– 1 –
ในวันแดดจ้า ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2568 ผู้เขียนตั้งใจขับรถผ่านถนนคดเคี้ยว ดั้นด้นไปเยือน ‘ศิลป่า’ หรือ Khao Yai Art Forest พิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ตั้งใจให้คนได้สัมผัสงานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติอันเขียวขจีของเขาใหญ่
หลังจอดรถเสร็จก็ยืนงงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะทางเข้าโครงการไม่มีป้ายบอกใดๆ กระทั่งเจอทางเดินปูกระดาษกล่อง นำทางไปยังทางเข้าอุโมงอิฐสีกลมกลืนกับพื้นดิน ราวกับจะเชื้อเชิญผู้มาเยือนเข้าสู่โลกใหม่อันเร้นลับ
เดินลอดอุโมงค์ไร้ไฟฟ้า ทางเดินพาลาดลงต่ำและผงกหัวขึ้น อึดใจเดียวเพียงไม่กี่สิบเมตร โผล่พ้นกลางแจ้งอีกที สิ่งแรกที่เจอคือโต๊ะไม้ทรงกลมสวยงาม พนักงานหลายคนในยูนิฟอร์มรอต้อนรับพร้อมด้วยรอยยิ้ม น้ำ และผ้าเย็น
จังหวะนี้ให้ความรู้สึกเหมือนมารีสอร์ตห้าดาวกลางป่า มากกว่าสถานที่แสดงงานศิลปะ แต่ความรู้สึกนี้ก็หายไปทันทีที่หันไปเจอ Maman แมงมุมยักษ์ดำทะมึนสูงเกือบ 10 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางนาข้าว
งานประติมากรรมสำริดชื่อก้องโลกชิ้นนี้รังสรรค์โดย ลูอีส เบอร์จัวส์ (Louise Bourgeois) ศิลปินชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน เธอสร้าง Maman (แปลว่า แม่ ในภาษาฝรั่งเศส) ขึ้นมาเพื่อแสดงความรำลึกและยกย่องมารดาผู้เป็นช่างทอผ้าและนักซ่อมผ้าทอ เปรียบเสมือนแม่แมงมุมทอใยที่กางขาปกป้องลูก
ไม่ไกลเท่าไรนักจากแมงมุมของเบอร์จัวส์ แต่ก็ซ่อนตัวอยู่ในพงไม้ล้อมรอบลานดินที่ต้องเดินหา พอได้เหงื่อกลางเปลวแดด คือ Two Planets Series (ชื่อไทย ดาวสองดวง) ผลงานจอวีดีโอขนาดยักษ์โดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ศิลปินไทยชื่อดังผู้คร่ำหวอดในวงการมานานหลายทศวรรษ
ศิลปินสร้างงานชิ้นนี้ในปี 2008 บันทึกภาพชาวนาชาวไร่ คนงาน และพระสงฆ์ในชนบทเชียงใหม่ ในสถานะ ‘คนดูศิลปะจำเป็น’ ชวนมานั่งชมงานชิ้นเอก 4 ชิ้น ของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์ระดับโลก 4 คน ได้แก่ เอดูอาร์ด มาเนต์, วินเซนต์ แวนโก๊ะ, ฌอง ฟรอง ซัวส์ มิเย่ต์ และ โอกุสต์ เรอนัวร์
ศิลปินเคยให้สัมภาษณ์ถึงกระบวนการสร้างงานชิ้นนี้ว่า เธอชักชวนผู้เข้าร่วมมาโดยไม่บอกอะไรล่วงหน้าและไม่ให้ข้อมูลใดๆ กับพวกเขาเลย “พวกเขาแค่คิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่สนุกๆ อย่างหนึ่ง” ดังนั้นบทสนทนาในหมู่คนดูที่เกิดขึ้นจึงเป็นการ ‘ด้นสด’ อย่างเป็นธรรมชาติ
ผู้เขียนคิดว่าการนั่งดูงาน Two Planet Series ในตัวมันเองก็สนุกมากพอแล้ว เพราะบทสนทนา ‘ด้นสด’ ของคนดูงานศิลปะจำเป็นนั้นทำให้งานของจิตรกรเอกในอดีตกลับมามีชีวิตชีวา และการได้นั่งดูการปะทะสังสรรค์ระหว่างวัฒนธรรมของคนดูงาน กับวัฒนธรรมในงานศิลปะซึ่งแปลกแยกแปลกถิ่นสำหรับพวกเขาก็เพลินมาก แต่การที่งานชิ้นนี้ถูกนำมาติดตั้งกลาง ‘ศิลป่า’ แวดล้อมด้วยป่าไม้ที่ละม้ายคล้ายชนบทเชียงใหม่ในวีดีโอ ก็ทำให้ผู้ชมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน เพราะระหว่างที่เรานั่งดูชาวบ้านที่นั่งดูภาพวาด เราเองก็กำลังนั่งอยู่ในธรรมชาติและดูภาพนั้นร่วมไปกับพวกเขาด้วย
งานอีกชิ้นที่เข้ากับที่นี่อย่างกลมกลืน แต่ให้ความรู้สึกต่างไปคือ GOD โดย ฟรังเชสโก อารีนา (Francesco Arena) ศิลปินชาวอิตาลี นำหินแกรนิตยักษ์ 2 ก้อนมาตัดให้เรียบ บนหน้าตัดจารึกตัวอักษร G และ D อยู่ก้อนหนึ่ง จารึก O อีกก้อน แต่เมื่อนำสองชิ้นนี้มาวางซ้อนกัน จัดวางท่ามกลางแมกไม้ ก็จะมองไม่เห็นตัวอักษรเหล่านี้อีกต่อไป สื่อนัยอย่างเรียบง่ายถึง ‘พระเจ้า’ ในชื่อของผลงาน
เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ สังเกตว่าผู้มาเยือนส่วนใหญ่ไม่เดินไปตามเส้นทาง แต่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อนั่งรถกอล์ฟที่พาแวะชมชิ้นงานตามจุดต่างๆ ถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าผู้มาเยือนส่วนใหญ่ราว 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวต่างชาติ
ค่านั่งรถกอล์ฟ 200 บาท จ่ายเพิ่มจากค่าบัตรเข้าชม 500 บาท ซึ่งราคานี้จะเพิ่มเป็น 1,000 บาทถ้ารวมมื้ออาหารกลางวัน และ 1,500 บาท ถ้ารวมมื้ออาหารเย็น
ราคาจะขยับขึ้นไปอีกเมื่อมีการจัดงานพิเศษในโครงการ เช่น ไม่นานหลังจากที่ผู้เขียนไปเยือน ในวันที่ 16-17 สิงหาคม 2568 โครงการจัด ‘โอกาสสุดท้าย ชม Maman พร้อมการแสดงโขนท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น‘ ก่อนส่งแมมมุมยักษ์กลับบ้านที่มหานครนิวยอร์ก อีเวนต์พิเศษนี้ขายบัตรเข้าชม 1,500 บาท บัตรเข้าชมบวกมื้อเย็นราคา 4,500 บาท
ประสบการณ์ดูงานใน ‘ศิลป่า’ จึงเป็นประสบการณ์ค่อนข้าง ‘เอกซ์คลูซิฟ’ โดยเฉพาะสำหรับคนไทย ที่ต้องมีกำลังซื้อสูงพอควรจึงจะเข้าถึงได้
โครงการก็รู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร เพราะมี % Arabica ร้านกาแฟอร่อยราคาแพงตั้งอยู่ในโครงการ ส่วนอาหารมื้อกลางวันและเย็นก็ปรุงโดยเชฟหนุ่ม วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ แห่งร้าน Samuay & Sons อีสานสมัยใหม่จากอุดรธานี – ข้าวในนาใต้ขาแมงมุม Maman ก็คือข้าวที่นำมาปรุงเป็นอาหาร ทุกจานใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น
ความเอกซ์คลูซิฟยังสะท้อนผ่านชิ้นงานด้วย K-BAR โดยศิลปินคู่หูจากสแกนดิเนเวีย เอล์มกรีน แอนด์ แดรกเซ็ท (Elmgreen & Dragset) ตั้งอยู่กลางป่าไผ่ในโครงการ บาร์ทรงกล่องนี้มีที่นั่งเพียง 6 ที่ เปิดเวลา 17.00-23.00 น. และเปิดเดือนละครั้งเท่านั้น เฉพาะเสาร์ที่สองของทุกเดือน
แม้ว่าความเอกซ์คลูซิฟเหล่านี้จะเข้าใจได้เมื่อคำนึงถึงเม็ดเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายมโหฬารที่จำเป็นต่อการดูแลพื้นที่กว่า 530 ไร่แห่งนี้ ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าความเอ็กซ์คลูซีฟนี้ช่างย้อนแย้งลักลั่นกับความเป็นป่าในธรรมชาติ
ธรรมชาติ ในภาษาพุทธแปลว่าปกติ สิ่งที่เป็นเช่นนั้นเองโดยไม่ได้ปรุงแต่ง
ป่าธรรมชาติปกติเปิดรับและให้บริการฟอกอากาศกับผู้คนและสิ่งมีชีวิตทุกระดับโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ผู้เขียนทดความรู้สึกย้อนแย้งไว้ในใจระหว่างเดินขึ้นเนินเขา ไปชมงานอีกชิ้นที่อยู่ไกลสุดจากชิ้นอื่น (มีซุ้มแจกน้ำดื่มและผ้าเย็นให้บริการทั้งตีนเนินและบนเนิน) ชื่อ Madrid Circle สร้างปี 1986 ผลงานของ ริชาร์ด ลอง (Richard Long) ศิลปินอังกฤษผู้บุกเบิกศิลปะแขนง ‘ภูมิศิลป์’ (land art) ซึ่งมักนำวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติมาสร้างงาน และมองภูมิทัศน์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะ
งานนี้ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางเดินป่า นำหินชนวนขนาดน้อยใหญ่มาจัดเรียงเป็นทางเดินวงกลม สะท้อนความเชื่อของศิลปินที่ว่า ‘การเดิน’ เป็นศิลปะในตัวมันเอง ทำให้กระหวัดนึกถึงการเดินจงกรมในศาสนาพุทธ และที่ตั้งของ Madrid Circle ก็เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนทอดสายตาออกไปมองแมกไม้และทิวเขารอบตัว
แต่ความสงบเงียบใดๆ สำหรับผู้เขียนก็สลายลงทันทีที่เดินไปชวนคุยกับ พี่เอ (นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่โครงการที่นั่งเฝ้างาน Madrid Circle ในเพิงกันแดดทำจากไม้ไผ่
พี่เอเล่าว่าคนทำงานในนี้หลายคนมาจากศรีสะเกษ เขาและเธอทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบล่าสุด ที่บานปลายเป็นการปะทะกันด้วยอาวุธ คนเจ็บตายหลายพันและคนลี้ภัยหลายแสนทั้งสองชาติ
ในวันที่ผู้เขียนไปเยือน ‘ศิลป่า’ เสียงปืนสงบลงแล้วหลังการปะทะในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม แต่บรรยากาศยังคุกรุ่น และคนหลายแสนยังไม่ได้กลับบ้าน
พี่เอเล่าว่า บ้านเขาที่ศรีสะเกษอยู่ไกลจากชายแดนมาก “แต่ถ้าจรวดเขมรยิงมาได้ 130 กิโล บ้านผมก็ไม่รอด” เมื่อถามว่าญาติพี่น้องอพยพมาปลอดภัยไหม คำตอบคือ วัดแถวบ้านแปลงสภาพเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว พ่อแม่พี่สาวจึงตัดสินใจไม่อพยพ แต่พี่สาวก็บอกเขาว่า ถ้าเขมรเริ่มยิงจรวดวิถีไกลจริงๆ ให้บึ่งรถมารับด้วย
ส่วนพี่บี (นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่โครงการอีกคน ทำหน้าที่แจกขวดน้ำและให้บริการผ้าเย็นซับเหงื่อตรงจุดก่อนเดินขึ้นเนินไปดูงาน คนศรีสะเกษเช่นกัน มีแฟนเป็นทหารอยู่ภูมะเขือ จุดหนึ่งที่มีการปะทะ บ้านแม่กับพี่สาวของเธอหนีไปสมุทรสาคร แต่ “คืนนี้ต้องกลับบ้านแล้วเพราะหลาน [ลูกพี่สาว] ต้องไปโรงเรียน โรงเรียนไม่ได้ปิดนะ”
เธอบอกว่าอยากให้ความขัดแย้งจบเร็วๆ ทุกคนจะได้กลับไปทำมาหากิน แต่ก็คิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานเพราะ “เขมรมันจะเอาให้ได้ ปราสาทตาเมือนธมน่ะ”
– 2 –
คำบรรยาย ‘Maman’ บนเว็บไซต์โครงการทิ้งท้ายว่า “ในแง่ของการเยียวยาฟื้นฟูภายในพื้นที่แห่งนี้ เช่นเดียวกับแมงมุม เราต้องถักทอความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติขึ้นมาอีกครั้ง เพราะธรรมชาติเป็นทั้งผู้ให้กำเนิดและบ้านของเรา”
‘การเยียวยาผ่านศิลปะ’ หรือ healing through art กลายเป็นทั้งปรัชญาและสโลแกนของ ‘ศิลป่า’ ซึ่ง มาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของโครงการ เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า ในปี 2020 เมื่อเธอย้ายไปพำนักในเขาใหญ่ช่วงโควิด-19 ระบาด มาตรการ ‘ปิดเมือง’ ของรัฐบาลทำให้มาริษาออกมาข้างนอกได้แต่ช่วงเช้าตรู่เท่านั้น การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจว่า ศิลปะกับธรรมชาติสามารถมาหลอมรวมกันเพื่อสร้างประสบการณ์เยียวยาให้กับผู้มาเยือน ทั้งทางจิตใจและจิตวิญญาณ
ปรัชญา ‘เยียวยาผ่านศิลปะ’ ของที่นี่ไม่ได้เผยให้เห็นแต่เพียงการคัดเลือกงานศิลปะมาแสดง แต่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่กระบวนการเลือกพื้นที่และออกแบบโครงการ
พื้นที่โครงการบางส่วนเคยเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมมาก่อน ผืนดินและป่าถูกทำลายจากเกษตรเชิงเดี่ยวในทศวรรษ 1970 ดังนั้นจึงเริ่มต้นด้วยการปลูกต้นไม้พื้นเมืองขึ้นมาใหม่ พยายามฟื้นฟูระบบนิเวศป่า ก่อนที่จะนำงานศิลปะชิ้นต่างๆ มาจัดวางในพื้นที่
สำหรับการเยียวยาจิตใจของผู้มาเยือน ผู้ดำเนินโครงการก็หวังว่าจะเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์การเดินดูธรรมชาติท่ามกลางงานศิลปะ เพราะผู้เข้าชมต้องใช้เวลาและแรงกายในการเดินไปชมผลงานแต่ละชิ้น (ระยะทางทั้งหมดราว 2.5 กิโลเมตร) เท่ากับบังคับให้ชะลอจังหวะชีวิต ได้ไตร่ตรอง และเชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง (ถ้าไม่จ่ายเพิ่ม 200 บาท เพื่อนั่งรถกอล์ฟ)
อย่างไรก็ดี ความเอกซ์คลูซิฟเข้าถึงยากทั้งจากราคาและระยะทาง ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สร้างความรู้สึกย้อนแย้งยอกย้อน (“เยียวยาได้แต่คนมีเงิน?”) ให้กับผู้มาเยือนคิดเยอะอย่างผู้เขียน แต่นามสกุลของเจ้าของและแหล่งเงินทุนของโครงการ ยังเพิ่มดีกรีความย้อนแย้งไปอีกหลายเท่า
ชื่อของ มาริษา เจียรวนนท์ โด่งดังในฐานะนักสะสมงานศิลปะทั้งไทยและเทศ ไม่นานนี้เธอเพิ่มบทบาทใหม่เป็นผู้ขับเคลื่อนวงการ ประกาศปักหมุดอยากให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของคนรักศิลปะทั่วโลก ผ่านโครงการ ‘ศิลป่า’ และ Bangkok Kunsthalle พื้นที่ศิลปะในซอยนานา ซึ่งเธอบอกว่าเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน
แต่ในอีกสถานะ เธอคือภรรยาของ สุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และลูกชายคนโตของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์
เครือซีพีสะสมความมั่งคั่งมหาศาลจากการทำอุตสาหกรรมเกษตรเชิงเดี่ยว – กิจกรรมเดียวกันกับที่เคยทำลายพื้นที่โครงการ ‘ศิลป่า’ ในอดีต
ความรู้สึกย้อนแย้งของผู้เขียนสะกิดใจขึ้นอีกรอบเมื่อได้สัมผัสงานศิลปะที่ว่ากันว่าเป็น ‘ไฮไลต์’ ของโครงการนี้ นั่นคือ Khao Yai Fog Forest หรือ ป่าหมอกเขาใหญ่ ผลงานของ ฟูจิโกะ นาคายะ ศิลปินชาวญี่ปุ่นวัย 91 ปี เปิดให้ชมวันละสองรอบเท่านั้นในเวลา 11.30 และ 16.30 น. กินเวลารอบละสิบนาที
นาคายะโด่งดังมาหลายสิบปีในฐานะศิลปินและนวัตกรผู้คิดค้น ‘ประติมากรรมหมอก’ สร้างหมอกเทียมในธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี งานของเธอขยับขยายพรมแดนของภูมิศิลป์ (land art) ออกไปอย่างกว้างไกล ด้วยการสร้างงานที่เผยให้เห็นพลังของธรรมชาติ โดยไม่สร้างวัตถุใดๆ ลงในธรรมชาติแม้แต่น้อย
เมื่อถึงรอบการแสดง ไอน้ำก็ถูกฉีดออกมาจากท่อนับร้อยที่ซ่อนไว้ตามแนวพุ่มไม้ หมอกเทียมโรยตัวลงมาปกคลุมเนินหญ้า เกาะกลุ่มกันเป็นระลอกสวยงามราวกับเป็นกระจกสะท้อนปุยเมฆบนฟ้าครามในยามที่ดินฟ้าอากาศเป็นใจ ดังเช่นในวันแดดจ้าที่ผู้เขียนไปเยือน
การเดินท่องป่าหมอกทำให้รู้สึกสนุกสนานมากกว่าจะหยุดครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปรากฏและจากไป สังเกตเห็นหลายครอบครัวก็จูงลูกจูงหลานมารอเวลานี้โดยเฉพาะ
นาคายะสร้างงานศิลปะอัศจรรย์จากอากาศ เนรมิตหมอกบางเบาที่ผ่านมาแล้วผ่านไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
ป่าหมอกไร้ร่องรอย แต่ทำให้ผู้เขียนคิดถึงมวลฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งหวนกลับมาทุกปีในแทบทุกภาคของประเทศ คร่าชีวิตและสร้างปัญหาสุขภาพเรื้อรังให้กับคนไทยเกินสิบล้านคน ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยคนไทยลดลง 1.78 ปี
ไม่ว่าเครือซีพีจะประกาศกี่รอบว่ามีนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากแปลงเผา มีระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านที่เปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นและคู่ค้ามาใช้ได้ ฯลฯ สังคมก็ยังคงตั้งคำถามและจับตาอย่างไม่ไว้วางใจใน ‘ภาคปฏิบัติ’ อยู่นั่นเอง
ความงดงามของป่าหมอกจุดประกายให้ผู้เขียนไปค้นดูเบื้องหลัง ได้คำตอบว่าระบบการผลิตหมอกในงานนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง เพราะใช้เทคโนโลยี Atmospheric Water Generator (AWG) ของบริษัท Aquaria ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ดึงความชื้นจากอากาศ ควบแน่นไอน้ำในอากาศให้กลายเป็นน้ำ น้ำที่ได้จะผ่านระบบการกรองหลายขั้นตอน รวมถึงการกรองฝุ่นละออง การกรองด้วยคาร์บอน และการฆ่าเชื้อด้วยแสงอัลตราไวโอเลต เพื่อให้ได้น้ำที่บริสุทธิ์และปลอดภัย – ต่อการบริโภค และต่อการรังสรรค์ป่าหมอก
เทคโนโลยี AWG ทำให้ศิลปินสร้างป่าหมอกได้โดยไม่ต้องใช้แหล่งน้ำธรรมชาติใดๆ อีกทั้งยังเป็นการสาธิตวิธีแก้ปัญหาน้ำขาดแคลนในอนาคต โดยเฉพาะในยุคโลกเดือดที่แหล่งน้ำธรรมชาติมีความผันผวนไม่แน่นอน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกการระบาดของปลาหมอคางดำ สัตว์รุกรานต่างถิ่นเจ้าปัญหาซึ่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากออกมาประสานเสียงว่า เป็นตัวการ ‘หายนะทางระบบนิเวศ’ ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และถึงแม้จะระบาดมา 13 ปี ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ แม้มีบริษัทเดียวที่ปรากฎหลักฐานว่านำเข้าไทย คือ ซีพีเอฟ (CPF) บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ในเครือซีพี แหล่งทุนของ ‘ศิลป่า’
(ย้อนไป 1 ปีที่แล้ว ในเดือนสิงหาคม 2024 ผู้เขียนเขียนบทความ “ถ้าหากข้าพเจ้า เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ บมจ.ซีพีเอฟ” เพื่อทวงถามความรับผิดชอบของกลไกบรรษัทภิบาลในองค์กร ผ่านมาถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบ)
…ความเอกซ์คลูซิฟกับป่าธรรมชาติ(ที่ต้องใช้เงินดูแลมหาศาล)
…เกษตรเชิงเดี่ยวกับปรัชญา “เยียวยาผ่านศิลปะ”
…ฝุ่นพิษ PM2.5 กับป่าหมอกบางเบา
…การระบาดของปลาหมอคางดำ กับเทคโนโลยีผลิตน้ำโดยไม่รบกวนแหล่งน้ำธรรมชาติ
ความย้อนแย้งในใจพอกพูนจนผู้เขียนคิดว่า อย่ากระนั้นเลย ควรจะลองสัมภาษณ์ศิลปินไทยที่ได้รังสรรค์งานศิลปะในโครงการอันเต็มไปด้วยความย้อนแย้งมากมายหลายมิติเช่นนี้
โชคดีอย่างยิ่งที่ศิลปินผู้ตอบรับให้สัมภาษณ์ เป็นเจ้าของผลงานที่ผู้เขียนชอบที่สุดในโครงการ ‘ศิลป่า’ ตั้งชื่อว่า ‘Pilgrimage to Eternity’ หรือ การเดินทางสู่นิรันดร์
งานชิ้นนี้โดย ‘อุบัติสัตย์’ ไม่ได้เป็นงานชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวเหมือน GOD แต่ประกอบด้วยงานชิ้นย่อยหลายชิ้น ทั้งหมดสร้างขึ้นเฉพาะสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ (site-specific)
ในงานชิ้นนี้ ศิลปินนำดินจากในพื้นที่เขาใหญ่มาปั้นเป็นชิ้นส่วนย่อยๆ ของประติมากรรมเจดีย์ทรงลังกากว่าสิบชิ้น กระจายอยู่ทั่วพื้นที่โครงการ
ชิ้นส่วนเจดีย์ทุกชิ้นถูกปกคลุมด้วยมอสส์ธรรมชาติ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเสียจนถ้าไม่เดินเข้าไปใกล้ๆ อาจไม่ทันสังเกตว่าเป็นงานศิลปะ
สื่อนัยทั้งความไม่เที่ยง แนวคิดหลักของศาสนาพุทธ และพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปย่อมกลืนกินชิ้นส่วนเจดีย์จนไม่เหลือเค้าเดิม
อุบัติสัตย์ไม่ใช่ศิลปินแนวสร้างสรรค์ศิลปะสวยงามเพื่อสุนทรียะ หากแต่เป็นศิลปินนักเคลื่อนไหว หมวกอีกใบคือ ‘เด็กวัด’ ในวัดอุโมงค์ งานของเขามักสะท้อนประเด็นทางสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมอย่างแยบคายและบางคราวก็แสบสันต์ อย่างเช่น ‘ปลาไหลเผือกลี้ภัยยามฟ้าสาง‘ (white eel in the dawn of the exile) ซึ่งนำแรงบันดาลใจจากตำนานปลาไหลเผือกแห่งโยนกนคร มาสร้างงานสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงในวันที่เต็มไปด้วยเขื่อนยักษ์ หรือ ‘Monty Cy-Press‘ งานสร้างจากกองดินเพื่อสะท้อนผลกระทบของภัยพิบัติ ซึ่งตัวศิลปินเองก็เป็นผู้ประสบภัยคนหนึ่งด้วย
ด้วย ‘ลายเซ็น’ ที่สะท้อนผ่านผลงานแนวนี้ ก็น่าสนใจทำไมเขาตอบรับการสร้างงานใน ‘ศิลป่า’
“มีคนต่อว่าเยอะมั๊ย ว่าทำไมถึงไปทำงานนี้” ผู้เขียนถามตรงๆ
“ผมตอบจนขี้เกียจตอบแล้วครับอาจารย์” เสียงปลายสายตอบแบบเซ็งๆ แต่ก็กลั้วหัวเราะ
อุบัติสัตย์อธิบายที่มาที่ไปว่า คุณมาริษา เจ้าของโครงการ มาทาบทามเขาถึงที่วัดอุโมงค์ เพราะชื่นชอบผลงานปี 2022 ของเขา ที่เอาเกลือมาหล่อเป็นพระพุทธรูป ในนิทรรศการ ‘การกลับคำของ Marcel Duchamp และเส้นทางแห่งผีบุญ‘ จัดแสดงที่ VS Gallery
ศิลปินตัดสินใจตอบรับและตัดสินใจสร้างชิ้นงานใน ‘ศิลป่า’ เพราะเขามองว่าการหล่อเจดีย์เป็นพุทธบูชา เป็นงานการกุศล ไม่ใช่ ‘แค่’ ศิลปะ
ต้นแบบเจดีย์ทรงลังกาที่เขาถอดแบบมานั้น จริงๆ ใครเป็นคนสร้างในอดีตก็ไม่มีใครรู้ เรียนรู้ลอกแบบกันต่อๆ มา เขาได้มาฟรีๆ จากครูบาอาจารย์
เมื่อเขาไปปรึกษาหลวงตาวัดอุโมงค์ หลวงตาก็ยืนยันความคิดของเขาด้วยการบอกว่า ใครๆ ก็สามารถสร้างเจดีย์ได้ ทำกันทั่วโลก
อุบัติสัตย์ยืนยันว่า เขาไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากการสร้างงาน Pilgrimage to Eternity ชิ้นนี้
“ผมทำหน้าที่เหมือนผู้รับใช้เจดีย์มากกว่า คนที่ได้เงินจากงานนี้คือกรรมกร คนที่มาลงแรงสร้าง”
ผู้เขียนถามเพิ่มเติมว่า แล้วถ้าสมมติเขาไม่ได้สร้างเจดีย์ แต่สร้างงานอื่นที่เป็นงานศิลปะเพียวๆ ไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือการกุศลเลยล่ะ เขาจะทำหรือเปล่า
คำตอบคือ ก็ทำได้ ถ้าตั้งต้นเป็นการค้าขาย งานศิลปะเป็นเรื่องรสนิยม ใครชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ
ตลอดบทสนทนา อุบัติสัตย์ดูเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรจะมาสั่นคลอนความเป็นอิสระของเขาได้ หรือพูดอีกอย่างคือ คนอื่นย่อมสิทธิตั้งคำถามหรือต่อว่า แต่ศิลปินก็มั่นใจว่าถึงอย่างไรเขาก็วิพากษ์ทุนได้
และอันที่จริง สำหรับงาน Pilgrimage to Eternity อุบัติสัตย์ก็อาจมีส่วนขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ด้วย เพราะเขาตั้งเงื่อนไขกับโครงการว่า ห้ามตัดต้นไม้ใดๆ เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรจากงานแต่ละชิ้น ซึ่งในเมื่องานของเขากระจายอยู่ทั่วทั้งโครงการ เงื่อนไขนี้ก็แปลว่าโครงการต้องอนุรักษ์ป่าให้เป็นป่าจริงๆ
ถ้าโครงการจริงจังกับการฟื้นฟูดูแลป่าเป็นทุนเดิม เงื่อนไขของศิลปินข้อนี้ย่อมมิใช่อุปสรรค
ความคิดและวิธีทำงานของอุบัติสัตย์ เป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่า การรับมือกับ ‘ทุนผูกขาด’ ที่อยากสนับสนุนศิลปิน น่าจะมีหลายวิธีที่ไกลกว่าการตัดสินใจว่าจะ ‘รับ’ หรือ ‘ไม่รับ’
ผู้เขียนไปถามความเห็นต่อกรณีนี้จาก อังกฤษ อัจฉริยโสภณ ศิลปินและภัณฑารักษ์ชื่อดัง
เขาเล่าให้ฟังว่า มีศิลปินคนหนึ่งที่ได้ยินมาว่าปฏิเสธที่จะขายงานให้กับโครงการ ‘ศิลป่า’ แต่ไม่ใช่เพราะโกรธคุณมาริษา เจ้าของโครงการ หรือไม่พอใจโครงการนี้ แต่เพราะคิดว่าถ้าขายงานให้ เขาจะรู้สึกไม่สบายใจกับตัวเอง
ศิลปินที่ว่านี้เป็นทั้งศิลปินและเอ็นจีโอ ใส่หมวกนักเคลื่อนไหววิพากษ์ทุนผูกขาดเต็มเวลา ดังนั้นจึงคิดเยอะ
ในความเห็นของอังกฤษ ศิลปินสามารถ “ใช้เงินเขา และวิจารณ์สิ่งที่เขาทำไปด้วยได้” หรือใช้เงินสร้างงานที่วิพากษ์ทุนผูกขาดไปในตัว
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ศิลปินไทยวันนี้แบ่งหยาบๆ ได้เป็นสองประเภท ประเภทแรกคือศิลปินที่เน้นสร้างงานแนว ‘ประดับตกแต่ง’ เน้นคุณค่าทางสุนทรียะ อยากมีส่วนสร้างโลกที่สวยงาม ศิลปินประเภทนี้ไม่ใช่ว่าไม่สนใจการเมืองหรือปัญหาสังคม แต่แค่คิดว่า “โลกมันแย่จะตายอยู่แล้ว ทำไมไม่สร้างรอยยิ้มบ้าง”
ประเภทที่สองคือศิลปินสายวิพากษ์สังคม/การเมือง ซึ่งอังกฤษมองว่า ด้วยจุดยืนแล้วศิลปินแนวนี้ก็ควรจะคิดให้รอบด้านเวลาคุยกับทุนผูกขาด รวมถึงเงื่อนไขในการสร้างและแสดงงาน
“เป็นหน้าที่ของศิลปินที่จะต้องตั้งคำถามว่า คนซื้อเอาศิลปะเราไปฟอกขาวหรือเปล่า” เขาทิ้งท้าย
ความคิดความเห็นของอุบัติสัตย์และอังกฤษ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงดราม่าเรื่องหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นเนืองๆ ในแวดวงเอ็นจีโอ ต่อคำถามที่ว่า เอ็นจีโอหรือคนทำงานภาคประชาสังคมควร ‘รับเงิน’ ทุนผูกขาดหรือไม่ ซึ่งความเห็นโดยมากก็จะแตกออกเป็นสองฝั่ง ระหว่าง ‘ไม่รับ’ (เสียงมักจะดังกว่าในโลกออนไลน์) กับ ‘รับ’ (เสียงมักจะเบา เดาว่าหลายคนคงไม่อยากโดน ‘ทัวร์ลง’ จากรุ่นพี่ที่เคารพจากอีกฝั่ง)
ผู้เขียนเห็นว่า คำตอบควรต้องเริ่มจากการทบทวนพันธกิจและเป้าหมายของเอ็นจีโอแต่ละองค์กร หรือแต่ละคนก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะกำหนดขอบเขตในการรับเงินจากภาคธุรกิจหรือไม่อย่างไร และถ้าคิดว่าจะรับ ควรกำหนดเงื่อนไขอย่างไรในทางที่จะไม่ขัดแย้งกับพันธกิจ และไม่โดนกล่าวหาไปช่วย ‘ฟอก’ บริษัท
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นเอ็นจีโอแนว ‘เขียวจ้า’ ที่เชื่อว่ากลไกตลาดและภาคธุรกิจเอกชนคือภาคส่วนสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ปรารถนา การรับเงินจากทุนผูกขาดหรือจับมือเป็นพันธมิตรในการทำงาน ก็อาจไม่ขัดหรือแย้งกับพันธกิจขององค์กรแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น เอ็นจีโอด้านสิทธิมนุษยชนหรือแรงงานอาจจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่เคยเจอปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง เพื่อยกระดับกลไกการคุ้มครองสิทธิของบริษัทให้ดีขึ้น หรือช่วยรับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติที่ไว้ใจเอ็นจีโอมากกว่าบริษัท
แต่ถ้าเป็นเอ็นจีโอแนว ‘เขียวเข้ม’ ที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทที่สร้างความเสียหายต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้รัฐกำกับภาคธุรกิจอย่างเข้มงวดมากขึ้น และรณรงค์ส่งเสริมการปฏิรูปเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบให้คำนึงถึงต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม – เอ็นจีโอแนวนี้ก็คงต้องคิดหนักว่าจะรับเงินจากทุนผูกขาดที่ตัวเองต่อต้านดีหรือไม่ ไม่ว่าจะรับเงินไปทำกิจกรรมอะไรก็ตาม เนื่องจากลำพังการรับเงินอาจส่งผลให้สาธารณชนเสื่อมความเชื่อถือในองค์กร และสุ่มเสี่ยงที่จะโดนประณามว่าองค์กรมีส่วน ‘ฟอกขาว’ หรือ ‘ฟอกเขียว’ ให้กับบริษัท (ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม)
เมื่อตัดสินใจแล้วเอ็นจีโอเองควรชัดเจนในจุดยืน เช่นเดียวกับที่ศิลปินทุกคนควรชัดเจนในจุดยืนต่อแนวทางสรรค์สร้างผลงานศิลปะ
เหนือสิ่งอื่นใด ลำพังประเด็นว่าจะรับเงินหรือไม่รับเงินจากภาคธุรกิจ ไม่ควรเป็นเหตุให้ศิลปินหรือเอ็นจีโอต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
เพราะ ‘วิธีรับมือ’ ก็มีได้มากมายดังตัวอย่างที่ยกไปข้างต้น
ในยุคที่ว่ากันว่าเป็น ‘ยุคทอง’ ของศิลปินไทยร่วมสมัย มีทั้งอาร์ตแกลอรี พิพิธภัณฑ์ และนิทรรศการใหม่ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เศรษฐีรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยนิยมสะสมงานศิลปะตามกระแส ‘quiet luxury’ ผู้เขียนเชื่อว่าความย้อนแย้งยอกย้อนต่างๆ ที่มากับโครงการขนาดใหญ่อย่าง ‘ศิลป่า’ ที่ใช้ทุนจากภาคธุรกิจ จะไม่ได้มีกรณีนี้กรณีเดียว
ขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่เหลือในสังคมว่า เราจะพยายามมองให้เห็นการแลกได้แลกเสียที่ซ่อนอยู่ใต้การตัดสินใจ และพร้อมจะถกเถียงกันอย่างเปิดเผยเรื่องความย้อนแย้งยอกย้อนเหล่านี้ หรือไม่ เพียงใด อย่างไร และเมื่อใด
เพราะการถกเถียงที่เปิดกว้างและหลากหลาย น่าจะมีส่วนแตกแขนงความคิด พัฒนาต่อยอดวงการศิลปะและการจัดแสดงศิลปะ ได้อย่างน่าสนใจและมีประโยชน์กว่าบทความพีอาร์อวยนายทุน.