ลิ้นลิ้ม ‘รสข้ามชาติ’: ความรู้ อำนาจ และการเคลื่อนข้ามสัญญะทางวัฒนธรรมอาหาร

รสข้ามชาติ: ลิ้มรสประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมอาหารการกินไทย ก่อนเดินทางไกลสู่ “ซอฟต์พาวเวอร์” (?) ผลงานของชาติชาย มุกสง เป็นหนังสือที่ประกอบไปด้วยเนื้อหาห้าบทที่มุ่งนำเสนอให้เห็นภาษาของอาหารในฐานะสัญลักษณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และอำนาจ โดยวิเคราะห์ด้วยมิติทางประวัติศาสตร์ โภชนาการศาสตร์ การบริโภคเชิงสัญญะ และโลกาภิวัตน์ เพื่อเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร อัตลักษณ์ และซอฟต์พาวเวอร์ของชาติอย่างชัดเจน

ผู้อ่านในฐานะนักวิชาการที่มีความสนใจด้านมานุษยวิทยาอาหารและประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ พบว่าหนังสือเล่มนี้มีความสำคัญอย่างมาก สามารถเปิดมุมมองต่ออาหารทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงประวัติศาสตร์สังคม อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงในวงวิชาการด้านการศึกษาอาหาร (food studies) อีกทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถเชิงข้ามศาสตร์ของผู้เขียน -ชาติชาย มุกสง- ที่ผสมผสานแนวคิดทางมานุษยวิทยา วัฒนธรรมศึกษา และประวัติศาสตร์ เพื่อขยายความเข้าใจต่อประเด็นอาหารในฐานะสัญลักษณ์ อัตลักษณ์ และพื้นที่ทางอำนาจอย่างครอบคลุม

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอการเขียนอาหาร (food writing) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรสชาติหรือการกินในครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผ่านสัญลักษณ์ การบริโภค และการตีความเมื่ออาหารเดินทางข้ามพื้นที่จนเกิดการสร้างอัตลักษณ์ใหม่กับผู้ผลิตและผู้บริโภค พร้อมกับชี้ชวนให้เห็นเบื้องหลังของอาหารที่แฝงเร้นไปด้วยมิติทางอำนาจ การเมือง และการเคลื่อนไหวของรสชาติภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สนใจประเด็นประวัติศาสตร์อาหารและมานุษยวิทยาอาหารอย่างปฏิเสธไม่ได้

‘รสข้ามชาติ’ คำสำคัญจากชื่อเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นแนวทางกำหนดกรอบการอ่านเท่านั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ได้พยากรณ์ถึงประเด็นที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมานำเสนอ ทั้งที่เป็นประวัติศาสตร์สังคมผ่านอาหาร ประวัติศาสตร์อาหารในสังคมไทยและสังคมโลก อำนาจในการสร้างความชอบธรรมต่อการกินอาหาร ตลอดจนการเดินทางข้ามวัฒนธรรมของอาหารจนกลายเป็นอาหารสามัญ-อาหารที่กินอยู่ในชีวิตประจำวันแทบทุกชนชั้น และนี่เองคือความครบเครื่องเรื่องรอบรู้ทางโลกาภิวัตน์ด้านอาหาร (food globalization) ของผู้เขียน 

ความครบเครื่องเรื่องอาหารในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยสี่ประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่

หนึ่ง อาหารข้ามทฤษฎี (food across theory) เรื่องราวที่ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของอาหารผ่านมุมมองหลากหลายทางทฤษฎี

สอง รัฐและตัวแทนผู้นำพาอาหารข้ามรส การวิเคราะห์บทบาทของรัฐ และตัวแสดงต่าง ๆ ที่มีส่วนในการกำหนดทิศทาง รสชาติหรือภาพจำของอาหารในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม

สาม รสข้ามชาติด้วยการข้ามปรากฏการณ์ เรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ของรสชาติอาหารผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคม

และสี่ ความรอบรู้ในอาหารข้ามรส (food literacy) บทวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอาหารทั้งในด้านรสชาติ วัฒนธรรม ความหมาย และบริบททางสังคมของผู้เขียน


อาหารข้ามทฤษฎี (food across theory) 


ผู้เขียนใช้แนวคิดที่หลากหลายเพื่อเสนอว่าอาหารเป็นสัญญะทางสังคมที่มีทั้งรสชาติ ความหมาย อำนาจ และอัตลักษณ์ โดยความหมายของอาหารไม่ได้คงที่ แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลวัตทางสังคมภายใต้อิทธิพลของตัวแทนทั้งที่เป็นรัฐหรือกลุ่มทางสังคม ผ่านการใช้กรอบในวิเคราะห์ผ่านแนวคิดภาพตัวแทน ผัสสะแห่งรส สัญญะการบริโภค และการเคลื่อนไปของโลกโลกาภิวัตน์ 

ภาพตัวแทน (representation) แนวคิดที่ปรากฏในเนื้อหาเมื่อผู้เขียนกล่าวถึงอาหารเพื่อสะท้อนความเข้าใจและความหมายของอาหารในสังคม ณ ห้วงเวลานั้น รวมทั้งบทบาทในการสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์ (symbols) เพื่อสร้างชุดความรู้อาหารหลักห้าหมู่ของสหรัฐอเมริกา อันเป็นภาพตัวแทนของการเป็นอาหารโภชนาการใหม่[1] ที่ไม่ได้มีเพียงภาพ ตัวอักษร สี รูปแบบที่ช่วยในการสื่อสารเท่านั้น หากยังปรากฏในชุดความรู้นี้ที่เป็นสิ่งพิมพ์ เช่น ตำราเรียน หนังสือ โพสเตอร์ หรือป้ายโฆษณา[2] เพื่อการสร้างภาพตัวแทนอาหารดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพตามภาพตัวแทนทางรู้ทางอาหารของอเมริกัน

ผัสสะแห่งรส (sensory of taste) หรือก็คือประสาทสัมผัสทางอาหาร แนวคิดนี้ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อผู้เขียนอธิบายถึงรสชาติความหวานจากน้ำตาลในหัวข้อประวัติศาสตร์การเปลี่ยนรสชาติ และความทรงจำของอาหารหวาน ข้ามยุคสมัยจารีตพื้นบ้านสู่อุตสาหกรรมวัฒนธรรมบริโภค[3] การกล่าวถึงผัสสะแห่งรสนั้น ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยให้เห็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนอาหาร รสชาติอาหารที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมจนทำให้การผลิตอาหารกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิต การแปรรูปวัตถุดิบจากโรงงานเดียวกันหรือรสชาติเดียวกันทั่วโลก[4] ส่งผลต่อความหวานของท้องถิ่นที่เปลี่ยนไปกลายเป็นรสหวานมาตรฐานเดียวกับน้ำตาลทรายในโรงงานอุตสาหกรรม[5]

สัญวิทยา (semiology) แนวคิดที่ผู้เขียนใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในงานของรสข้ามชาติอย่างกว้างขวางและเด่นชัด โดยสัญญะของอาหารปรากฏให้เห็นแทบทุกช่วงเวลาที่อาหารมีการเปลี่ยนแปลงความหมาย ซึ่งผู้เขียนมุ่งเน้นรูปสัญญะของการบริโภคอาหารที่เข้าสู่ระบบทุน-อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอาหารฟาสต์ฟู้ด[6] และพบว่าทุกช่วงเวลาที่กล่าวถึงพลวัตของอาหาร รสชาติของอาหาร การบริโภคนิยม อัตลักษณ์ รวมถึงผู้บริโภค จะมีนัยของการเป็นวัตถุในชีวิตประจำวัน (material life) ที่ผูกติดอยู่กับห้วงเวลาและสถานที่ภายใต้การให้ความหมายเชิงสัญญะแทบทั้งสิ้น

โลกาภิวัตน์ (globalization) แนวคิดที่ผู้เขียนใช้เป็นแว่นในการมองการเคลื่อนข้ามวัฒนธรรมทางอาหาร พบว่าชุดความรู้ทางอาหารของชาติตะวันตกข้ามสู่สังคมไทยตั้งแต่ยุคสมัย ‘แม่ครัวหัวป่าก์’ เรื่อยมา การเขียนตำรา เขียนอาหาร เขียนการชั่งตวงตามมาตรฐานของตัวเลข[7] การให้ค่ากับโภชนาการใหม่ด้วยการบุกเบิกการเผยแพร่องค์ความรู้ทางอาหารดีตามมาตรฐานของกินของสหรัฐอเมริกา การข้ามชนชั้นมาของชนชั้นนำสู่ชนชั้นกลางที่เป็นมหาชนผู้บริโภค โดยผู้เขียนมุ่งเน้นความเป็นโลกาภิวัตน์ด้วยปรากฏการณ์อาหารฟาสต์ฟู้ด ภายใต้การบริโภคสัญญะในยุคทุนนิยมหลังสมัยใหม่ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง อันเป็นการขยายตัวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น[8]


รัฐและตัวแทนผู้นำพาอาหารข้ามรส


ประเด็นนี้ผู้เขียนเผยให้เห็นถึงบทบาทของบุคคล กลุ่มคน องค์กร หรือรัฐที่มีส่วนสำคัญในการชี้นำ ควบคุม หรือส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมการกิน ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในแต่ละช่วงเวลา ผ่านยุคสมัยของกลุ่มตัวแทนปฏิบัติการทางวัฒนธรรมอาหารใหม่ของรสข้ามชาติเจ็ดยุค ดังภาพและคำอธิบาย

ภาพบทวิเคราะห์ การแสดงยุคปฏิบัติการทางวัฒนธรรมอาหารใหม่ของรสข้ามชาติ

ยุคหนึ่ง ตำรับ-ตำราของชนชั้นนำทางทางสังคม

ความรู้เรื่องอาหารในไทยสมัยนั้นเป็นความรู้เฉพาะกลุ่มชนชั้นนำและแพทย์ผ่านตำราอาหารและตำราแพทย์เท่านั้น โดยจะคอยทำหน้าที่รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชนชั้นที่ไม่ได้กระจายสู่ประชาชนทั่วไป ชนชั้นนำเลือกรับความรู้ผ่านการบันทึกในตำราอาหาร ‘แม่ครัวหัวป่าก์’ รวมทั้งตำราของนักเรียนแพทย์ศิริราชที่เขียนถึงโรคกระดูกอ่อนหรือโรคริกเกตส์ (rickets) ว่าเกิดขึ้นจากการขาดสารอาหารในหมู่คนจน[9] ตำรับ-ตำราข้างต้นคล้ายเป็นการสืบทอด พร้อมรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชนชั้นนำ อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความแปลกต่างทางชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน 


ยุคสอง ยงค์ ชุติมา: อาหารโภชนาการต่อสาธารณชน ‘ชุดความรู้เรื่องการกินที่ดีต่อสุขภาพ’

ปรากฏบทความรณรงค์เกี่ยวกับการกิน ‘อนามัยแผนใหม่แบบสร้างสม'[10] ซึ่งสะท้อนแนวคิดด้านโภชนาการสมัยใหม่ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพพลเมือง นอกจากนี้ ยังมีการมอบหมายงานสำคัญเกี่ยวกับโครงการตั้งกองส่งเสริมอาหาร (division of nutrition)[11] ให้กับนายแพทย์ย่ง ฮั้ว ชัวเจริญวงศ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นยงค์ ชุติมา) ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และเป็นผู้ริเริ่มใช้คำขวัญ “กินกับมากๆ กินข้าวแต่พอควร”[12] ก่อนจะเผยแพร่ผ่านสื่อหลายประเภท ทั้งบทความ หนังสือพิมพ์ และสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ กระบวนการนี้ช่วยให้แนวคิดโภชนาการสมัยใหม่เข้าถึงประชาชนทั่วไป และทำให้สังคมไทยเริ่มเข้าสู่การปรับตัวตามแนวทางด้านสุขภาพอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น


ยุคสาม สื่อมวลชนและหลักสูตรสถาบันการศึกษา: วิชาอาหาร

ในยุคนี้ ผู้เขียนสะท้อนถึงการทำงานเชิงระบบของสื่อมวลชนและหน่วยงานภาครัฐ ในการสร้างความรู้ด้านโภชนาการให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันประชาชน กล่าวได้ว่าสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการสร้างการตื่นตัวด้านอาหารและโภชนาการในสังคมเป็นอย่างมาก มีการรณรงค์เรื่องการบริโภคอาหารที่ถูกส่วนครบธาตุ อันดำเนินการผ่านวิทยุกระจายเสียงและสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อชักจูงให้เกิดการกินอาหารตามหลักโภชนาการใหม่[13] ชุดความรู้เกี่ยวกับการกินที่ดีจึงขยายตัวอย่างกว้างขวางในสังคมไทย[14] นอกจากนั้น กองส่งเสริมอาหารยังเป็นตัวการสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ด้านอาหารการกินตามหลักวิชาการ ผ่านการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา และจัดทำตำราสำหรับประชาชนหลายกลุ่ม เช่น นักเรียน นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล รวมถึงบุคลากรอื่นๆ[15]


ยุคสี่ ชุดวิชาอเมริกา: เทคนิควิธีการกินตามหลักโภชนาการใหม่

ในสมัยนี้เรียกได้ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแทนของความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการใหม่ที่เน้นความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ครบถ้วน แนวคิดนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญของ ‘อาหารหลักห้าหมู่ของไทย’ ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของคณะกรรมการโภชนาการแห่งชาติใน พ.ศ. 2504 โดยเริ่มต้นจากโครงการองค์การบริหารเทศกิจแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Operations Mission – USOM) ในรูปแบบหนังสือคู่มือโภชนาการ เกษตร และอนามัย ที่มีตัวอย่างจากกรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยที่รัฐไทยได้นำแนวทางมาปรับให้เหมาะสมกับบริบททางสังคมด้านมาตรฐานการโภชนาการได้อย่างทั่วถึง[16]


ยุคห้า อุตสาหกรรมโภชนาการ

ในยุคนี้ผู้เขียนมุ่งนำเสนอความหมายของอาหารที่กลายเป็นระบบอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการเดินทางมาของอาหารแปรรูปที่เป็นผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งอาหารกระป๋องซึ่งเป็นอาหารที่แปรรูป เก็บง่าย เสียช้า พกพาได้สะดวก และสามารถผลิตได้ในจำนวนมาก[17] ดังนั้น ตัวแทนสำคัญในห้วงเวลานี้จึงเป็นกลุ่มนายทุนใหญ่ หรือชนชั้นนำทางการเมืองที่จะควบคุมส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการกินของพลเมือง ตามกระบวนการทางอุตสาหกรรมทั้งที่เป็นเครื่องปรุงรสหวานดังน้ำตาลและเครื่องชูรสเค็มดังน้ำปลา[18] 


ยุคหก ถนัดศรี: สาธารณะ ตัวตน คน บ้าน

ตัวแทนสำคัญของตำรับอาหารจากชนชั้นสูงที่ติดตัวพ่อครัวและแม่ครัวออกมาจากวัง ได้มีการเผยแพร่ตำราอาหารและนำเสนอเกี่ยวกับอาหารของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ทำให้ชนชั้นกลางได้เรียนรู้และยอมรับนับเอาวัฒนธรรมดังกล่าวผสมกลืนกลาย ขยายวัฒนธรรมผ่านการสื่อสารจากชนชั้นกลางในวงกว้าง นับได้ว่าการขยายวัฒนธรรมของชนชั้นสูงสู่สังคม ผ่านสื่อมวลชนสถาบันที่คนชนชั้นกลางเป็นเจ้าของและควบคุมอยู่ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร รายการโทรทัศน์ จึงสามารถทำให้ ‘เชลล์ชวนชิม’ ของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์สามารถเข้าถึงประชาชนทั้งที่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทั้งในครัวหรือในบ้านได้ไม่ยากนัก[19]


ยุคเจ็ด ธุรกิจอาหารขึ้นห้าง

กลุ่มนายทุนและตัวแทนผู้นำเข้าอาหารสมัยใหม่ โดยเฉพาะในรูปแบบแฟรนไชส์ เป็นกลุ่มที่ผู้เขียนให้ความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะอาหารฟาสต์ฟู้ด การทำงานของผู้แทนอาหารในยุคนี้สะท้อนความโดดเด่นในการสร้างสัญญะทางการกินของสังคมไทย ผ่านการนำเสนออาหารที่สะท้อนความทันสมัยและตอบสนองต่อกระแสนิยมของผู้บริโภค โดยกลุ่มนายทุนในยุคนี้ไม่สามารถลงทุนเองได้โดยอิสระ แต่ต้องดำเนินธุรกิจในรูปแบบเฟรนไชส์ภายใต้กฎเกณฑ์และการควบคุมของบริษัทแม่ ผู้เขียนเสนอว่าข้อจำกัดเช่นนี้ไม่ได้ขัดขวางการเติบโตทางธุรกิจฟาสต์ฟู้ด แต่กลับทำให้เกิดการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งดำเนินงานผ่านนายทุนชั้นนำในการกระจายสัญญะความทันสมัยและความนิยมของอาหารสมัยใหม่เข้าสู่สังคมไทยได้อย่างรวดเร็ว[20]

‘กลุ่มตัวแทน’ ในแต่ละช่วงเวลาของรสชาติข้ามชาติทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่ขับเคลื่อน ส่งเสริม และสร้างกลไกให้ชุดความรู้เกี่ยวกับอาหารสมัยใหม่จนบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความรู้ ตลอดจนเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ข้ามรสชาติด้วยการข้ามปรากฏการณ์’


ข้ามรสชาติด้วยการข้ามปรากฏการณ์


ก่อนข้ามรสชาติคืออัตลักษณ์และประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่แนบชิดติดตัว การฝึกฝนเรียนรู้วิธีใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงตามทรัพยากรในพื้นที่ ทำให้เข้าใจซึ่งเอกลักษณ์และรสชาติของอาหารในวัฒนธรรมนั้น จนเกิดความคุ้นเคยกลายเป็นประสบการณ์ของรสชาติในถิ่นที่ และแสดงออกให้เห็นซึ่งอัตลักษณ์ของสังคมของตน ผู้เขียนเปิดเรื่องด้วยการนิยามอาหารภายใต้การเป็นอัตลักษณ์ของถิ่นหรืออาหารอันเป็นรสชาติของสังคมนั้นที่ผลิตเพื่อการดำรงชีวิต[21] จึงข้ามศาสตร์ไปสู่คำอธิบายตามหลักการวิทยาศาสตร์ทางอาหารสุขภาพที่ดีผ่านสามปรากฏการณ์ กล่าวคือ

รสข้ามศาสตร์: สุขภาพ โภชนาการ การแพทย์ และสภาวะความเป็นอาหารดี ผู้เขียนมุ่งนำเสนอรสที่ถูกพิจารณาองค์ประกอบของสารอาหารมากกว่า ‘รสชาติที่ถูกลิ้น’ และ ‘รูปร่างของอาหาร’ ที่เกิดจากชุดความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์ในการแบ่งแยกหน้าที่ของอาหารต่อร่างกาย และส่งเสริมความหมายของ ‘วิตามิน’ ด้วยการประเมินปริมาณพลังงาน ประเด็นนี้เป็นจุดเริ่มของการเดินทางเข้าสู่นโยบายการรักษาและป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นกับองคาพยพของพลเรือน[22]โดยขับเน้นวิธีการรณรงค์การกินเพื่อสุขภาพดี[23] สร้างความตื่นตัว และชูชุดความหมายของการกินตามหลักโภชนาการศาสตร์[24] อันเป็นหลักการของเจ้าอาณานิคมวงกลมอาหารห้าหมู่ มรดกทางความรู้และการกินดีของสหรัฐอเมริกา 

การกินถูกตามหลักการสหรัฐอเมริกาเป็นชุดความรู้ที่ให้ความสำคัญในการเลือกวัตถุดิบ รวมทั้งการเลือกกินอาหารให้เหมาะสมกับร่างกายเพื่อสร้างคุณค่าทางโภชนาการ อันเป็นแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการ ‘กินขาด’ โดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ในห้วงเวลานั้นการ ‘ขาดโปรตีน’ เป็นโรคที่ถูกนิยามถึงความรุนแรง และเป็นปัญหาที่เกิดจากการกินไม่พอ ซึ่งการไม่พอกินส่งผลต่อการพัฒนาร่างกายของพลเมืองเป็นอย่างมาก[25]

มรดกทางความรู้ข้างต้นจึงเป็นคุณค่าในการเลือกวัตถุดิบ การกินให้เหมาะสม รวมถึงคุณค่าทางโภชนาการเพื่อการป้องกันไม่ให้เกิดการกินขาด โดยเฉพาะโปรตีนสารอาหารจำเป็นที่ในห้วงเวลานั้นเป็นความรุนแรงที่ส่งผลให้เกิดปัญหาของการขาดโปรตีน[26] จากการกินไม่พอและไม่พอกิน ดังนั้น ปรากฏการณ์การกินขาดคือการขาดสารอาหารจำเป็นตามหลักโภชนาการที่ต้องส่งเสริมให้เกิดการกินมาก-ผลิตมาก มูลเหตุนี้จึงกลายเป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อสร้างชาติผ่านร่างกายของพลเมือง สู่การอ้างอิงถึงการผลิตในปริมาณมากให้เพียงพอต่อความต้องการสร้างสารอาหารที่ดีมีคุณค่าตามหลักโภชนาการใหม่ 

ข้ามการผลิต: การผลิตมาก การผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบหลัก สร้างรสชาติ และสร้างชาติ เป็นประเด็นที่ผู้เขียนมุ่งเผยให้เห็นถึงแนวคิดการกินมาก-ผลิตมาก และการส่งเสริมโปรตีนเพื่อความแข็งแรงของชาติ[27] ที่ถูกเตรียมความพร้อมไว้ก่อนหน้าการนิยามปัญหาโรคขาดโปรตีนราวสองทศวรรษ “กินสัตว์มากๆ กินสัตว์ต่างๆ ไข่ ปลา ถั่ว กุ้ง”[28]

‘โปรตีนสร้างชาติ'[29] ชุดความรู้เข้มข้นที่มีเป้าหมายส่งเสริมการบริโภคอาหารด้วยการปลูกถั่ว ซึ่งเป็นพืชที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าอาหารโปรตีนชนิดอื่น เพื่อให้พลเมืองสามารถเข้าถึงสารอาหารชนิดนี้ได้อย่างทั่วถึง การผลิตวัตถุดิบในปริมาณมากจึงเป็นนโยบายเพื่อป้องกันการกินขาดและการสร้างรสชาติอาหารภายใต้แนวคิดโปรตีนสร้างชาติกลายเป็นปัญหาในการ ‘กินเกิน’ ในเวลาต่อมา[30] การให้ความหมายของการกินเกินในห้วงเวลานั้นไม่ใช่เพียงเรื่องการกินอาหารเกินโภชนาการเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการเกินรสชาติอันหมายถึง “เกินหวาน เกินมัน และเกินเค็ม” ซึ่งเป็นภัยคุกคามทางสุขภาพที่ต้องคำนึง[31] โดยหนึ่งในสามภัยทางรสชาติที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของพลเมืองที่รุนแรงคือรสหวานที่ก่อนหน้าถูกเขียนไว้ในวงกลมอาหารหมู่หลักที่สองโดยไม่ได้ระบุปริมาณการกินที่เหมาะสมไว้

กระทั่งเวลาผ่านไปราวสี่ทศวรรษ ‘ธงโภชนาการ’ ภาพตัวแทนใหม่ในการกินตามหลักโภชนาการศาสตร์ได้ระบุปริมาณการกินหวานที่เหมาะกับร่างกายไว้เป็นประเด็นหลักว่าควรกินน้ำตาลแต่น้อย[32] หากแต่นโยบายการผลิตมากเพื่อแก้ปัญหาการกินขาดกลับกำลังผูกติดอยู่กับแนวคิดและการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพียงเรื่องการมีวัตถุดิบ มีอาหารจานหลัก หรือมีเครื่องปรุงในครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมอาหารที่มีความจำเป็นในการประกอบรสชาติ ดังเช่นอาหารรสหวาน 

ด้วยเหตุดังกล่าว ความเป็นรสหวาน-อาหารรสชาติหลักของหลายเมนูจึงสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มรสทั้งเครื่องดื่ม การทำอาหาร และการถนอมอาหาร[33] เป็นเหตุผลสู่การผลิตและบริโภคจำนวนมากที่มาพร้อมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งปรากฏการณ์อุตสาหกรรมนี้นำไปสู่การลดทอนรสชาติน้ำตาลท้องถิ่น แทนที่ด้วยรสหวานของน้ำตาลอุตสาหกรรมอย่างเบ็ดเสร็จตามมาตรฐานเดียวกันได้ทั้งโลก ทั้งยังรวมไปถึงการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมอาหารสำเร็จรูปทั้งอาหารสด อาหารพร้อมปรุง และอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ต้องผ่านระบบตลาด เหล่านี้ล้วนนำมาสู่โภชนาการกินเกินแทบทั้งสิ้น [34]

นอกจากอาหาร เมนูอาหาร และรสชาติของอาหารแล้ว การผลิตมากและการผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างรสชาติและสร้างชาติ ยังเกี่ยวโยงไปถึงการข้ามความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมทางอาหาร โดยเฉพาะความนิยมต่ออาหารใหม่อย่างอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีนัยของการเป็นอาหารอุตสาหกรรม อาหารข้ามวัฒนธรรม และอาหารที่ยินยอมน้อมรับวัฒนธรรมจากอำนาจน้อมนำ ซึ่งในเวลาต่อมาถูกอธิบายว่าเป็นการกินที่ ‘ล้นเกิน’ (หน้า 214) 

ข้ามวัฒนธรรม: ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม การปรุงกิน ปรุงรส ข้ามลิ้น ข้ามพรมแดน ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าการเดินทางมาของวัฒนธรรมการกินฟาสต์ฟู้ดส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมในหลายด้าน โดยที่อาหารฟาสต์ฟู้ดในสังคมไทยช่วงแรกคือแฟชั่นและภาพแสดงสัญญะของผู้บริโภค กล่าวคือเป็นรสนิยม หรือการแสดงออกของสถานภาพทางสังคมและความหรูหราที่มีความหมายแตกต่างออกไปจากวัฒนธรรมการกินดั้งเดิมของเจ้าวัฒนธรรมอย่างสหรัฐอเมริกา (หน้า 218) 

นอกจากนั้น ยังปรากฏความหมายของ ‘ฟาสต์ฟู้ดพันธุ์ใหม่’ อันเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนการเดินทางของอาหารจากมหาอำนาจทางวัฒนธรรมในโลกตะวันออก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ซึ่งไม่ได้เดินทางในเชิงภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังข้ามวัฒนธรรมและปรับตัวเข้ากับบริบทของสังคมไทย ภายใต้กระแสอำนาจโน้มนำทางวัฒนธรรมสมัยใหม่[35] อาหารเหล่านี้มาพร้อมสัญญะใหม่ที่แตกต่างจากฟาสต์ฟู้ดดั้งเดิม เช่น การใช้วัตถุดิบสดใหม่ การเน้นประโยชน์ต่อสุขภาพ และการปรับรูปแบบเมนูให้สอดคล้องกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนรสชาติหรือรูปแบบการบริโภค แต่ยังสะท้อนกระแสอาทิตยานุวัตร (japanization) ที่ทำให้ฟาสต์ฟู้ดแบบตะวันออกสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่และความนิยมในสังคมไทย จึงเป็นตัวอย่างของอาหารข้ามวัฒนธรรมที่ไม่ใช่แค่เป็นอาหาร แต่เป็นสื่อกลางที่สะท้อนพลวัตของโลกาภิวัตน์ วัฒนธรรม และอำนาจโน้มนำทางสังคมในบริบทไทยสมัยนิยม

การเข้ามาของมหาอำนาจทางตะวันออกในสังคมไทย ไม่ได้สะท้อนเพียงมิติทางเศรษฐกิจและการลงทุนอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับการเคลื่อนย้ายและการเผยแพร่วัฒนธรรมด้านอาหารโดยมีการปรับรูปแบบและรสชาติให้เข้ากับ ‘ลิ้นรู้สึก’ ผสมผสานระหว่างรสชาติและการปรับแปลงเพื่อความคุ้นเคยของสังคมใหม่ กระบวนการนี้สะท้อนพลวัตทางวัฒนธรรมที่อาหารทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเจรจา เช่นเดียวกับกรณีของอาหารเกาหลีที่เข้ามาพร้อมกับกระแส k-pop และถูกปรับรสชาติให้ถูกลิ้นคนไทยมากขึ้นเช่นกัน[36]

กรณีของจีน ผู้เขียนวิเคราะห์การข้ามรสในสองห้วงเวลาที่สำคัญ ห้วงแรกคือช่วงผู้อพยพ จีนที่นำอาหารดั้งเดิมติดตัวมาด้วย ซึ่งต่อมาถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมไทย จนเกิดเป็นอาหารจีนแบบไทยที่เราคุ้นเคย ห้วงที่สองคือการมาของกระแสวัฒนธรรมจีนใหม่ ภายใต้นโยบาย going global หรือ go out ของจีน ซึ่งมุ่งเน้นการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนในมิติที่เป็นสมัยใหม่และเชื่อมโยงกับโลกาภิวัตน์ อาหารที่เป็นตัวแทนของกระแสใหม่นี้คือหมาล่า ซึ่งมิได้เป็นเพียงเมนูอาหารธรรมดา แต่ทำหน้าที่เป็นอาหารข้ามวัฒนธรรม (cross-cultural food) ที่สะท้อนความเป็นจีนสมัยนิยม (หน้า 238–241)


ความรอบรู้ในอาหารข้ามรส


ผู้เขียนมุ่งเน้นถึงความรอบรู้ด้านอาหาร (food literacy) เพื่ออธิบายเรื่องราว สถานะทางความรู้ และความเข้าใจต่ออาหารการกิน ทั้งที่มาของอาหาร การเชื่อมโยงข้ามวัฒนธรรมของอาหาร เรื่องราวของผู้ผลิตและผู้บริโภค ตลอดจนรัฐชาติ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ด้วยการสำรวจความหลากหลายในความหมายของอาหาร ทั้งในเชิงอัตลักษณ์ หลักการทางวิทยาศาสตร์ การผลิต และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมการกิน

คำอธิบายในหนังสือแสดงถึงความรู้เกี่ยวกับอาหารที่กว้างไกลเกินกว่ามิติของรสชาติหรือการปรุงรส แต่เป็นความรอบรู้ในปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ทางอาหารทั้งในเชิงนโยบาย แนวทางปฏิบัติ และบทบาทของการสื่อสารของผู้กระทำการที่สัมพันธ์อยู่กับความหมายของอาหารในมิติต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม รู้และเข้าใจได้ถึงหน้าที่ของกลุ่มตัวแทนในชุดความรู้จากปรากฏการณ์ทางอาหารแต่ละห้วงเวลา

ผู้เขียนทำให้เข้าใจถึงสถานะของอาหารที่คอยเชื่อมโยงสังคม โดยไม่ใช่แค่การกิน แต่ยังโยงไปถึงระบบสุขภาพ โภชนาการ การแพทย์ เศรษฐกิจ ชาติ และวัฒนธรรม การรอบรู้ทางอาหารในรสข้ามชาติมิได้ระบุอยู่เพียงอาหารด้านใดด้านหนึ่ง หากแต่ครอบคลุมไปถึงระบบอาหาร เรื่องราวของผู้ผลิต ผู้บริโภค ความเป็นชนบท ความเป็นเมือง และสังคมวัฒนธรรมอย่างแยกส่วนไม่ได้ 

กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว การใช้ทักษะและองค์ความรู้ด้านอาหารของผู้เขียนในการถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์สังคมผ่านอาหาร ทำให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นพัฒนาการทางความคิดที่ใช้ในการทำความเข้าใจพลวัตของอาหารได้อย่างชัดเจน ดังนั้น หนังสือรสข้ามชาติอาจถือได้ว่าเป็นงานเขียนอาหารที่มิได้เป็นเพียงการบรรยายรสชาติ หากแต่เป็นการผลิตองค์ความรู้ และการสื่อสารความหมายของระบบอาหารที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์สังคมไทยผ่านความรอบรู้ด้านอาหารของผู้เขียนเอง

References
1 หน้า 73
2 หน้า 75-76
3 หน้า 112
4 หน้า 114
5 หน้า 118
6 หน้า 211
7 หน้า 41
8 หน้า 211
9 หน้า 41-42
10 หน้า 49
11 หน้า 53
12 หน้า 49
13 หน้า 49, 56
14 หน้า 56–57
15 หน้า 56
16 หน้า 76–77
17 หน้า 113-117
18 หน้า 129
19 หน้า 149-151
20 หน้า 222–223
21 หน้า 24
22 หน้า 42
23 หน้า 47
24 หน้า 49
25 หน้า 79
26 หน้า 79
27 หน้า 61
28 หน้า 62
29 หน้า 64
30 หน้า 83
31 หน้า 101
32 หน้า 77
33 หน้า 117-118
34 หน้า 98
35 หน้า 4
36 หน้า 232–233

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save