อย่าไว้ใจลูกหลานพระยาละแวก? ชาตินิยมในเรื่องเล่ากลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับ นลิน สินธุประมา

นับตั้งแต่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา จนถึงตอนนี้บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ยังคงคุกรุ่น ไม่ว่าในแง่ของการคุมเชิงด้านการทหารในพื้นที่ หรือแม้แต่มวลความรู้สึกของคนในชาติ มองเฉพาะประเทศไทย ห้วงเวลาที่ผ่านมาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระแสชาตินิยมในสังคมเพิ่มขึ้นสูงจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง และบางส่วนก็นำไปสู่ปรากฏการณ์อย่างอินฟลูเอนเซอร์ออกมาสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวกัมพูชาในไทย ความหวาดกลัวของแรงงานกัมพูชา หรือแม้แต่การใช้ถ้อยคำแสดงความเกลียดชังในโลกอินเทอร์เน็ตมากมาย

สำหรับอย่างหลัง จะว่าเป็นผลพวงโกรธเกรี้ยวต่อการโจมตีผู้บริสุทธิ์ก็ย่อมได้ กระนั้นก็น่าสังเกตว่าคนจำนวนไม่น้อยก่นด่าว่าคนกัมพูชาว่าเป็นพวก ‘ไว้ใจไม่ได้’ ‘ทรยศ’ ‘ฉวยโอกาส’ รวมถึงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พระยาละแวก’ -กษัตริย์เขมรที่เปรียบดังภาพแทน ‘จอมแว้งกัด’ บนหน้าประวัติศาสตร์ไทยยุคสมัยสมเด็จพระนเรศวร- และในเวลาเดียวกัน ตำนานเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์อย่างบรรพกษัตริย์เขมรเป็นตะกวด เรื่องเล่าพระเจ้าแตงหวานและคำสาปพระเจ้าชัยวรมัน ก็กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เช่นเดียวกับคำถามที่ว่า คนเขมรในปัจจุบันเป็นกลุ่มเดียวกับเจ้าของอารยธรรมขอมที่ยิ่งใหญ่ในอดีตหรือไม่

ทำไมคนไทยถึงมองคนกัมพูชาเป็นคนไว้ใจไม่ได้? ใช่หรือไม่ว่าเราถูกบ่มเพาะโดยประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักแบบนิยมกษัตริย์? หากแต่ละชาติล้วนมีเรื่องเล่าเป็นของตนเอง แล้วคนกัมพูชาล่ะ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไทยแบบใด?

วันโอวัน นำคำถามเหล่านี้ไปชวนคุยกับ นลิน สินธุประมา นักมานุษยวิทยาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก ในรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา จากความสนใจด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของกัมพูชา เธอเชื่อมโยงให้เห็นภาพความขัดแย้งด้านมรดกวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศที่ค้างคามาเนิ่นนานตั้งแต่สมาทานแนวคิดสร้างรัฐชาติแบบตะวันตก กระแสชาตินิยมที่ปะทุเป็นระลอก และอำนาจของเรื่องเล่าซึ่งทำงานต่อความคิดคนในปัจจุบันท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น




ทราบมาว่าคุณเป็นนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม ตำนานเรื่องเล่าของกัมพูชา แง่มุมไหนที่คุณสนใจเป็นพิเศษ

ประเด็นที่เราสนใจเกี่ยวกับกัมพูชา คือเรื่องมรดกวัฒนธรรมกับการสร้างความรู้สึกชาตินิยม เราสนใจศิลปินชาวกัมพูชาที่ทํางานศิลปะ โดยนำข้อมูลเรื่องเล่าหรือมรดกวัฒนธรรมมาใช้ ซึ่งบางครั้งก็เป็นการเสริมความรู้สึกชาตินิยมบางอย่าง ทำงานควบคู่ไปกับรัฐ แต่ขณะเดียวกัน เราก็เห็นความพยายามของศิลปินกัมพูชารุ่นใหม่ที่ต้องการหลุดออกจากกรอบเดิมๆ คือถ้าพูดถึงวัฒนธรรมกัมพูชา คนมักจะนึกถึงอังกอร์วัด (Angkor Wat) แต่ฉันก็อยากมีอะไรใหม่ๆ เป็นของตัวเองเหมือนกัน หรือพยายามใช้ท่ารำ เล่นเครื่องดนตรีในแบบใหม่ๆ มากขึ้น

ความพยายามตรงนี้ก็คล้ายกับสิ่งที่ศิลปินไทยรุ่นใหม่ทำกันอยู่ และเราสนใจเรื่องนี้เพราะคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกัมพูชา มรดกวัฒนธรรมและความเป็นชาตินิยมกัมพูชา มีความใกล้เคียงกับไทยมาก เช่น ศิลปินไทยอาจรู้สึกว่านาฏศิลป์ไทยแตะไม่ได้เลย ตรงนี้ศิลปินกัมพูชาก็รู้สึกคล้ายกัน ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีประวัติศาสตร์เฉพาะของตัวเอง แต่ในภาพรวมมีลักษณะหลายอย่าง เช่น บริบทการเกิดขึ้นของชาตินิยมและเครื่องมือที่รัฐใช้สร้างความเป็นชาติคล้ายกัน เป็นเหมือนแฝดคนละฝา ทำให้ศิลปินที่ทำงานกับข้อมูลวัฒนธรรมอาจเจอสถานการณ์คล้ายๆ กันได้


ต้นกำเนิดแนวคิดชาตินิยมและเครื่องมือสร้างชาติที่คุณบอกว่าไทยและกัมพูชาใช้คล้ายกัน มีความใกล้เคียงกันอย่างไร พอจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นได้ไหม  

ชาตินิยมไทยกับกัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน คือประมาณกลางศตวรรษที่ 20 ในไทยคือช่วงรัชกาลที่ 4-6 ส่วนกัมพูชาเป็นช่วงปลายยุคอาณานิคมจนถึงได้รับเอกราช เราเจอเครื่องมือหลายอย่างที่คล้ายกัน เช่น ไทยมีการสร้างสโลแกน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในช่วงรัชกาลที่ 6 กัมพูชาก็ใช้สโลแกนเดียวกันเลยในยุคหนึ่ง แต่ด้วยความที่ประวัติศาสตร์ของกัมพูชาต่างจากเรา ในยุคนี้เราเลยอาจจะไม่ได้ยินสโลแกนนั้นในกัมพูชามากเท่าในไทยที่ความคิดเรื่องนี้ยังเข้มแข็งอยู่ อีกอย่างคือการใช้มรดกทางวัฒนธรรม เราจะเห็นว่าคนไทยและกัมพูชาใช้การร่ายรำ ดนตรี หรือศิลปะต่างๆ มาเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ รวมถึงการใช้เรื่องเส้นเขตแดนสร้างความเป็นชาติ

การสร้างความเป็นชาติของทั้งสองประเทศมีจุดร่วมกันคือได้รับอิทธิพลจากวิธีคิดของตะวันตก นักวิชาการอย่างอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล คงได้พูดเรื่องการสร้างรัฐชาติจากแผนที่ไว้เยอะแล้ว ซึ่งไม่ได้หมายความก่อนหน้าที่แนวคิดรัฐชาติแบบชาติตะวันตกจะเข้ามาไม่มีการแบ่งแยกไทย-กัมพูชา ทุกคนมีสำนึกว่านั่นคนเขมร นี่คนไทยเหมือนกัน แต่วิธีการปกครอง การเมืองในสมัยก่อนทำงานต่างกันกับรัฐชาติสมัยใหม่เยอะ รัฐชาติสมัยใหม่มันมาพร้อมกับการขีดแบ่งเส้นพรมแดน

ปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาที่ผ่านมาจึงมีสองประเด็นที่ถูกดึงกลับมาพูดซ้ำๆ คือหนึ่ง มรดกทางวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นแบบจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ และสอง เรื่องพรมแดนที่อยู่ติดกัน ซึ่งตกลงกันไม่ได้ว่าจะยึดแผนที่ฉบับไหน สำหรับเรา สิ่งเหล่านี้เป็นมรดกความพยายามสร้างชาติของสองประเทศโดยใช้โมเดลรัฐชาติแบบตะวันตก


เกี่ยวไหมว่าเมื่อเครื่องมือหรือวิธีการสร้างชาติใกล้เคียงกัน จึงเป็นต้นเหตุหนึ่งของการกระทบกระทั่งระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งในเรื่องวัฒนธรรมและเรื่องเส้นพรมแดนมาโดยตลอด

เรามองว่าวิธีการคล้ายกันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือแนวคิดในการสร้างชาติของตะวันตกต่างหาก อย่างเรื่องชาตินิยมเชิงวัฒนธรรม (cultural nationalism) เป็นแนวคิดว่าด้วยหนึ่งชาติ หนึ่งภาษา หนึ่งวัฒนธรรม (One Nation, One Language, One Culture) หากมองย้อนกลับไปยังต้นรากความคิดนี้ ประมาณศตวรรษที่ 17-18 เป็นช่วงเวลาที่คนในยุโรปรู้สึกว่าความเป็นโลกสมัยใหม่ทำให้เราตัดขาดกับโลกทางจิตวิญญาณ ตัดขาดจากอดีตของเรา เกิดเป็นความ Modern Nostalgia หรือการโหยหาคิดถึงอดีต เพราะอยู่ในสังคมสมัยใหม่แล้วไม่สามารถเชื่อมโยงกับอดีตได้ ตอนนั้นจึงเริ่มเกิดกระแสการศึกษาคติชน (folklore) ขึ้นมา

ความพยายามกลับไปเชื่อมโยงอดีตกับชนชาติของตัวเองฟังดูไม่ได้เป็นเรื่องแย่ แต่มันกลับมาพร้อมความโรแมนติไซส์  (romanticize) หลายๆ อย่าง หลายคนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นรูปแบบอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บรรดาประเพณี สิ่งที่ตกทอดสืบกันต่อมา (tradition) ถูกความเป็นสมัยใหม่ทำให้แปดเปื้อน แม้นักวิชาการสายคติชนจำนวนหนึ่งจะบอกว่าจริงๆ แล้วประเพณีเป็นสิ่งที่เพิ่งถูกสร้างเมื่อศตวรรษที่ 18-19 นี้เอง คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับโลกสมัยใหม่ ให้คนในโลกสมัยใหม่ได้รู้สึกหวนย้อนกลับไป แต่ดินแดนอาณานิคมก็ยังตกเป็นเป้าของการโรแมนติไซส์ประเพณีมากที่สุด พอเจ้าอาณานิคมไปเห็นวิถีชีวิตที่ต่างจากตนเอง ด้วยความเป็นคนขาว ก็จะมองว่าตัวเองเหนือกว่า สังคมในประเทศอาณานิคมด้อยกว่า แต่เป็นความด้อยกว่าที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่า ไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยความเจริญของโลกสมัยใหม่

พอโรแมนติไซส์สิ่งเหล่านี้มากเข้า ก็เกิดความกังวลว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องแบบนี้จะหายไป เราต้องรักษามันไว้ กลายเป็นแนวคิดที่มาพร้อมการสร้างชาตินิยมเชิงวัฒนธรรม คิดว่าชาติต้องต้องมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (cultural identity) หรือก็คืออัตลักษณ์ที่ยึดโยงกับตัวตนของเราในอดีต ตามมาด้วยความคิดเรื่องความจริงแท้ (authenticity) ว่าสิ่งใด authentic ที่สุด

ในยุคที่เจ้าอาณานิคมเข้ามาทําอะไรอยู่มากมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราก็รับแนวคิดนี้มาด้วย และทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์หลายอย่าง เช่น พอจะรำหรือเล่นดนตรีบางประเภทในรูปแบบใหม่ๆ แล้วมีคนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะมันจะไม่ใช่ของแท้นะ ไม่ authentic อย่างกัมพูชานี่เห็นชัดมาก เพราะตำนานหลายเรื่องที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกัมพูชาทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส หลายอย่างเป็นฝีมือของคนฝรั่งเศสที่เก็บเรื่องเล่าไว้ แนวคิดชาตินิยมวัฒนธรรมจึงเติบโตขึ้นมา

นอกจากนี้ มันยังเชื่อมโยงกับความขัดแย้งของไทย-กัมพูชาด้วย ปัญหาคือไทยกับกัมพูชามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันมาตลอด คำว่า ‘แลกเปลี่ยน’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ารักกันดีตลอดนะคะ การแลกเปลี่ยนนั้นบางทีก็มีความรุนแรงอยู่ด้วย มีสงคราม การกวาดต้อนคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีการแต่งงาน พูดง่ายๆ ว่าคนไทยกับคนเขมรมีการติดต่อกันมานาน ไม่ว่าจะติดต่อกันด้วยความสัมพันธ์แบบไหน วัฒนธรรมทุกอย่าง ทั้งการรํา ดนตรี เสื้อผ้า ฯลฯ จึงรับส่งกันไปมา แต่เมื่อมาถึงจุดที่ว่ารัฐชาติสมัยใหม่ต้องมีแก่นวัฒนธรรม (cultural core) ของตัวเอง การจะเคลมว่าใครจริงแท้ที่สุด ดั้งเดิมที่สุด จึงเหมือนเราแย่งเคลมสิ่งเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายก็ยากจะบอกได้ชัดเจนว่าเป็นของใครกันแน่ เพราะมันเป็นวัฒนธรรมที่แบ่งปันร่วมกันในพื้นที่นี้


ช่วงที่ผ่านมา เรามักเห็นคนกัมพูชาในโลกโซเชียลฯ พยายามอ้างว่าวัฒนธรรมหลายอย่างในไทยเป็นของตนเอง ด้านหนึ่ง เราเข้าใจได้ว่าบางอย่างเป็นวัฒนธรรมที่มีร่วมกันในภูมิภาค แต่ขณะเดียวกัน ก็ชวนให้สงสัยว่าแล้วทำไมไทยจึงมีความขัดแย้งตรงนี้กับกัมพูชามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ

สำหรับประเด็นที่ว่าทำไมการแย่งชิงวัฒนธรรมจึงเป็นปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา มากกว่าไทยกับประเทศอื่น เราคิดว่าถ้าเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักจะเป็นประเด็นมาก เพราะเราได้รับอิทธิพลจากกัมพูชามาเยอะด้วย หากเป็นลาว พม่า หรือล้านนา ไทยได้รับอิทธิพลเยอะเหมือนกันก็จริง แต่มันไม่ได้มีอิทธิพลชัดเจนในวัฒนธรรมแบบราชสำนัก

ยกตัวอย่างราชสำนักอยุธยาในช่วงแรกมีความคล้ายคลึงกับเขมรมากเลย โดยเฉพาะในแง่วิธีการปกครอง เพราะอาณาจักรเขมรเคยรุ่งเรืองมากมาก่อน พอสยามหรืออยุธยาเรืองอำนาจขึ้นมา ก็เอาวิธีการปกครองของกัมพูชามาปรับใช้ และถ้าไปอ่านวรรณคดีช่วงอยุธยาตอนต้น ตอนที่เราไม่เคยเรียนภาษาเขมร จะรู้สึกว่าอ่านยากมาก ต้องเปิดพจนานุกรมทุกคำเลย จนเราไปเรียนภาษาเขมรแล้วกลับมาอ่านอีกรอบ จึงพบว่า อ๋อ เพราะมันเขียนด้วยภาษาไทย 2 คํา ภาษาเขมร 3 คํา อะไรแบบนี้

เราสังเกตว่าสิ่งที่เขาทะเลาะกันจะเป็นวัฒนธรรมไทยที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักในหลายๆ จุด เช่นเราไม่เคยเห็นคนทะเลาะกันเรื่อง ‘กันตรึม’ หรือเพลงพื้นบ้านแบบอีสานใต้ และเป็นที่นิยมในพื้นที่แถบพระตะบอง เสียมราฐของกัมพูชา คนไทยชอบ คนกัมพูชาก็ชอบ และเอาไปใช้เหมือนกัน แต่คนไม่เคยทะเลาะกันแย่งกันตรึม เพราะมันไม่ใช่วัฒนธรรมประจำชาติ

เรื่องที่น่าสนใจมากเมื่อพูดถึงมรดกทางวัฒนธรรม คือยูเนสโกได้ตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีตของนักวิชาการยุโรปมานานแล้วว่า วัฒนธรรมไม่สามารถแบ่งได้ด้วยรัฐชาติ มันมีสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมร่วมอยู่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ยูเนสโกอนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมได้ และกัมพูชาก็เคยไปขึ้นทะเบียนมรดกร่วมกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ขึ้นทะเบียนการชักเย่อร่วมกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นพิธีกรรมแบบหนึ่ง แต่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนร่วมกับไทย ตอนขึ้นทะเบียนโขน ไทยก็ขึ้นทะเบียนของไทย กัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนของกัมพูชา ปีใกล้ๆ กัน ลาวก็ขึ้นทะเบียนแคน ซึ่งจริงๆ ไทยก็มีแคนนะ แต่เราไม่เห็นว่าใครจะไปทะเลาะกับลาวเรื่องเอาแคนไปเป็นของตัวเอง เพราะแคนไม่ใช่วัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับราชสำนัก

จากมุมมองของเรา วัฒนธรรมที่มักตกเป็นประเด็นคือวัฒนธรรมราชสำนักหรือยึดโยงกับราชสำนักในบางแบบ อย่างมวยไทย ก็มีความพยายามสร้างตำนานนายขนมต้มขึ้นมา ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าโดยตรง แต่ก็เป็นทหาร รับใช้ชนชั้นนำ

ถามว่าทำไมความขัดแย้งด้านวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นเฉพาะไทยและกัมพูชา เราไม่ค่อยกล้าฟันธง แต่คิดว่ามันคงเป็นเพราะกลุ่มวัฒนธรรมที่เลือกมาใช้ยึดโยงกับอัตลักษณ์ชาติคือกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกัน ทั้งนี้ ก็อาจมีสาเหตุอื่น เช่น ประเด็นใหม่ที่เราเพิ่งเห็นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือการตีกันเรื่องสงกรานต์ว่าจริงๆ เป็นของใครกันแน่ ทำไมคนกัมพูชาสาดน้ำเหมือนของไทย เราไม่เคยเห็นคนตีกันเรื่องนี้มาก่อน และเพิ่งค้นพบว่า อ้อ ไทยก็เพิ่งเอาสงกรานต์ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปเมื่อไม่นานนี้ สงกรานต์อาจไม่ได้ยึดโยงกับวัฒนธรรมราชสำนักโดยตรง แต่มันยึดโยงกับภาพลักษณ์ของไทยในเวทีนานาชาติ เป็นสิ่งที่ไทยนํามาใช้เป็นหนึ่งในหัวใจของ ‘ความเป็นไทย’ พอมีคนมาแตะต้อง จึงเกิดประเด็นว่าทำไมกัมพูชามาทำตามเรา กลับกัน ถ้าเป็นวัฒนธรรมกระแสรอง วัฒนธรรมท้องถิ่น ก็คงไม่เป็นประเด็นเท่า


จากความขัดแย้งบริเวณชายแดน สิ่งที่ตามมาคือเราได้เห็นกระแสคนออกมาพูดว่า ‘ขอมไม่ใช่เขมร’ หรือพยายามสื่อสารกลายๆ ว่าคนเขมรในปัจจุบันไม่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมขอมที่ยิ่งใหญ่ในอดีต คุณสังเกตเห็นอะไรจากปรากฏการณ์นี้บ้าง

ตอนเราเห็น เราตกใจพอสมควร เพราะเรื่องนี้เคยฮิตมากอยู่ช่วงหนึ่ง เท่าที่เคยอ่านในวารสารโบราณคดี มีคนพยายามพูดว่าขอมกับเขมรเป็นคนละพวกกัน เป็นกระแสที่เกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 หรือช่วงที่การสร้างอัตลักษณ์ชาติ แนวคิดชาตินิยมกำลังเข้มข้น แต่หลังจากนั้นก็มีการหักล้าง (debunk) มากมายจากนักวิชาการต่างประเทศ รวมถึงนักวิชาการไทย อย่างคนที่อ่านจารึกเขมรเช่นอาจารย์กังวล คัชฌิมา ก็อธิบายไว้หลายครั้งว่าขอมเป็นคําที่คนสยามเคยใช้เรียกคนเขมร

ตอนที่เราเห็นกระแสนี้กลับมา มันกลับมาในรูปแบบที่มีคนบอกต่อกันว่าคนมักจะเข้าใจผิดว่าขอมกับเขมรคือคนกลุ่มเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ซึ่งเป็นการพูดราวกับว่ามันเป็นข้อเท็จจริง (state as if it is fact) ลักษณะการสื่อสารแบบนี้ เราเห็นเยอะมากในสงครามข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น สิ่งที่น่ากลัวของปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่คนพูดไม่ให้แหล่งที่มาของข้อมูล แต่รวมถึงการที่คนเชื่อเรื่องจริงที่ผสมความคิดเห็น ผสมอคติของคนพูดเข้าไป เช่น คนยกเรื่องพระเจ้าแตงหวานมาพูด บอกว่าเป็นสามัญชนที่ก่อกบฏแล้วยึดอำนาจมา คนกัมพูชาในปัจจุบันจึงไม่ใช่กลุ่มคนเดียวกันกับกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ในอดีตแล้ว หรือบอกว่ายุคเขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆ่าปัญญาชนไปหมด ฉะนั้นปัจจุบัน กัมพูชาแทบไม่มีปัญญาชนเหลืออยู่

ข้อมูลบางอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เช่น ยุคเขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริง ปัญญาชนตกเป็นเป้าหมายในการสังหารจริง แต่มันไม่ได้นำมาสู่ข้อสรุปว่าเพราะฉะนั้นทุกวันนี้ กัมพูชาไม่มีปัญญาชน ทุกวันนี้เขาก็ฟื้นฟูกลับมา มีปัญญาชนคนรุ่นใหม่เกิดขึ้น นี่เหมือนกับว่าคนพูดมีธงบางอย่างในใจ แล้วใช้ข้อเท็จจริงบางเรื่องมาสนับสนุน โดยการบิดความหมายหรือตีความเหตุการณ์ให้ตรงตามอคติของตัวเอง มันจึงน่ากลัวว่าจะมีคนคล้อยตาม เพราะส่วนหนึ่งของข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง


หนึ่งในคนที่ออกมานำเสนอเรื่องเล่าเหล่านี้คือกองทัพไทย ซึ่งในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง หลายคนก็อาจมองว่าเป็นการให้ความรู้ หรือเป็นยุทธวิธีการสู้รบทางข้อมูลข่าวสารแบบหนึ่ง แต่ไม่มากก็น้อย ผลที่ตามมาคือมีคนใช้เรื่องเล่าดังกล่าวโจมตีคนกัมพูชาด้วย แบบนี้ขอบเขตในการสร้างเรื่องเล่าเพื่อต่อสู้กับกระแสข้อมูลจากฝั่งกัมพูชาควรอยู่ตรงไหน

เรื่องนี้พูดยากมากเลย เวลาพูดเรื่องสงครามข้อมูลข่าวสาร เรามักจะมองว่าวิธีที่จะรู้เท่าทันคือผู้รับสารต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (fact check) แต่ตอนนี้เราคิดว่าแค่ fact check ก็อาจจะไม่พอ เพราะข้อมูลหลายเรื่องที่ถูกปล่อยออกมา มีลักษณะเป็นเรื่องเล่า (narrative) หนึ่งเรื่องที่สร้างขึ้นจากสิ่งที่มีนิยามลื่นไหล สมมติมีนักวิชาการท่านหนึ่งอ้างว่าจริงๆ แล้วกลุ่มคนที่สร้างนครวัดเป็นคนละกลุ่มกับคนกัมพูชาที่พนมเปญในปัจจุบัน เราไม่ทราบเลยว่านิยามของคนกลุ่มที่ว่าคืออะไร สิ่งที่ใช้แยกคนสองกลุ่มคืออะไร ในทางวิชาการ ถ้าถกเถียงกันโดยกำหนดนิยามให้ชัดเจน คำตอบก็จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าอยากสร้าง narrative แบบไหนออกมา

ในมุมของนักมานุษยวิทยาหรือนักคติชน สิ่งที่เราสนใจ คือเรื่องเล่านั้นใครเป็นคนเล่า และเล่าเพราะอะไร กรณีของกองทัพ ชัดเจนว่ามีกองทัพเป็นคนเล่า และการเล่าสิ่งนี้ก็ช่วยเพิ่มกระแสชาตินิยม ในภาวะการสู้รบด้วยข้อมูลข่าวสาร บางทีมันไม่ได้สู้กันว่าข้อมูลใครถูกต้องมากกว่า แต่สู้กันว่าข้อมูลใครทำให้ ‘รู้สึก’ มากกว่า  เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงอาจไม่สำคัญ เราอ่านข้อมูลบางอย่างแล้วรู้สึกว่าตีความกันได้แปลกมาก นำไปถึงข้อสรุปนั้นได้ยังไง แต่มันดึงอารมณ์คนได้ดีจริงๆ

สิ่งที่เราอาจจะต้องคิดมากขึ้นในฐานะคนอ่านข่าว นอกจากการ fact check ว่าจริงไหม เราอาจจะต้องถอยออกมาอีกหนึ่งก้าว ตั้งคำถามว่าใครปล่อยข้อมูล ปล่อยออกมาทำไม ปล่อยออกมาแล้วสร้างความรู้สึกอะไร เราต้องรู้เท่าทันเป้าหมายของ narrative นี้ และต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง  


เท่าที่สังเกต ดูเหมือนกระแสที่ชาวกัมพูชาอ้างว่าเป็นเจ้าของวัฒนธรรมในโลกโซเชียลฯ จะเพิ่งเกิดขึ้นและเกิดบ่อยครั้งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง คุณพอจะเห็นกระแสชาตินิยมที่ก่อตัวขึ้นในฝั่งกัมพูชาช่วงที่ผ่านมาบ้างไหม

ส่วนตัวรู้สึกว่ามันอยู่มาตลอดนะคะ แต่บางเรื่องก็อาจจะเป็นตัวเราเองที่เพิ่งมาเห็น และเราคิดว่ากระแสชาตินิยมไม่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เพิ่มขึ้นเป็นช่วงๆ เพิ่มแล้วก็ลด ลดแล้วก็เพิ่ม ถ้าเป็นนักรัฐศาสตร์ หลายคนจะบอกว่าการจุดประเด็นชาตินิยมมักสอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งเราก็เห็นด้วยว่ามีความเป็นไปได้สูง

ในฐานะคนที่ตามเรื่องนี้ เราเห็นว่าจริงๆ มีประเด็นอยู่ตลอด ทั้งไทยและกัมพูชามีเพจ มีคนที่ผลิตเรื่องเล่าแบบชาตินิยมมาตลอด เพียงแต่มันอาจจะไม่ไวรัล หรือเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่ในเวลาปกติ คนอื่นจะมองว่าเป็นพวกชาตินิยมแบบขวาจัด ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่พอเกิดการปะทะ เกิดความขัดแย้ง เรื่องเล่าของพวกเขาก็เริ่มมีคนเห็นด้วย หยิบยกมาพูดถึงมากขึ้น


นอกจากการแย่งชิงความเป็นเจ้าของวัฒนธรรมที่ส่งผลถึงภาพจำคนกัมพูชาในสายตาคนไทย ยังมีคนไทยส่วนหนึ่งมองว่าคนกัมพูชาไว้ใจไม่ได้ เป็นพวกคิดคดทรยศ สะท้อนจากการใช้คำเหล่านี้แสดงความเกลียดชังบนโลกอินเทอร์เน็ตมากมายในตอนที่เกิดการปะทะบริเวณชายแดน คุณพอทราบไหมว่าภาพจำดังกล่าวมีที่มาจากอะไร

เหตุที่คนไทยมองคนเขมรว่าเป็นพวกคิดคดทรยศ อาจจะต้องย้อนกลับไปดูว่าคนที่พูดมักเป็นชนชั้นปกครอง ตั้งแต่ก่อนที่กัมพูชาจะตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส กษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา หรือกระทั่งยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4-5 ก็มีข้อเขียนที่พูดประมาณว่าเจ้าเขมรทรยศไทย แต่หากมองอีกด้าน นั่นอาจจะเป็นวิธีคานอำนาจการเมืองระหว่างประเทศของกัมพูชาก็ได้

ตัวอย่างเช่น หากมองบริบทในศตวรรษที่ 14-19 เป็นช่วงที่กัมพูชาเสื่อมอำนาจลง อยุธยาและเวียดนาม (ในปัจจุบัน) กำลังโตขึ้นมา กัมพูชาเหมือนถูกหนีบอยู่ระหว่างสองประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บางทีกัมพูชาก็ต้องไปพึ่งเวียดนามเพื่องัดกับไทย หรือมาพึ่งไทยเพื่องัดกับเวียดนาม ตรงนี้คนสยามในยุคนั้นก็อาจมองว่ากัมพูชาเป็นนกสองหัว เพราะอย่าลืมว่าสยามเองก็กำลังพยายามทำตัวเป็นเจ้าอาณานิคมในภูมิภาค พยายามขยายอำนาจ ต้องการให้อีกฝ่ายมาอยู่ใต้อำนาจ พอไม่เป็นไปตามนั้นก็อาจบอกว่ากัมพูชาคิดคด แต่ในมุมมองของราชวงศ์กัมพูชา ก็คงจะบอกว่าตนเองพยายามรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศ เป็นความพยายามอยู่รอดท่ามกลางประเทศที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตัวเองอ่อนแอลง


คำที่เราพบบ่อยคือการเรียกคนกัมพูชาว่า ‘พระยาละแวก’ ซึ่งก็น่าสนใจว่าเป็นการหยิบยกตัวละครในประวัติศาสตร์สมัยพระนเรศวรมาใช้ มองอีกแง่หนึ่งคือประวัติศาสตร์กระแสหลักของไทยที่มีลักษณะแบบกษัตริย์นิยม หล่อหลอมให้คนเกิดภาพจำด้านลบต่อกัมพูชาด้วยหรือเปล่า 

เห็นด้วยค่ะ การสร้างประวัติศาสตร์นิพนธ์ขึ้นอยู่กับข้อมูลปฐมภูมิ (primary source) ที่นำมาใช้ เรามองว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ในไทยอิงข้อมูลจากพงศาวดาร ตํานานเยอะ ซึ่งพงศาวดารส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกษัตริย์ และประวัติศาสตร์กระแสหลักในไทยเป็นประวัติศาสตร์การปกครอง แบ่งยุคสมัยว่ากษัตริย์คนไหนเกิดอะไร หรือเป็นประวัติศาสตร์สงคราม ดังนั้น เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของเราจึงมีลักษณะการสร้างความเป็นเขา ความเป็นเราอยู่


พระยาละแวกมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ของคนกัมพูชาไหม

มีค่ะ อันที่จริง คนไทยมักด่ากัมพูชาว่าคิดคด ไว้ใจไม่ได้ คนกัมพูชาเองก็มองว่าคนไทยเป็นโจร เป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ ซึ่งเรื่องนี้มีที่มาจากประวัติศาสตร์ย้อนไปได้ถึงสมัยปลายนครวัด ศตวรรษที่ 14-15 เกี่ยวกับศึกพระยาละแวกกับพระนเรศวร

ในฝั่งกัมพูชา พระยาละแวกเป็นตัวละครในเรื่องเล่าที่นิยมมาก คือตำนานพระโค-พระแก้ว เป็นตำนานของผู้มีบุญ เรื่องราวทั้งหมดจริงๆ ค่อนข้างยาว แต่ใจความหลักๆ คือกษัตริย์เจ้ากรุงเสียม (สยาม) อยากได้พระโค พระแก้ว จึงมาท้าประลองพระยาละแวก กษัตริย์ปกครองเมืองละแวกของกัมพูชาขณะนั้น ในเรื่องเล่าพระเจ้าสยามนี่ก็ขี้โกง เล่นไม่ซื่อหลายอย่างให้ตนเองชนะการประลองแล้วได้พระโค พระแก้วไป แต่พระโค พระแก้วก็พยายามหนีไปแอบในเมืองละแวก ซึ่งตอนนั้นมีกำแพงเป็นป่าไผ่ กองทัพสยามจึงออกอุบายโยนเงินพดด้วงเข้าไปในป่าไผ่ ทำให้คนกัมพูชาเกิดความโลภ ออกมาตัดป่าไผ่จนเหี้ยน ทำให้กองทัพสยามบุกเขามาชิงพระโค พระแก้วไปได้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ที่เมืองละแวกล่ม เพราะถูกพระนเรศวรยกทัพไปตี

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ ย้อนกลับไปที่คำถามว่าเขาเล่าให้ใครฟัง เรามองว่าในกัมพูชามีตำนานหลายเรื่องที่ตั้งใจเล่าให้คนเขมรฟังกันเอง อย่างนิทานพระยาละแวก จริงอยู่ว่าคนสยามถูกมองเป็นคนขี้โกง ขี้ขโมย แต่ข้อคิดหลักของมันคือสอนให้คนกัมพูชาต้องสามัคคีกัน ไม่โลภมาก ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจนทำให้ชาติบ้านเมืองล่มจม ประเทศเราเคยยิ่งใหญ่มากเลย แต่เกิดการแตกความสามัคคี เลยทำให้อาณาจักรอ่อนแอลง ซึ่ง narrative แบบนี้ ไทยก็ใช้ในยุคอยุธยาตอนปลาย เวลากรุงแตก แทนที่จะบอกว่ากองทัพพม่าเก่งมาก คนก็พยายามอธิบายว่าเพราะเราแตกความสามัคคีกันภายใน กษัตริย์ไม่สนใจราชการ ในมุมหนึ่ง มันเป็นการเล่าเพื่อปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของคนได้รับชัยชนะ เหมือนบอกว่าเขาไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก แต่เราอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ไม่มั่นคง เราเลยแพ้

นอกจากนี้ ยังมีตำนานเรื่องบรรพกษัตริย์เขมรเป็นตะกวด ในกัมพูชาก็ไม่ได้เล่าว่าการเป็นตะกวดมีลิ้นสองแฉกหมายถึงชนชาติเขมรไว้ใจไม่ได้ ในเรื่องเล่าของเขาจะพูดถึงการแตกแยกกันภายใน มีคนพูดไม่ตรงกับใจ พูดไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองทำ ทำให้ชาติบ้านเมืองอ่อนแอ เรื่องราวเหล่านี้ ทั้งพระโคพระแก้วก็ดี ทั้งบรรพกษัตริย์เขมรเป็นตะกวดก็ดี มันอาจจะพูดถึงประวัติศาสตร์คนละช่วง แต่ถ้าไปดูช่วงเวลาที่มันถูกบันทึก เป็นช่วงเขมรยุคกลาง หรือช่วงที่เขมรถูกขนาบข้างด้วยสองอาณาจักรที่แข็งแกร่ง ราชวงศ์ไม่มั่นคงเท่าไหร่

นี่เป็นตัวอย่างว่าเรื่องเล่าเรื่องเดียวกัน พอถูกนำมาเล่าคนละที่ ก็คงถูกตีความให้เข้ากับ narrative ประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน


แม้เรื่องเล่าเหล่านี้จะตั้งใจสอนให้คนในชาติรักสามัคคี แต่ก็อาจมีข้อเสียทำให้คนเกลียดชังประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาวหรือเปล่า หากเรามองถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งในปัจจุบัน

แน่นอนว่าเรื่องเล่าเหล่านี้ถูกใช้เพิ่มกระแสชาตินิยมเยอะมาก แต่เราคิดว่าตัวเรื่องเล่าเองไม่ได้เป็นปัญหา มันเป็นแค่นิทาน และมันขึ้นอยู่กับวิธีการใช้เรื่องเล่านั้นมากกว่า พูดในมุมของนักมานุษยวิทยา เราศึกษาว่าเรื่องเล่าถูกเล่าอย่างไรเพื่อทำความเข้าใจว่าในบริบทนั้น ทำไมเขียนเรื่องราวเช่นนี้ นำมาใช้ประโยชน์แบบนี้ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าเลิกเล่าเรื่องพระโค พระแก้ว กันเถอะ เพราะเล่าแล้วทำให้เกิดความแตกแยก เป็นศัตรูกัน

เราคิดว่าการที่เรื่องเล่าเหล่านี้ถูกใช้เสริมแรงชาตินิยมเป็นปัญหาที่ต้องคิดหนักและน่ากังวลจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงวิธีแก้ปัญหา มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบอกว่าให้เลิกเล่าเรื่องนี้ วิธีที่อาจเป็นไปได้มากกว่า คืออาจลองเล่าด้วยวิธีอื่นไหม มีการตีความแบบอื่นที่ทำให้เป็นที่นิยมมากกว่า เป็นที่จดจำมากกว่าการใช้สร้างความเกลียดชังไหม


ในกัมพูชายังมีตำนานเรื่องเล่าอะไรอีกไหม ที่ถือว่ามีส่วนในการเสริมแรงชาตินิยม สร้างความภาคภูมิใจให้คนในชาติ

จุดที่อาจจะต่างกันประมาณหนึ่งระหว่างชาตินิยมไทยกับกัมพูชา คือชาตินิยมไทยจะเป็นแนวกษัตริย์ไทยเก่ง แข็งแกร่ง ขยายอาณาเขตได้มาก ซึ่งมาพร้อมกับการสร้าง narrative ว่าไทยถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมให้ต้องเสียดินแดน ส่วนของกัมพูชา จะเป็นแนวเราถูกรังแก แต่เราลุกกลับขึ้นมาได้

เราเห็นคนกัมพูชามีความภูมิใจในนครวัดมากๆ รู้สึกว่านครวัดเป็นยุคทอง เป็นยุครุ่งเรือง ยิ่งใหญ่ สังเกตว่าสัญลักษณ์ความเป็นชาตินิยมทั้งหมดของกัมพูชาจะเชื่อมโยงอยู่กับนครวัด และหลายครั้งลักษณะชาตินิยมของกัมพูชาจะออกแนวอยากกลับไปยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต นอกจากยุคนครวัดที่เป็นยุคทอง ยุคหลังเอกราชของกัมพูชา หรือยุคกษัตริย์นโรดม สีหนุ ตอนนี้ก็ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งยุคทองก่อนถูกทำให้หายไปทั้งหมดเพราะเขมรแดง และสงครามอื่นๆ


ในฐานะคนที่ติดตามศึกษาเรื่องของกัมพูชามาโดยตลอด ตอนนี้ความรู้สึกมวลรวมในสังคมกัมพูชาเป็นอย่างไร มีความโหยหาอยากกลับไปสู่อดีตอันยิ่งใหญ่ไหม

ปัจจุบัน สิ่งที่เรารู้สึกชัดเจนมากกว่าการกลับไปสู่ความรุ่งเรือง คือคนกัมพูชากลัวมากว่าจะเกิดสงครามอีกครั้ง ในสถานการณ์การเมืองกัมพูชา การจะมีม็อบแบบปี 2020 ในกัมพูชายากกว่าในไทยมาก ไม่ใช่เพราะกัมพูชาไม่มีคนรุ่นใหม่ที่อยากได้เสรีประชาธิปไตย แต่เพราะคนกัมพูชาผ่านสงครามมาเยอะมาก โดยเฉพาะสงครามที่ยังอยู่ในความทรงจําของคนที่ยังมีชีวิต

เราสัมผัสได้ว่าคนกัมพูชาจำนวนมากไม่ได้ชาตินิยม กระแสชาตินิยมเข้มข้นที่เราเห็น ส่วนมากเป็นการปั่นข่าวของรัฐบาลและกองทัพ แต่ถึงจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็อันตรายสำหรับพวกเขามากที่จะออกมาพูดหรือต่อต้าน ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าออกมาพูดแล้วถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ต้องลี้ภัย หรือเสี่ยงต่อการอุ้มหาย เหมือนประเทศไทย มันยังมีความกลัวลึกๆ ว่าอาจจะเกิดสงครามกลางเมือง (civil war) ขึ้นอีกด้วย

ถ้าไปกัมพูชา สิ่งที่เราจะเห็นทุกมุมเมืองมากกว่าร้านเซเว่นในไทย หรือกระทั่งช่วงเลือกตั้งยังเห็นป้ายหาเสียงน้อยกว่าสิ่งนี้ คือป้ายที่เขียนว่า ‘ขอบคุณสันติภาพ’ พร้อมหน้าฮุน เซนใหญ่ๆ มันชวนให้เรานึกถึงป้ายหาเสียงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ที่เขียนทำนองว่า ‘เลือกความสงบจบที่ลุงตู่’ คำว่า ‘สันติภาพ’ ที่รัฐบาลกัมพูชาใช้บนป้ายอาจจะมีความหมายว่าฉันเรียกร้องสันติภาพก็จริง แต่ในอีกนัยหนึ่ง มันก็เป็นการขู่ว่าถ้าเธอไม่เอาฉัน ไม่มีใครรับประกันสันติภาพได้นะ และเท่าที่เราคุยกับหลายๆ คน เขาไม่ได้แฮปปี้กับฮุน เซนเลย แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงลุกขึ้นมาต่อต้าน ทั้งห่วงความปลอดภัย ทั้งกลัวว่าจะเกิดกรณีคล้ายๆ เขมรแดงอีกไหม

ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ความรุนแรง เรามักจะนึกถึงยุคเขมรแดงที่กินเวลา 4 ปี แต่อันที่จริง ถ้าย้อนกลับไปดู ตั้งแต่ได้รับเอกราช กัมพูชาไม่เคยสงบ แม้แต่ยุคของสีหนุที่คนโรแมนติไซส์ว่าเป็นยุคทองก่อนล่มสลายไปเพราะเขมรแดง ก็มีใช้ความรุนแรงจากรัฐเยอะมาก หรือยุค 1970s อเมริกาทิ้งระเบิดใส่เวียดนาม คนกัมพูชาก็โดนระเบิดจากอเมริกาเยอะเช่นกัน แล้วก็มีการรัฐประหาร มีสงครามภายในตลอดเวลา แล้วสงครามไม่ได้จบแค่เขมรแดงออกจากพนมเปญ ปี 1979 แต่มันยังลากยาวไปถึงปี 1980-1990 ไหนจะมีกับระเบิดจำนวนมากยังถูกฝังในกัมพูชา มันจึงเป็นความกลัวที่ฝังรากลึกมานาน

ด้วยความกลัวตรงนี้ ทำให้เราประเมินความเป็นชาตินิยมของคนกัมพูชาตอนนี้จากโซเชียลมีเดียยาก ในไทย ถ้ามีคนบอกว่าบรรยากาศตอนนี้ทำให้คนเทิร์นขวากันเยอะขึ้น เราคิดว่าจริง เห็นแนวโน้มนั้น แต่สำหรับคนกัมพูชา เราต้องคิดด้วยว่าถึงเขาจะไม่โอเคกับสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ ก็มีโอกาสน้อยกว่าคนไทยที่จะออกมาเปิดหน้าพูด


จากการปะทะบริเวณชายแดน จนถึงกระแสชาตินิยมและอคติต่อชาวกัมพูชาที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา มันอาจนำไปสู่สถานการณ์แบบไหน อะไรที่เราควรตระหนัก

เราอาจจะมองโลกในแง่ร้าย แต่คิดว่าความเกลียดชังนี้คงจะอยู่ไปอีกนานเลย ต่อให้สถานการณ์ชายแดนกลับไปสงบ -ซึ่งเราหวังว่าจะสงบโดยสมบูรณ์อย่างเร็วที่สุด- แต่ผลของเรื่องเล่าจะอยู่ไปอีกนาน เพราะจริงๆ ก่อนหน้านี้คนไทยก็ไม่ได้มองคนกัมพูชาในแง่ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้จะยิ่งทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม เหมือนเพิ่มขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่งที่ถ้าคราวหน้ามีคนต้องการจุดประเด็น จุดกระแสชาตินิยมอีก ก็อาจจะจุดง่ายขึ้น

อยากฝากไว้ว่าการแปะป้ายเกลียดชังกันไม่เป็นผลดีกับใครเลย และอยากให้ฟังเสียงคนที่อยู่ชายแดนเยอะๆ มีคนไทยและคนกัมพูชาจำนวนมากกว่าที่เราคิดที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ทำงานร่วมกัน เศรษฐกิจเกื้อหนุนกัน หรือต่อให้คุณเป็นคนเมือง เป็นคนชนชั้นกลาง ถ้าไทยกับกัมพูชามีปัญหาจนไม่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ได้ แม้แต่คนทั่วไปก็จะได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ดี ในระยะยาว ความขัดแย้งและความเกลียดชังจึงไม่เป็นผลดีกับใครเลย จะมีก็แต่คนกลุ่มเล็กๆ ที่ได้ประโยชน์จากการจุดกระแสชาตินิยมเท่านั้น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save