Restrepo: สงครามทิ้งอะไรไว้ในใจมนุษย์

ทุกครั้งเมื่อเกิดสงคราม ณ มุมใดมุมหนึ่งของโลก หากมองด้วยสายตาของมนุษย์จากอีกซีกโลกหนึ่ง กิจกรรมที่ดำเนินไปนั้นดูจะเป็นความสูญเปล่า สิ้นเปลืองทรัพยากร สูญเสียชีวิตคน และไม่นำไปสู่ประโยชน์ในเชิงพัฒนามนุษยชาติ

ครั้นมองด้วยสายตาของมนุษย์ที่เผชิญสงครามอยู่เบื้องหน้าโดยตรงอาจต่างออกไป พวกเขาได้ยินเสียงระเบิด รับรู้แรงสั่นสะเทือนจากการโจมตี และสัมผัสความตายที่เกิดขึ้นตรงหน้า

แต่ที่สุดแล้วคนที่อยู่กับสงครามก็อาจไม่ได้เข้าใจเหตุผลของสงครามมากขึ้นแต่อย่างใด

หลายครั้งที่เกิดสงครามและความสูญเสียมหาศาล มนุษย์ปลอบโยนกันว่าอย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นบทเรียนไม่ให้เราก้าวพลาดซ้ำ … แต่เปล่าเลย เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ก็ให้กำเนิดเหตุผลใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นข้ออ้างการทำลายล้าง

มนุษย์ไม่เคยเรียนรู้ที่จะหยุดฆ่ากันเอง ซ้ำร้าย เราส่งเสริมและปลุกใจให้ส่งคนไปฆ่าคนอื่น

สำหรับ ‘มนุษย์’ ที่ถูกส่งให้ลงสนามรบในฐานะทหาร เมื่อมีสัญญาณคำสั่งปฏิบัติการ สิ่งที่พวกเขาทำคือต้องมุ่งฆาตกรรม ‘มนุษย์’ อีกคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่เคยโกรธแค้น และไม่รู้เหตุผลของการกระทำ

ทหารผ่านศึกจำนวนมากถูกสนามรบเปลี่ยนให้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง หลังต้องรับมือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความเลวร้ายหลากชนิดที่พวกเขาเป็นผู้กระทำและถูกกระทำ

ภาพความเป็นจริงของแนวหน้าในสนามรบนั้นถูกถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์สารคดีสัญชาติอเมริกัน Restrepo (2010) กำกับโดยทิม เฮเธอริงตัน (Tim Hetherington) ช่างภาพสารคดีชาวอังกฤษและเซบาสเตียน ยังเกอร์ (Sebastian Junger) นักข่าวชาวอเมริกัน

Restrepo ถ่ายทอดชีวิตของทหารอเมริกันหน่วยหนึ่งที่ถูกส่งไปทำสงครามในภาคตะวันออกของอัฟกานิสถานในปี 2007 เฮเธอริงตันและยังเกอร์ติดตามชีวิตกลุ่มเด็กหนุ่มอเมริกันที่เดินทางไปยังหุบเขา Korengal หนึ่งในสมรภูมิอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในสงครามที่สหรัฐอเมริกาบุกอัฟกานิสถานจนได้ชื่อว่า ‘หุบเขาแห่งความตาย’

ยังเกอร์เริ่มต้นโปรเจกต์นี้ด้วยไอเดียว่าต้องการเขียนเล่าเรื่องสงครามที่ Korengal ให้ Vanity Fair และจะตีพิมพ์รวมเล่มในที่สุด แต่หลังจากลงพื้นที่ครั้งแรกและถ่ายวิดีโอเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง เขาก็คิดว่าต้องการเพื่อนร่วมงานเพิ่มสำหรับงานวิดีโอ Vanity Fair จึงติดต่อเฮเธอริงตันให้มาร่วมโปรเจกต์ จากนั้นทั้งสองคนจึงสลับกันไปอัฟกานิสถานรวมสิบครั้งเพื่อบันทึกภาพจากแนวหน้าท่ามกลางอันตรายของสงคราม

สารคดีของพวกเขาเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาจากมุมมองของผู้ติดตามทหารสหรัฐฯ ความโดดเด่นคือการเล่าเรื่องชีวิตทหารในแนวหน้าอย่างใกล้ชิดที่สุด มองเห็นชีวิตประจำวันของทหารในสมรภูมิที่มีการยิงปะทะทุกวัน วันละ 4-5 ครั้ง ไม่มีช่วงพักร้อน ในทุกวันทหารในหน่วยจะตื่นขึ้นมาทำกิจวัตร ลาดตระเวน ยิงปะทะ จนพระอาทิตย์ตกดินจึงเข้าโหมดพักผ่อน นั่งพูดคุย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง ก่อนจะเข้านอนเพื่อเตรียมรับมือการกระหน่ำยิงวันต่อไป

‘เรสเตรโป (Restrepo)’ เป็นชื่อค่ายทหารเล็กๆ บนยอดเขาที่ทหารหน่วยนี้ขยับขยายไปครอบครองพื้นที่ โดยพวกเขาตั้งชื่อตาม ฮวน เซบาสเตียน เรสเตรโป (Juan Sebastián Restrepo) เสนารักษ์ประจำหน่วยที่เสียชีวิตในช่วงต้นภารกิจ เพื่อเป็นเกียรติในการทำหน้าที่ แต่สภาพความเป็นจริงค่ายนี้คือ ‘สลัม’ (ตามคำบอกเล่าของทหารในหน่วย) ที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวตามมีตามเกิด เพียงเพื่อให้มีที่ซุกหัวนอนในทุกค่ำคืนที่พวกเขารู้ตัวว่าอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ

“พวกเรารู้สึกว่าไม่ควรตั้งชื่อค่ายนี้ว่าเรสเตรโปเลย ค่ายนี้มันเป็นแค่ที่ห่วยๆ มันไม่สะท้อนสิ่งที่คนอย่างเรสเตรโปเป็นเลย” ทหารหนุ่มบางคนรำพึง

เรื่องเล่าของเฮเธอริงตันและยังเกอร์ไม่ได้มุ่งเล่าที่มาที่ไปของความขัดแย้งที่สหรัฐอเมริกาต้องส่งทหารไปทำสงครามกับตาลีบันในอัฟกานิสถาน ไม่ได้สะท้อนภาพการตัดสินใจของผู้นำประเทศ ไม่ได้พูดถึงผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมา แต่กลับจูงมือคนดูเข้าไปในสนามรบ นั่งมองภาพการทำสงครามแบบ ‘โคลสอัป’ ชนิดที่ถ่ายจากข้างหัวเข่าทหารอเมริกันที่กำลังยิงอาวุธหนักโต้ตอบศัตรูอยู่

ใกล้ชนิดที่ผู้ชมรับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนของการรัวยิงอาวุธหนักผ่านการสั่นของกล้องในมือช่างภาพ

ในความใกล้นั้นเองที่อนุญาตให้ผู้ชมได้สัมผัสความรู้สึกของทหารแนวหน้าที่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันโดยคิดว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีทหารคนใดป่าวประกาศว่าพวกเขากำลังทำเพื่อชาติหรือมากำจัดคนเลว เสียงที่สะท้อนออกมาคือพวกเขาถูกส่งมาทำภารกิจที่อาจแลกด้วยชีวิต ถูกโยนมาอยู่ในสมรภูมิอันตรายที่สุด และหลังจากนี้ไม่ว่าจะเอาชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่ อย่างน้อยครอบครัวจะภูมิใจในตัวเขา

ในแง่หนึ่ง Restrepo ถูกวิจารณ์ว่ามีลักษณะ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ และสนับสนุนสงคราม ด้วยรูปแบบการถ่ายทำที่จับจ้องไปที่ชีวิตทหารอเมริกันและความภูมิใจในการทำภารกิจ แน่นอนว่าเฮเธอริงตันและยังเกอร์ปฏิเสธว่าสารคดีที่พวกเขาทำไม่ได้ต้องการเชิดชูอะไร เขาเพียงแต่ถ่ายทอดสิ่งที่เป็นจริงๆ ของทหารแนวหน้าและไม่จำเป็นต้องทำให้สารคดีกลายเป็นแคมเปญรณรงค์โดยบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี ในอีกแง่หนึ่งนี่คือข้อจำกัดการทำงานที่พวกเขาติดตามหน่วยทหารอเมริกันไปถ่ายทำและไม่สามารถไปถ่ายแง่มุมอื่นได้เลย ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

หลักฐานที่แก้ต่างได้ว่าสารคดีนี้ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อปรากฏอยู่ในทุกฉากที่คนอัฟกานิสถานในพื้นที่มาปฏิสัมพันธ์กับทหารอเมริกัน เช่น ตอนที่ทหารอเมริกันนัดประชุมกับผู้สูงวัยในหมู่บ้านและชักชวนขอการสนับสนุนโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้านที่อเมริกาจะทำให้ ชายอัฟกานิสถานสูงวัยหนวดเคราครึ้มที่นั่งงอตัวอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมาถามกลับเพียงว่า “ทหารอเมริกันจะจัดการอย่างไรที่เคยมายิงคนบริสุทธิ์ในหมู่บ้านตาย?” คำตอบของคนขาวที่มาบุกรุกมีเพียงว่า “ขอให้ลืมเรื่องในอดีต”

อีกฉากสำคัญของเรื่องคือในคืนที่ทหารอเมริกันตัดสินใจเปิดฉากทิ้งระเบิดทางอากาศโดยเจาะจงเป้าหมายเป็นบ้านผู้ต้องสงสัยที่เชื่อว่าอยู่ในกลุ่มตาลีบัน เช้าวันถัดมาเมื่อเข้าไปสำรวจความเสียหาย ภาพที่จับได้มีเพียงศพเด็กและผู้หญิง ปราศจากน้ำตาของคนในบ้าน มีเพียงความเงียบงันและสายตาประณามความเลวร้ายจากเด็กหญิงชาวอัฟริกันผู้รอดชีวิตที่เพ่งจ้องมายังกล้อง

ในมุมคนทำสารคดี ผลงานชิ้นนี้สะท้อนการทำงานที่อันตรายอย่างยิ่ง ตลอดภารกิจกว่าหนึ่งปีของทหารหน่วยนี้มีช่างภาพสารคดีคอยติดตามเป็นส่วนหนึ่งและแบกรับความเสี่ยงพอๆ กัน

สารคดี Restrepo เผยแพร่ออกมาในปี 2010 เมื่อกองทัพอเมริกันถอนกำลังออกจากพื้นที่ Korengal เรียบร้อยแล้ว ผ่านไปหนึ่งปีเฮเธอริงตันเสียชีวิตระหว่างลงพื้นที่ทำงานในสงครามกลางเมืองลิเบียเมื่อปี 2011 หลังจากนั้นยังเกอร์จึงสร้างสารคดีภาคต่อ Korengal (2014) โดยรวบรวมฟุตเทจเรสเตรโปที่เหลือมาประกอบการสัมภาษณ์ทหารถึงประสบการณ์ที่พวกเขาเผชิญ

Korengal นี้เองที่กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสสภาพจิตใจของทหารที่ถูกส่งไปทำภารกิจแลกชีวิต โดยเฉพาะการได้มานั่งสัมภาษณ์ความในใจหลังจากจบภารกิจไปแล้ว ทหารบางคนสลัดภาพศพเพื่อนออกไปไม่ได้ ทหารบางคนจดจำความหวาดระแวงได้อย่างแม่นยำ หลายคนต้องเผชิญภาวะ PTSD จากสงคราม

ในห้วงที่ต้องจับปืนกราดยิงศัตรูที่แทบมองไม่เห็นตัวบนภูเขาลูกอื่น ทหารแนวหน้าไม่ได้คิดถึงชาติ ไม่ได้คิดถึงครอบครัว ไม่ได้คิดถึงความเลวของศัตรู พวกเขารู้ตัวเพียงแค่ว่าตัวเองถูกส่งมาที่นี่ พวกเขาไม่ได้ต้องการฆ่าศัตรู แต่คิดว่าศัตรูกำลังจะฆ่าเขา ถ้าไม่จับอาวุธสู้ก็ตาย สิ่งสำคัญที่สุดขณะนั้นคือการปกป้อง ‘พี่น้อง’ เพื่อนร่วมหน่วยที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาพร้อมกัน

ปราศจากอุดมการณ์ ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง ไร้ความเกลียดชังในตัวบุคคล พวกเขาแค่ต้องเอาตัวเองและเพื่อนให้รอดจากเรื่องราวตรงหน้า

“เรื่องของเพื่อนที่เราสูญเสียกระทบตัวผมหนักมาก หนักจนแทบทนไม่ไหว ผมคิดถึงภาพพวกเขาทรุดลงไป ตอนอยู่ที่นั่นบางทีผมก็ไม่แคร์อะไรเลยนะ ไม่แคร์ว่าจะถูกยิงหรือจะตายไหม มันเลวร้ายขนาดนั้น คนอื่นก็พยายามประคองให้ผมกลับมาตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลาหลายเดือนเลยแหละ” ทหารนายหนึ่งสะท้อน

ภายใต้เครื่องแบบทหาร พวกเขาคือเด็กหนุ่มอายุเพียง 19-20 ไม่เคยมีความฝันว่าอยากฆ่าคน ชีวิตแค่โยนให้เขาต้องไปเอาตัวรอดที่หุบเขานรกนั่น ทหารบางนายเล่าว่าเขาโตมาในครอบครัวฮิปปี้ ถูกเลี้ยงมาให้เล่นสนุกกับการทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ โดยแม่ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เขามีปืนของเล่น ไม่เคยฝันเรื่องการเป็นทหาร แต่กะพริบตาอีกทีเขาก็มาจับปืนยิงคนอยู่ที่อัฟกานิสถานแล้ว

คำสารภาพของอดีตทหารผ่านศึกอีกคนสะท้อนเบื้องลึกที่คนแบบเขาต้องรับมือ

“ผมเริ่มคิดว่าพระเจ้าเกลียดผม ผมไม่ได้อินเรื่องศาสนานะ แต่รู้สึกถึงความเกลียดนั้น เพราะผมทำบาปลงไป … นั่นคือความเลวร้ายของสงคราม คุณทำเรื่องเลวร้าย แล้วหลังจากนั้นคุณก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันไป มันเหมือนมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในร่างกายคุณ ทุกคนบอกว่าสิ่งที่คุณทำนั้นน่ายกย่องมาก คุณทำดีแล้ว คุณแค่ทำสิ่งที่ต้องทำ

“ผมเกลียดคอมเมนต์ประเภทว่า ‘คุณทำสิ่งที่ต้องทำ’ รู้ไหมที่จริงผมไม่ต้องทำก็ได้นะ นี่แหละที่มันรับมือยาก ที่จริงผมไม่ต้องทำห่าอะไรก็ได้ ผมไม่ต้องไปเป็นทหารก็ได้ ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย คำพูดที่บอกว่า ‘ทำสิ่งที่ต้องทำ’ มันทำผมจะเป็นบ้า นี่คือคำที่พระเจ้าจะพูดเมื่อเจอหน้าผมเหรอ ‘เธอทำสิ่งที่ต้องทำ เยี่ยมมาก’ ตบไหล่แล้วบอกว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่สวรรค์’ อย่างนั้นเหรอ ผมว่าไม่ใช่นะ”

เมื่อกลับสู่มาตุภูมิ ทหารหลายนายในหน่วยนี้ได้รับเหรียญกล้าหาญ ขณะที่สงครามในอัฟกานิสถานยืดเยื้ออยู่สองทศวรรษจนสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนทหารออกในปี 2021 ทิ้งไว้เพียงคำถามต่อความสูญเปล่าของสงครามครั้งนี้ที่ทำคนตายมหาศาล

สงครามแต่ละครั้งสะท้อนความผิดพลาดมากมายที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้ ทั้งในแง่นโยบายทางการเมือง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และจิตใจของมนุษย์ที่ต้องรับมือความสูญเสียกับมนุษย์ที่ต้องจดจำความเลวร้ายที่ตัวเองทำในสงคราม

คงเป็นเรื่องไม่ยากนักเมื่อผู้คนถูกปลุกความเกลียดชังแล้วจะส่งเสียงเชียร์ให้มีการเข่นฆ่าคนในประเทศอื่น แต่สำหรับทหารผ่านศึกที่เรสเตรโป พวกเขาเผชิญทั้งนรกในสมรภูมิและนรกในจิตใจที่จะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save