไปค้นๆ ดูก็พบว่าเรื่องจำนวนวันหยุดมากมายนี้เคยเป็นประเด็นระดับชาติเนปาลเมื่อสองถึงสามปีก่อน ถึงกับต้องตั้งกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ และยังหยุดเยอะกันบานตะไทไม่มีเปลี่ยน
เข้าใจว่าที่วันหยุดเยอะเพราะประเทศมีความหลายหลายทางศาสนา มีทั้งคนที่นับถือฮินดู พุทธ มุสลิม และคริสต์ ซึ่งทุกศาสนาได้วันหยุดตามศรัทธาของตนหมด ผิดกับประเทศไทยเมืองพุทธ เราหยุดเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาพุทธซึ่งมีกันครบทุกวาระ
เนปาลเคยมีกษัตริย์แล้วล้มเลิกไป เมื่อผ่านการปฏิวัติแนวเหมาอิสต์ก็มีวันฉลองครบรอบการสู้รบปลดแอกมวลชน ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งวันหยุดที่ระลึกระบบกษัตริย์ที่ล้มเลิกไปแล้ว ผลลัพธ์คือเนปาลจึงมีวันหยุดมากมายเพราะการเอาใจทุกฝักทุกฝ่ายในสังคม
ไม่ได้บอกนะว่าสาเหตุหนึ่งที่เนปาลเป็น (หรือถ้าไม่เป็นก็เกือบๆ) รัฐล้มเหลวเนื่องจากเขามีวันหยุดมากเกินไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพียงแต่อยากเอามาเล่าให้คุณผู้รักวันหยุดอ่านเล่นๆ เท่านั้น
ความขี้เกียจของคุณและความรู้สึกสิ้นหวังในเดือนที่ไร้วันหยุด (แต่จะบอกว่าลุงกลับชอบ คือขอโอกาสทำงานเต็มที่สักเดือนก่อนจะเข้าสู่ช่วงปลายปีซึ่งมีวันหยุดมากมายและบรรยากาศดีๆ รออยู่ข้างหน้า) ดูทรงแล้วอาการแบบคุณอาจมีเรื่องของภาวะ burn out มาเกี่ยวข้องอยู่
คือคนที่พอสนุกกับการทำงานอยู่บ้างจะไม่หิววันหยุดขนาดที่ต้องเขียนมาถามลุงหรอกครับ
เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเขียนอะไรเล็กน้อยๆ ในคอลัมน์นี้เกี่ยวกับภาวะเบิร์นเอาต์ไป จึงขอตัดตอนมาลงอีกครั้งนะครับ ที่คิดว่าเหมาะเพราะความขี้เกียจหรือไม่อยากทำงานอย่างที่คุณเป็นอยู่มันก็คือหนึ่งในอาการของเบิร์นเอาต์
“… (อันนี้ค้นมาจากเว็บของ Mayo Clinic) ให้ตั้งสติก่อนเลยว่าเบิร์นเอาต์มันเกิดจากความเครียดซึ่งมาจากเรื่องงาน เป็นความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไร้ประโยชน์ ว่างเปล่า ฯลฯ อาการได้แก่ ไม่อยากทำงาน วิธีจัดการ ท่านว่าให้ลองคุยเรื่องนี้กับหัวหน้าก่อน ถ้าดูว่าหัวหน้าเป็นคนที่พอจะคุยด้วยได้ ว่าพอมีวิธีจะเปลี่ยนเงื่อนไขใดๆ ที่เป็นปัญหาในการทำงานได้บ้างไหม ถ้าคุยแล้วการงานก็น่าจะดูมีความหวังขึ้น แต่ถ้าคุยแล้วดูท่าว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยน ก็ควรเปลี่ยนงาน
“…นอกจากนั้นยังให้หากิจกรรมหย่อนใจให้หายเครียดโยคะ ปฏิบัติธรรม หรือแค่หายใจเข้าออกลึกๆ สักสี่ห้ารอบก็เป็นวิธีคลายเครียดที่ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์
“…ลุงเพิ่งได้ดู The Perfect Day คุณฮิรายามะ ตัวเอกผู้แข็งขันกับการทำงานล้างส้วมสาธารณะในกรุงโตเกียว เขามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจทำงานต่ำต้อยให้ดีที่สุด เขาฟังเพลงที่ชอบจากเทปคาสเซ็ต ฟังมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เขาซื้อหนังสือมือสองทีละเล่ม อ่านจบแล้วค่อยซื้อเล่มใหม่ คุณฮิรายามะหาความสุขจากการมองเงาวิบวับของใบไม้เมื่อต้องแสงแดดอย่างที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “โคโมเรมิ” คุณฮิรายามะคือตัวอย่างชีวิตของคนที่ห่างไกลจากการเบิร์นเอาต์ เอาเป็นว่าแค่ดูแกล้างส้วมก็น่าจะช่วยให้เรามีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง…”
จะว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องวันหยุดก็ได้ หรือจะว่าเกี่ยวก็ได้ แล้วแต่คุณจะมองครับ
ผมชื่อพีนนะครับ ผมสงสัยว่านายกฯ อนุทินจะทำให้ ‘คนทำงาน’ มีความสุขในสี่เดือนข้างหน้าอย่างไรได้บ้างครับ (ไม่เอาคำตอบว่าก็ไปใช้กัญช*หรือให้เป็นสายเขียวนะครับ!) แล้วการมีผู้บริหารธุรกิจที่เก่งและมืออาชีพมาบริหารประเทศ ซึ่งไม่ใช่องค์กรเอกชน จะช่วยอะไรพวกเราได้ไหมครับ ขอบคุณครับ – พีน
ตอบคุณฟีน
เมื่อโดนดักทางเรื่องกัญชาแล้วลุงแทบจะไปไม่ถูกเลยทีเดียว
การมีนายกรัฐมนตรีซึ่งมีภูมิหลังทางธุรกิจจ๋าๆ แบบนี้ ชวนให้นึกถึงเมื่อราวยี่สิบปีก่อนที่คุณทักษิณมาเป็นนายกฯ
ก่อนหน้านั้นคุณทักษิณโดดเด่นมากที่จับทางได้ว่าธุรกิจคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมคืออนาคต เขากลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านจากธุรกิจที่เรียกว่ารวยระดับเทวดาในหนึ่งชั่วอายุ พอมาบริหารประเทศ สิ่งที่เขาทำคือตอบโจทย์ปัญหาของคนไทยในสมัยนั้นอย่างถูกจุด
จำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้ใช่มั้ยครับ ทั้งยังมีการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก พักชำระหนี้เกษตรกร นอกจากนั้นเขายังปฏิรูประบบราชการให้รับใช้ประชาชนมากขึ้น ชาวบ้านเลิกกลัวข้าราชการ ระบบก็ลดความซับซ้อน โอ๊ย ตอนนั้นพี่เขามาแรงมากครับ และความหวังในบ้านเราก็พุ่งสูงมากด้วย
แม้ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว แต่สิ่งที่เรามักคาดหวังจากนายกฯ ที่มีภูมิหลังเป็นนักธุรกิจคือการล้วงลูกเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ว่า อย่างน้อยก็ให้สิ่งต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เวลาแค่สี่เดือนคงไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอกครับ แต่ก็น่าจะดีกว่ารัฐบาลที่แล้วที่ทำงานเหมือนโดนดึงขามัดมือ นโยบายหลักๆ ไม่ออกมาเป็นรูปธรรมสักอย่าง มีความรู้สึกว่าประเทศไม่มีรัฐบาลอย่างไรก็ไม่ทราบ
หวังว่าเสี่ยหนูจะเรียนรู้จากความผิดพลาดสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีสารธารณสุข จะพูดจะจาอะไรก็คิดเสียหน่อย คาดว่าแกคงเก๋าเกมกว่าสมัยก่อน ตอนที่ยังติดความเป็นเถ้าแก่คือนึกอยากจะพูดอะไรก็พูด
อีกอย่างคือแบ็คแกก็แน่นปึ๊ก คงทำอะไรต่อเนื่องได้โดยไม่สะดุด (สักเท่าไหร่)
คุณจะมีความสุขหรือเปล่าลุงตอบไม่ได้
ไว้ได้เลือกตั้งใหม่จริงๆ แล้วค่อยว่ากันอีกที
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]