Biodiversity Disclosure : เมื่อการเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพคือกุญแจสู่การปกป้องโลก

Biodiversity Disclosure

“ถ้าภาคเอกชนไม่รู้ว่าธุรกิจของตนเองพึ่งพาธรรมชาติหรือส่งผลกระทบต่อธรรมชาติอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะจัดการความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจหรือสร้างความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” Business for Nature องค์กรระดับโลกที่ขับเคลื่อนเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ส่งผลดีต่อธรรมชาติ อธิบายถึงความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพไว้อย่างนั้น

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ Business for Nature ได้ร่วมกับธุรกิจและสถาบันการเงินกว่า 300 แห่ง เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินต้องประเมินและเปิดเผยข้อมูลด้านธรรมชาติ โดยมองว่าการที่ภาคธุรกิจต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Disclosure) จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการทำความเข้าใจถึงปัญหาและลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูป (Transformative Action) อย่างจริงจัง  

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้เตือนถึง ‘วิกฤตการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ’ ที่กำลังทวีความรุนแรงในอัตราที่น่าเป็นห่วง สัตว์และพืชกว่าหนึ่งล้านชนิดกำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ภายในไม่กี่สิบปีข้างหน้า ระบบนิเวศที่ถูกทำลายกำลังส่งผลกระทบต่อสมดุลธรรมชาติ คุกคามความมั่นคงทางอาหาร น้ำสะอาด และเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่คือ ‘ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์’ ที่ธุรกิจและการเงินทั่วโลกไม่อาจละเลย

จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อประเทศต่างๆ กว่า 196 ประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพได้ร่วมลงนามใน ‘กรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก’ (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework หรือ GBF) เมื่อปลายปี 2022 โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือเพื่อหยุดยั้งและพลิกฟื้นการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืนให้ได้ภายในปี 2050 โดยมีหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ GBF คือ การผลักดันให้ภาคธุรกิจและการเงินแสดงความรับผิดชอบผ่าน ‘การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ’ (Biodiversity Disclosure) อย่างโปร่งใสและชัดเจน

ภาพจาก Business for Nature

ธรรมชาติวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ก็กำลังถดถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งสองประเด็นนี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกเหมือนเหรียญสองด้านที่ไม่อาจมองข้าม เพราะแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจโลกดำรงอยู่ได้จาก ‘ต้นทุนทางธรรมชาติ’ ที่ธุรกิจพึ่งพาทุกวัน ตั้งแต่แหล่งน้ำสะอาด ดินอันอุดมสมบูรณ์ การผสมเกสรโดยแมลง การควบคุมโรคระบาด ไปจนถึงสมดุลของสภาพภูมิอากาศ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่านิเวศบริการ (ecosystem service) โดยจากรายงานของ World Economic Forum ระบุว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของทั้งโลกรวมกันนั้นต้องพึ่งพาธรรมชาติและบริการจากระบบนิเวศอย่างมีนัยสำคัญโดยคิดเป็นมูลค่าถึง 44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี[1]

อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจที่ผ่านมากลับไม่คำนึงถึงการเสื่อมโทรมของธรรมชาติเป็นต้นทุนที่แท้จริง นำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ผลักภาระ (externalities) ให้กับสิ่งแวดล้อม เมื่อธรรมชาติเสื่อมโทรมก็นำไปสู่ ‘ความเสี่ยงสะสม’ ที่จะย้อนกลับมาทำลายความมั่นคงของธุรกิจและเศรษฐกิจในที่สุด เช่น การขาดแคลนน้ำที่กระทบต่อกระบวนการผลิต การเสื่อมสภาพของดินที่ลดผลผลิตทางการเกษตร หรือการสูญเสียพื้นที่ป่าที่เป็นต้นกำเนิดของวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอาง

งานศึกษาล่าสุดของ PwC[2] พบว่ามากกว่า 50% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นพึ่งพาธรรมชาติในระดับสูงหรือปานกลาง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม การเกษตร และป่าไม้ ถือเป็นภาคส่วนที่มีการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหากธรรมชาติเสื่อมโทรม ธุรกิจในภาคส่วนเหล่านี้ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้

ในทางกลับกัน ธุรกิจเองก็เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศดั้งเดิม ผ่านการใช้ที่ดิน การใช้น้ำ การสร้างมลภาวะและปล่อยมลพิษ หรือแม้แต่การทำให้เกิดการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (invasive species) อย่างปลาหมอคางดำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น ‘แรงขับเคลื่อนโดยตรง’ (direct drivers) ของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้วยเหตุดังกล่าว แนวคิด ‘Double Materiality’ หรือ ‘สาระสำคัญสองมิติ’ จึงกลายเป็นหลักการสำคัญในการรายงานและบริหารจัดการความเสี่ยงทางธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงการพิจารณาทั้งสองด้าน ด้านแรกคือผลกระทบของธรรมชาติต่อธุรกิจ (Nature to Business) เช่น การขาดแคลนวัตถุดิบ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ภาวะธรรมชาติผันผวนที่ไม่คาดคิด ซึ่งมักจะเป็นการมองผลกระทบทางการเงิน (financial materiality) ส่วนอีกด้านคือผลกระทบของธุรกิจต่อธรรมชาติ (Business to Nature) เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดของระบบนิเวศ การสร้างมลพิษ ซึ่งมักจะมองผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (impact materiality)

‘Double Materiality’ คือเหตุผลที่ภาคธุรกิจไม่อาจมองข้ามความเสี่ยงด้านธรรมชาติได้ เพราะการปกป้องธรรมชาติไม่ได้เป็นแค่ ‘เรื่องภาพลักษณ์’ แต่เป็น ‘ความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์’ ที่มีผลโดยตรงต่อการสร้างมูลค่าธุรกิจในระยะยาว หากไม่สามารถบริหารจัดการได้ ธุรกิจย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสทางการตลาด ถูกลดความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน และอาจถูกกระทบจากมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต เช่น ข้อบังคับเรื่องความโปร่งใสในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในห่วงโซ่อุปทาน

วิกฤตด้านความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นวิกฤตสำคัญของภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจและลงมือบริหารจัดการผลกระทบทั้งสองทางอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเพื่อลดความเสี่ยง แต่เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เกื้อกูลธรรมชาติ (nature-positive economy) ซึ่งเน้นให้การดำเนินธุรกิจและการฟื้นฟูธรรมชาติเดินไปด้วยกันอย่างสมดุล

ภาพจาก Business for Nature

เปิดเผยเพื่อปกป้อง

การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Disclosure) คือการที่ภาคธุรกิจ หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ รายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเป็นระบบ ทั้งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบจากกิจกรรมหลักของตน ซึ่งอาจครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วย รวมทั้งความสัมพันธ์ในเชิงพื้นที่ของธุรกิจกับพื้นที่สำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนธรรมาภิบาลและมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง 

ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภาพใหญ่ เพราะทำให้เรามองเห็นภาพรวมว่าภาคธุรกิจกำลังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพด้านใดบ้าง และมีแนวโน้มอย่างไร พฤติกรรมแบบใดที่ต้องได้รับการแก้ไข หรือแนวทางปฏิบัติแบบใดเป็นแบบอย่างที่ดี จึงทำให้การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สังคมติดตามความคืบหน้าได้ว่าปัจจุบันธุรกิจกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ ห่างไกลหรือใกล้เคียงกับเป้าหมายที่บริษัทประกาศเอาไว้ และมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์ระดับประเทศและระดับโลกที่ตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน

การเปิดเผยข้อมูลยังช่วยระบุช่องว่างและความเสี่ยงที่ต้องแก้ไขและเติมเต็ม โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างผลกระทบและแรงขับเคลื่อนต่างๆ ทำให้เราเปรียบเทียบแนวปฏิบัติขององค์กรต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การปรับปรุง และการแข่งขันกันไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

ที่สำคัญคือทำให้ผู้บริโภค นักลงทุน ภาคประชาสังคม ต่างมีข้อมูลในการติดตามและตรวจสอบ ตัดสินใจซื้อหรือลงทุน ตลอดจนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือภาครัฐก็สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวางนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น

การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่เป็นภาระอย่างเดียว แต่เป็นผลดีต่อธุรกิจด้วยเช่นกัน เพราะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก (market access) ธุรกิจที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายธรรมชาติจะถูกจำกัดโอกาสในการเข้าถึงตลาด เช่น สหภาพยุโรปที่เริ่มใช้กฎหมายตรวจสอบย้อนกลับสำหรับสินค้าที่เสี่ยงต่อการตัดไม้ทำลายป่า การเปิดเผยข้อมูลยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน (capital access) ได้มากขึ้น เพราะนักลงทุนทั่วโลกเริ่มตั้งเป้าหมายลงทุนในสินทรัพย์ที่สนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติ ธุรกิจที่ไม่เปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้จะเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้การประเมินและเปิดเผยข้อมูลยังช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารความเสี่ยงและผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ เพราะธุรกิจที่เข้าใจและบริหารผลกระทบต่อธรรมชาติอย่างจริงจังจะมีความยืดหยุ่นและศักยภาพในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนได้ดีกว่า

ที่ผ่านมาภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังขาดระบบการประเมินและเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของธุรกิจตัวเองกับธรรมชาติ โดยเฉพาะการพึ่งพา ผลกระทบ ความเสี่ยงและโอกาส การขาดข้อมูลที่ชัดเจนเหล่านี้ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน ข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และสามารถเปรียบเทียบได้ (comparable) จึงเป็น ‘กุญแจ’ ที่จะปลดล็อคการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนการลงทุน การวางแผนธุรกิจ และนโยบายสาธารณะที่คำนึงถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง

ตัวอย่างของการเปิดเผยข้อมูลที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การเปิดเผยนโยบายการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ถูกกฎหมาย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ไม่มีส่วนสร้างมลพิษ พร้อมทั้งเปิดเผยรายชื่อผู้จัดหา (supplier) และแหล่งที่มาของวัตถุดิบสำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคและภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมกันตรวจสอบ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน นำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรต่อความหลากหลายทางชีวภาพในที่สุด

ภาพจาก Business for Nature

แนวโน้มการเปิดเผยข้อมูลในรายงานด้านความยั่งยืน

การรายงานความยั่งยืนที่ผ่านมามักเน้นไปที่เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (net zero) หรือความพยายามลดขยะให้เป็นศูนย์​ (zero waste) แต่การรายงานด้าน ‘ธรรมชาติ’ กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญในเวที ESG ยุคใหม่ โดยเฉพาะเมื่อหน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน และผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับ ‘ข้อมูลที่ตรวจสอบได้’ ในเรื่องของผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เราจึงเห็นกรอบมาตรฐานสากลใหม่ๆ ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับความสนใจดังกล่าว ในที่นี้ขอแนะนำมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพล่าสุดที่เริ่มมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน เช่น

  • TNFD (Task Force on Nature-related Financial Disclosures) คือกรอบการจัดการและเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางธรรมชาติที่เกิดจากความพึ่งพาและผลกระทบต่อธรรมชาติ โดย TNFD ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2021 จากความร่วมมือขององค์กรนานาชาติหลายแห่ง เช่น เพื่อสร้างกรอบการเปิดเผยข้อมูลที่เชื่อมโยงกับแนวคิดและโครงสร้างของ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) แต่ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นแนวทางการจัดทำรายงานเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยใช้กรอบ LEAP (Locate – Evaluate – Assess – Prepare) เป็นแนวทางหลักในการช่วยให้องค์กรระบุพื้นที่สำคัญทางนิเวศ ประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ผลกระทบ และเตรียมกลยุทธ์ตอบสนอง
  • GRI (Global Reporting Initiative) เป็นองค์กรอิสระระหว่างประเทศที่พัฒนามาตรฐานการรายงานด้านความ ยั่งยืน มาตรฐาน GRI 304: Biodiversity เมื่อปี 2016 ให้แนวทางในการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพขององค์กรเบื้องต้น ต่อมา GRI 101: Biodiversity 2024 ได้พัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น และกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลใน 8 หมวดสำคัญ อาทิ นโยบายและพันธกิจ การจัดการผลกระทบตามหลักบรรเทาตามลำดับชั้น (mitigation hierarchy) การเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ และการระบุและประเมินผลกระทบต่อชนิดพันธุ์แลบริการจากระบบนิเวศ GRI 101 Biodiversity น่าจะเป็นมาตรฐานสำคัญ เพราะ GRI เป็นมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในตลาดทุนและแวดวง ESG ทั่วโลก โดย GRI 101 Biodiversity จะเริ่มมีผลบังคับใช้จริงๆ ในปี 2026
  • ISSB (International Sustainability Standards Board) เป็นหน่วยงานภายใต้ IFRS Foundation เพื่อตอบสนองความต้องการมาตรฐานการรายงานข้อมูลความยั่งยืนที่ชัดเจนและสอดคล้องกันในระดับโลก ในปี 2023 ISSB ได้ออกมาตรฐานแรกสองฉบับ คือ IFRS S1: การเปิดเผยด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน และ IFRS S2: การเปิดเผยที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ในปี 2024 ISSB ได้ประกาศแผนการพัฒนามาตรฐานใหม่สำหรับความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศและบริการจากระบบนิเวศ (Biodiversity, Ecosystems and Ecosystem Services – BEES) ซึ่งจะเป็นมาตรฐานฉบับแรกของ ISSB ที่ครอบคลุมความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศโดยตรง
  • ESRS (European Sustainability Reporting Standards) เป็นมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่พัฒนาขึ้น ภายใต้กฎหมาย Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเริ่มบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยุโรปตั้งแต่ปี 2024 โดยที่ ESRS ประกอบด้วยมาตรฐานย่อยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดย ESRS E4 เป็นมาตรฐานเฉพาะที่ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ มุ่งเน้นให้บริษัทประเมิน จัดการ และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบ ความพึ่งพา ความเสี่ยง และโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ

สิ่งน่าสนใจที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การรายงานความยั่งยืนจากการรายงานโดยสมัครใจ (voluntary) ไปสู่การบังคับตามกฎหมาย (mandatory) อย่างที่ Business for Nature และพันธมิตรออกมาเรียกร้อง โดยกำหนดให้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยหน่วยงานอิสระ หรือผู้สอบบัญชี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วเช่นในสหภาพยุโรปที่เริ่มบังคับใช้มาตรฐาน ESRS ทำให้บริษัทในห่วงโซ่อุปทานของยุโรปจำนวนมาก รวมถึงบริษัทไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังยุโรป จะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อข้อกำหนดเหล่านี้ได้ในอนาคตอันใกล้

ภาพจาก Business for Nature

จากการเปิดเผยสู่การเปลี่ยนผ่านบนเส้นทาง Nature Positive

การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์ของโลก อีกทั้งยังช่วยสร้างความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยที่เป้าหมายที่ 15 ของกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (GBF) ได้มุ่งผลักดันให้ธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงินต้องประเมินและเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงและผลกระทบต่อธรรมชาติ ในขณะที่แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (NBSAP) ยุทธศาสตร์ที่ 3 ของประเทศไทยเกี่ยวกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ได้กำหนดเป้าหมายให้สัดส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในกลุ่ม SET50 เปิดเผยข้อมูลการดําเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพโดยสมัครใจ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2030

แม้ว่าการตรวจวัดผลและการรายงานผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพจะมีความซับซ้อนและท้าทายกว่าการตรวจวัดคาร์บอน แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี ความตื่นตัวของภาคประชาสังคม การนำแนวทางการสำรวจแบบวิทยาศาสตร์พลเมือง (citizen science) และมาตรฐานการรายงานใหม่ๆ กำลังช่วยให้องค์กรสามารถเปิดเผยข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรายงานความยั่งยืนก็มีแนวโน้มที่จะการบูรณาการการเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับประเด็นด้านความยั่งยืนอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธรรมาภิบาลในองค์กร และการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น

ในท้ายที่สุด การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพไม่ควรเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตัดสินใจ องค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและลงทุนในการอนุรักษ์จะไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์ของโลกเท่านั้น แต่ยังสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับธุรกิจและสังคม

การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืนและยั่งยืนตามแนวทาง nature-positive ที่ประชาคมโลกได้ตั้งเป้าหมายไว้ร่วมกัน

หมายเหตุ: ผู้เขียนได้มีส่วนช่วยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแนวทางการเปิดเผยข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Disclosure) สำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทยเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครสนใจสามารถติดต่อขอรับได้ที่สำนักงาน BEO หรือ คุณอาวีกร ปกป้อง เจ้าหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ Email: [email protected]

นอกจากนี้ BEDO ได้กำหนดจัดงาน UNLOCK WHAT MATTERS: “เปิดเผย” เพื่อ “ปลดล็อค” สู่อนาคตที่ยั่งยืน ในวันอังคารที่ 19 สิงหาคมนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการพึ่งพิง ผลกระทบความเสี่ยง และโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ และเพื่อเผยแพร่แนวทางในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ ตามแนวทาง/มาตรฐานสากล สำหรับการเตรียมความพร้อมในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยสมัครใจ ของภาคธุรกิจไทย ผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลการเข้าร่วมงานเพิ่มเติมได้ที่ คุณอาวีกร ปกป้อง Email: [email protected] เช่นกัน


[1] World Economic Forum 2020 New Nature Economy Report

[2] PwC 2025 Ecosperity: Reporting on nature and biodiversity in Asia Pacific

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save