เปิดประตูเรือนจำ (แบบ) เก่าในโลกใหม่ ผ่านรายงาน Global Prison Trend 2025

ถ้าพูดให้ถึงที่สุด ‘เรือนจำ’ คล้ายจะเป็นสถานที่หนึ่งที่ถูกหยุดเวลาเอาไว้ท่ามกลางกระแสธารและการเปลี่ยนแปลงของโลก

จริงอยู่ที่ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งกระแสเทคโนโลยีที่เข้ามาเขย่าโลกทุกมิติ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่คล้ายจะกลายมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของใครหลายคน รวมถึงกระแสความยั่งยืนที่กลายเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องพูดถึง ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่คล้ายจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ที่เคยมีโรคระบาดเขย่าโลกเมื่อหลายปีก่อน

ทว่าหากย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของเรือนจำหรือกระบวนการยุติธรรม ผ่านรายงาน Global Prison Trend 2025 ที่เผยแพร่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรากลับพบว่าสถานการณ์แทบจะทั้งหมดยังคงเป็นเหมือนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรายงานปีก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรือนจำล้น ผู้ต้องขังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ต้องขังหญิง บวกกับปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตในเรือนจำ

อีกประเด็นที่เกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยีคือ แม้จะมีความพยายามในการสร้างเรือนจำอัจฉริยะหรือเรือนจำที่มีความเป็นสีเขียวมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนเปราะบางที่ได้รับผลกระทบหนักหนาอยู่แล้วในเรือนจำ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ภาพฉายซ้ำจากเทรนด์ที่เราเห็นในรายงาน Global Prison Trend ในปีที่ผ่านๆ มา แต่ภาพ ‘เรือนจำเก่าในโลกใหม่’ นี้ อาจเป็นเสมือนภาพสะท้อนความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมที่เรายังไม่อาจข้ามผ่านไปได้เลย

101 ชวนสำรวจภาพส่วนหนึ่งของเรือนจำและกระบวนการยุติธรรมโลกในปี 2025 ผ่านรายงาน Global Prison Trend 2025 ในปีที่ผ่านมา สถานการณ์เรือนจำโลกเป็นอย่างไร และเรามองเห็นอะไรบ้างจากเรื่องนี้

สถานการณ์ คน (ใน) คุก

ผู้ต้องขังล้น

11.5 ล้านคน คือตัวเลขประมาณการของจำนวนผู้ต้องขังทั่วโลก

ถ้าพูดให้เจาะจงกว่านั้น ข้อมูลล่าสุดที่มีการเผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2024 ชี้ชัดว่า มีคนจำนวน 10.99 ล้านคนที่อยู่ในเรือนจำ ยังไม่นับว่ามีบางประเทศที่ไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นทางการ เช่น จีนและเกาหลีเหนือ ทำให้เราไม่อาจทราบตัวเลขที่แท้จริงได้ นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่า ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ประชากรผู้ต้องขังทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ในขณะที่จำนวนประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 31

สำหรับภาพใหญ่ในรายทวีป รายงาน World Prison Brief พบว่ามีบางทวีป เช่น อเมริกาใต้ ที่มีตัวเลขผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 224 ตามด้วยโอเชียเนียที่ร้อยละ 85 ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ต้องขังในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และแอฟริกาที่ร้อยละ 53 ขณะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ต้องขังสูงที่สุดในโลก คือประมาณ 1.8 ล้านคน

ท่ามกลางกระแสผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยุโรปเป็นทวีปเดียวที่จำนวนผู้ต้องขังลดลงตั้งแต่ปี 2000

สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนผู้ต้องขังพุ่งสูงยังคงมาจากนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด มีการประมาณการว่า ในปี 2020 ผู้กระทำความผิดที่ถูกจำคุกประมาณ 3.1 ล้านคนทั่วโลกเป็นเพราะคดียาเสพติด และมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 61) ถูกจำคุกเนื่องจากคดีที่เกี่ยวกับการมียาเสพติดในครอบครอง

แม้ตัวเลขผู้ต้องขังจะสูง แต่หากดูในรายละเอียดแล้ว 1 ใน 3 ของประชากรผู้ต้องขัง เป็นผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดี (pre-trail detention) ถ้าเรียกให้ง่ายกว่านั้นคือ คน 3.5 ล้านคนที่อยู่ในเรือนจำเป็นผู้ที่ควรจะถูก ‘สันนิษฐานว่าบริสุทธิ์’ ไว้ก่อน ทว่าอัตราของผู้ที่ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดีกลับคงที่มาตั้งแต่ปี 2012 อันเป็นผลมาจากระบบยุติธรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพและล่าช้า

ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจคือ อัตราการกลับมากระทำผิดซ้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีที่การกระทำผิดซ้ำถูกประเมิน มีการศึกษาในปี 2023 ที่ศึกษาข้อมูลใน 33 ประเทศ พบว่า คน 1 ใน 5 ที่ได้รับการปล่อยตัวหรือได้รับโทษคุมประพฤติในชุมชน กลับมากระทำผิดซ้ำภายในสองปี


เรือนจำทะลัก

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย หนึ่งในปัญหาเรื้อรังของระบบยุติธรรมโลกคือ ‘เรือนจำล้น’ เนื่องมาจากจำนวนผู้ต้องขังที่มีมากจนเกินกว่าที่ศักยภาพของเรือนจำจะรับไหว

ในบางประเทศ อาทิ คองโก อูกันดา มีจำนวนผู้ต้องขังสูงถึงร้อยละ 350 ยังไม่นับว่าผู้ต้องขังมีแนวโน้มได้รับโทษจำคุกที่ยาวนานขึ้น หรือแม้แต่การจำคุกตลอดชีวิต ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชากรผู้ต้องขังสูงขึ้น

แม้จะมีความพยายามในการหาวิธีทางเลือกที่ไม่ใช่การจำคุก แต่บางครั้งวิธีการเหล่านี้กลับกลายเป็นปัจจัยทางอ้อมที่ทำให้ปัญหาเรือนจำล้นทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การลงโทษแบบคุมประพฤติในชุมชน ที่แม้จะเป็นวิธีการที่ฟังดูผิวเผินแล้วดี ทว่าหลายครั้งที่ผู้ต้องขังไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ เช่น การทำทัณฑ์บน หรือการบริการชุมชน ทำให้แทนที่จะช่วยแก้ปัญหา วิธีการเหล่านี้กลับกลายเป็นเครื่องมือผลักไสที่ทำให้คนต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายประเทศจึงเลือกที่จะตอบสนองต่อปัญหาเรือนจำล้นอย่างตรงไปตรงมา คือ การสร้างเรือนจำเพิ่มเพื่อให้รองรับคนได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่นประเทศฮอนดูรัส ที่ประกาศสร้างเรือนจำขนาดใหญ่ (mega prison) ที่จะรองรับคนได้มากกว่า 20,000 คน เพื่อตอบสนองต่อความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากร (gang violence) โดยเฉพาะ ในขณะที่บางประเทศ อาทิ เบลเยียม เดนมาร์ก และโคโซโว เลือกที่จะเช่าพื้นที่จำคุกแทนการสร้างเรือนจำขึ้นใหม่


สำรวจแนวโน้มทางเลือกที่ไม่ใช่การจำคุก

แม้ตัวเลขผู้ต้องขังจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้กระทำความผิดที่อยู่ภายใต้มาตรการที่ไม่ใช่การจำคุกก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12.5 ล้านคนเช่นกัน โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่เลือกที่จะคุมประพฤติโดยชุมชนแทนการจำคุกแทน ทว่าในบางทวีป เช่น ลาตินอเมริกา กลับไม่ค่อยมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่การจำคุกมากเท่าที่ควร

นอกจากนี้ แม้ว่าหลายประเทศจะเริ่มหันกลับมาหามาตรการที่ไม่ใช่การจำคุกมากขึ้น แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการซ่อนอยู่ อาทิ ทรัพยากรและจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ไม่เพียงพอ และการขาดกรอบกฎหมายที่ครอบคลุม

ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังมีความพยายามที่จะริเริ่มการปฏิรูปกฎหมายหลายฉบับเพื่อนำไปสู่กระบวนการที่เน้นการฟื้นฟูมากขึ้น รวมถึงการลดการคุมขังโดยไม่จำเป็น ขณะที่ทวีปยุโรป ซึ่งเป็นทวีปเดียวที่มีจำนวนผู้ต้องขังลดลง พบว่า จำนวนผู้กระทำความผิดที่อยู่ภายใต้มาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังหรือการทำทัณฑ์บนคงตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากหน่วยงานคุมประพฤติของสภายุโรปชี้ว่า มีคนกว่า 1.3 ล้านคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานคุมประพฤติในปี 2023

อย่างไรก็ดี หนึ่งในข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นคือ แม้มาตรการที่ไม่ใช่การจำคุกจะมีการใช้อย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ของโลก ทว่าคำถามสำคัญคือ มาตรการเหล่านี้ลดจำนวนผู้ต้องขังได้จริงหรือไม่ เพราะยิ่งมาตรการทางเลือกเหล่านี้ขยายกว้างออกไปมากเท่าไร ความเป็นอาชญากรรมก็อาจจะขยายออกไปกว้างตามมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าพูดให้ถึงที่สุด การใช้มาตรการที่ไม่ใช่การจำคุกควรจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง รัดกุม และรอบคอบที่สุด มิเช่นนั้น ความตั้งใจที่จะนำคนออกจากเรือนจำแต่แรกด้วยการใช้มาตรการทางเลือกแทนการจำคุกอาจกลับกลายเป็นการผลักไสให้ผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของการคุมประพฤติต้องเข้าสู่เรือนจำแทน

สำรวจประชากรกลุ่มเปราะบางหลังม่านลูกกรง

ผู้หญิงและเด็ก

แม้ผู้หญิงจะยังคงเป็นคนส่วนน้อยในระบบเรือนจำ ทว่าตัวเลขผู้ต้องขังหญิงกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 57 ตั้งแต่ปี 2000 ถึงปี 2024

เมื่อขยับมาดูที่ผู้ต้องขังซึ่งเป็นเด็ก รายงานระบุว่า มีเด็กถึง 240,000 คนทั่วโลกที่ต้องอยู่ในระบบคุมขัง อย่างไรก็ดี การที่จะสรุปตัวเลขผู้ต้องขังเด็กยังเจอความท้าทายหลายประการ ทั้งการขาดข้อมูล การขาดความโปร่งใสของภาครัฐ อีกทั้งข้อมูลที่มีก็ยังไม่เสถียรและไม่สมบูรณ์ จนทำให้เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดว่า มีเด็กกี่คนกันแน่ที่ต้องอยู่ในเรือนจำ

ซ้ำร้าย เด็กยังต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการในเรือนจำ ทั้งเรื่องความรุนแรงต่อเด็กในเรือนจำ การขาดระบบที่มีประสิทธิภาพและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝนในการปกป้องเด็ก และที่สำคัญคือการขาดการปกป้องทางกฎหมายให้กับเด็กที่จะต้องอยู่ในสถานที่กักขัง


ผู้สูงอายุและกลุ่ม LGBTIQ+

แม้ผู้สูงอายุอาจจะไม่ได้มีจำนวนมากนักในเรือนจำ (ประมาณร้อยละ 15-17 ในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและเวลส์ และญี่ปุ่น) ทว่าผู้ต้องขังที่เป็นผู้สูงอายุก็ยังต้องเจอความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการถูกทำร้ายและเจอกับการปฏิบัติที่ไม่ดี ภาวะ ‘อายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก’ จากการถูกกักขัง รวมถึงปัญหาอื่นๆ อาทิ ปัญหาสุขภาพจิต

ในทางกลับกัน จำนวนผู้ต้องขังที่เป็น LGBTIQ+ มีมากกว่าผู้สูงอายุเล็กน้อย อาทิ ในสหรัฐฯ ผู้ต้องขังประมาณร้อยละ 30 เป็นไบเซ็กชวลและเลสเบียน และร้อยละ 5 เป็นเกย์ แต่ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดและควรค่าแก่การหยิบยกมาพูดคือ ประมาณ 61 ประเทศยังคงถือว่าการคบเพศเดียวกันเป็นอาชญากรรม และนั่นนำมาซึ่งปัญหามากมายในเรือนจำ ทั้งเรื่องการถูกรังแก กลั่นแกล้ง และการประทับตราบาปในเรือนจำให้กับคนกลุ่มนี้อีกด้วย

เมื่อเรือนจำเจ็บป่วยเรื้อรัง สุขภาพกายและใจของผู้ต้องขังเป็นอย่างไรหลังม่านลูกกรง

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ‘เรือนจำ’ ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัยที่ดีแต่อย่างใด และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ปัญหาสุขภาพในเรือนจำยังถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอ

ถ้าพูดให้ชัดขึ้น รายงานฯ ชี้ว่า อัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ต้องขังสูงถึงร้อยละ 50 ซึ่งมากกว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรทั่วไป สาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ความแออัดและสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยโรคทั้งที่ติดต่อและไม่ติดต่อ ความรุนแรง และการฆ่าตัวตาย

นอกจากนี้ เราต้องไม่ลืมว่าประชากรในเรือนจำมีหลากหลาย แต่กลุ่มที่เจอกับปัญหาสุขภาพมากกว่าใครคือ กลุ่มผู้สูงอายุ ตัวอย่างเช่น นิการากัว ที่ไม่มีระบบดูแลสุขภาพที่เหมาะสมในเรือนจำ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ในญี่ปุ่นที่มีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก คนสูงอายุจำนวนหนึ่งเลือกที่จะก่ออาชญากรรมเพื่อจะได้เข้าสู่เรือนจำและการดูแลสุขภาพ เนื่องจากปัญหาความยากจน

ไม่ใช่แค่ร่างกายที่เจ็บป่วย แต่ความเจ็บป่วยทางใจกลายเป็นอีกปัญหาเรื้อรังที่มาคู่กับปัญหาสุขภาพจิต ดังที่รายงานฯ ชี้ว่า ประชากรผู้ต้องขังกว่า 60,000 คนใน 43 ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำจนถึงปานกลาง มีอัตราของการเป็นโรคซึมเศร้า (depression) มากกว่าประเทศรายได้สูง

เช่นเดียวกับสุขภาพกาย ระบบสุขภาพในเรือนจำยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพจิตได้เท่าที่ควร เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมในด้านนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งกลุ่มชายขอบหรือกลุ่มเปราะบางที่มีแนวโน้มจะถูกผลักไสหรือเจอกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมมากกว่า เช่น ในเบลเยียม ที่ผู้หญิงต้องเจอกับอัตราความทุกข์ทางใจ (psychological distress) มากกว่าผู้ชาย (ร้อยละ 62 และ 36 ตามลำดับ) ซ้ำร้าย ผู้หญิงยังมีแนวโน้มที่จะไม่ขอความช่วยเหลือการสนับสนุนด้านสุขภาพในเรือนจำเนื่องจากกลัวการถูกตีตราในทางที่ไม่ดี

รายงานฯ ยังชี้ให้เห็นอีกประเด็นหนึ่งว่า ในประเทศไทย ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วและมีปัญหาสุขภาพจิตมักจะได้รับการจ่ายยามากกว่าที่จะได้รับการดูแลแบบองค์รวมอย่างเหมาะสม

หนึ่งในประเด็นที่รายงานฯ หยิบยกขึ้นมาคือ ในบางภูมิภาค ‘การฆ่าตัวตาย’ กลายเป็นหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ต้องขังต้องเสียชีวิต โดยข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ชี้ว่า การเสียชีวิตในเรือนจำมากกว่า 1 ใน 10 มาจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งสูงกว่าอัตราการฆ่าตัวตายของโลกในปี 2023 ถึง 3 เท่า โดยทวีปที่มีอัตราการฆ่าตัวตายในเรือนจำมากที่สุดคือยุโรปและอเมริกาตามลำดับ

ประเด็นที่น่าสนใจคือ เพราะเหตุใดทวีปที่มีรายได้สูงอย่างยุโรปกลับเป็นทวีปที่มีอัตราการฆ่าตัวตายในเรือนจำสูงที่สุด – รายงานฯ ชี้ว่า มีการศึกษาในปี 2024 และพบความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของห้องขังกับอัตราการฆ่าตัวตาย กล่าวคือในประเทศที่มีรายได้สูงมักจะมีห้องขังแบบเดี่ยวเยอะทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูง ในขณะที่ประเทศที่ผู้ต้องขังต้องอยู่ร่วมกันกลับมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่า

นอกจากนี้ การศึกษาดังกล่าวยังพบว่า ผู้ต้องขังหญิงมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประชากรทั่วไป เช่น ผู้ต้องขังหญิงในประเทศฝรั่งเศสมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนทั่วไปถึง 40 เท่า

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางบรรยากาศของความป่วยไข้เรื้อรังในเรือนจำ เราเริ่มเห็นแสงสว่างแห่งความหวังในการรับมือและดูแลเรื่องปัญหาสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025 สภายุโรปได้เริ่มใช้แนวคำแนะนำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนและปกป้องปัญหาสุขภาพจิตของผู้ต้องขังหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการทำทัณฑ์บน โดยคำแนะนำดังกล่าวเน้นย้ำความสำคัญของการมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษในด้านสุขภาพจิต การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่ต้องเทียบเท่าได้กับบริการด้านสุขภาพกาย รวมถึงการคัดกรองล่วงหน้าด้วย

ขณะที่ประเด็นการฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศเริ่มมีมาตรการเพื่อป้องกันเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ เช่น ในสเปน มีการพัฒนาแผนปฏิบัติการที่เน้นย้ำความสำคัญของการประเมินความเสี่ยง มีความร่วมมือและระหว่างองค์กร และการอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการกับภาวะวิกฤตโดยเฉพาะ หรือในโคลัมเบีย ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการประเมินกลุ่มผู้ต้องขังที่มีปัญหาสุขภาพจิตและความเพียงพอของบริการด้านสุขภาพอย่างครอบคลุมด้วย

ความรุนแรงในเรือนจำและสิทธิในการโหวตที่ถูกพรากไป

ความรุนแรงและวิกฤตในเรือนจำ

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเรือนจำคือสถานที่เปราะบางที่สุดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมาจากตัวผู้ต้องขังและสภาพแวดล้อมของเรือนจำเอง ซ้ำร้าย ความรุนแรงหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ ยิ่งทำให้เรือนจำต้องอ่อนแอมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ในคองโก ผู้ต้องขังต้องเจอกับความรุนแรงในระดับที่สูง การประณาม หรือแม้กระทั่งถูกทรมาน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพราะเพศสภาพ (gender-based violence) ขณะที่ซีเรีย มีรายงานชี้ชัดว่า ผู้ต้องขังต้องเจอกับการทรมานหรือแม้กระทั่งการถูกบังคับให้สูญหาย

ในบางประเทศ ปัญหาความรุนแรงทางเพศกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและแพร่หลาย เช่น ในซูดานใต้ มีรายงานเกี่ยวกับปัญหาการข่มขืนในศูนย์กักขัง ซ้ำร้าย ผู้ต้องขังยังต้องเจอกับการขาดแคลนอาหารและน้ำ รวมถึงยาที่จำเป็นเพื่อป้องกันการเสียชีวิตด้วย

ไม่ใช่เพียงแค่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเรือนจำเท่านั้น แต่บางครั้ง เรือนจำกลับกลายเป็นต้นกำเนิดของอาชญากรรมเสียเอง เช่น ในลาตินอเมริกา เรือนจำบางแห่งต้องเจอกับความรุนแรงที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมที่มีการจัดตั้ง (organised crime) ดังที่ในต้นปี 2024 หัวหน้าของกลุ่มอาชญากรรมได้หลบหนีจากเรือนจำในเอกวาดอร์ทำให้ประธานาธิบดีต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรืออย่างในโคลัมเบียและกัวเตมาลาที่พบว่า ผู้ต้องขังบางคนเกี่ยวพันกับอาชญากรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรม และแม้จะมีความพยายามในการทำลายเครือข่ายเหล่านี้ด้วยการส่งผู้ต้องขังที่มีประวัติหลายคนไปยังเรือนจำอื่น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากมาตรการความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอและอิทธิพลของกลุ่มอาชญากรที่ยังคงอยู่

ความรุนแรงในเรือนจำไม่จำกัดอยู่เฉพาะในวงผู้ต้องขังด้วยกันเท่านั้น ทว่าหลายครั้งที่ความรุนแรงจากผู้ต้องขังยังส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเรือนจำเนื่องมาจากปัญหาเรือนจำล้นและการขาดแคลนผู้ต้องขัง เช่น ในอังกฤษและเวลส์มีรายงานเหตุการณ์ความรุนแรงมากกว่า 10,000 ครั้งระหว่างเดือนมิถุนายน 2023 – 2024 ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 21 ปี หรือเหตุการณ์โจมตีในเรือนจำหลายแห่งในฝรั่งเศสช่วงเดือนเมษายน 2025

แม้จะเห็นได้ชัดว่าเรือนจำต้องประสบกับความรุนแรงและการปฏิบัติที่ไม่ดีหลายอย่าง ทว่าการพูดถึงประเด็นเหล่านี้หรือแม้กระทั่งการหาแนวทางแก้ปัญหากลับกลายเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ทั้งสาเหตุจากการขาดแคลนอุปกรณ์ตรวจตราอย่างกล้อง CCTV หรือแม้แต่การที่ผู้ต้องขังเองไม่กล้าที่จะรายงานเหตุการณ์เหล่านี้ให้ผู้คุมหรือเจ้าหน้าที่รับทราบ


การโหวตในเรือนจำ สิทธิที่ม่านลูกกรงพรากไป

ปี 2024 คือปีที่หลายคนขนานนามให้เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง (year of elections) ถ้าพูดให้ชัดเจนขึ้น มีการประมาณการว่า คนกว่า 4.3 พันล้านคนได้ออกเสียงโหวตของตนเองในการเลือกตั้งกว่า 140 ครั้งทั่วโลก

อย่างไรก็ดี สิทธิในการลงคะแนนเสียงคล้ายจะเป็นสิทธิหนึ่งที่ม่านกำแพงหนาสูงของเรือนจำได้ลิดรอนไปจากผู้ต้องขังด้วย

รายงานของ The Sentencing Project ชี้ว่า ในปี 2024 มี 73 จาก 136 ประเทศ ซึ่งมีประชากรประมาณ 5 ล้านคน ถูกปฏิเสธหรือแทบจะไม่ได้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งของตนเองเลย ขณะที่บางแห่งอนุญาตให้คนที่อยู่ในช่วงรอการพิจารณาออกเสียงเลือกตั้งได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่ากระทำความผิดหรือกำลังรับโทษจำคุกอยู่ลงคะแนนโหวต และที่ซ้ำร้ายคือ หลายครั้งที่การห้ามออกเสียงเลือกตั้งนี้ติดตัวไปแม้ผู้กระทำความผิดคนนั้นจะพ้นโทษแล้วก็ตาม

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใด เพราะอย่างที่เราทราบกันดี สิทธิในการเลือกตั้งหรือลงคะแนนควรเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ – ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นเช่นไร – ได้รับและไม่ควรถูกพรากไป นี่จึงนำมาซึ่งความพยายามในการเรียกร้องสิทธิในการลงคะแนนของผู้ต้องขังให้กลับคืนมา ดังเช่นในเม็กซิโก ที่อนุญาตให้ผู้ที่กำลังรอการพิจารณาคดีกว่า 31,000 คนมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปในปี 2024 ขณะที่ในปี 2022 ที่เนปาล ศาลสูงสุดมีคำสั่งให้ผู้ต้องขังสามารถโหวตในการเลือกตั้งแบบรัฐสภาได้

แม้การลงคะแนนเลือกตั้งสำหรับผู้กระทำความผิดจะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และมีหลายประเทศที่เริ่มถึงตระหนักถึงสิ่งนี้และพยายามที่จะขับเคลื่อนเพื่อให้ผู้ต้องขังมีสิทธิในการโหวตทัดเทียมกับคนอื่น ทว่าการลงคะแนนโหวตสำหรับผู้ต้องขังยังเต็มไปด้วยความท้าทาย อันเนื่องมาจากปัญหาทั้งด้านโลจิสติกส์และระบบราชการ รวมถึงการขาดการประสานงานระหว่างฝ่ายที่จัดการการเลือกตั้งกับหน่วยงานของเรือนจำ เช่นในแอฟริกาใต้ที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ต้องขังร่วมลงคะแนนเลือกตั้งถึง 100,000 คน ทว่ากลับมีผู้ต้องขังลงคะแนนเพียง 17,000 คนเท่านั้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับระบบการลงคะแนนโหวตในเรือนจำ หรือในคองโกที่มีเรือนจำเพียง 10 จาก 115 แห่งที่ลงทะเบียนเพื่อให้ผู้ต้องขังได้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปในปี 2023 ทำให้คนจำนวนไม่สามารถลงคะแนนได้

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าหนทางการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในเรือนจำจะมืดมนไปเสียทั้งหมด ในบางประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย สามารถจัดการให้มีการประสานงานระหว่างเรือนจำและหน่วยเลือกตั้งได้ และทำให้คนมากกว่า 10,000 คนสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ภายในปี 2024 หรือในปีเดียวกันนั้นเอง สภายุโรปได้อนุญาตให้ผู้ต้องขังในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และกรีซ สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ผ่านทางองค์กรที่มีประสิทธิภาพ จุดลงคะแนนพิเศษ หรือการส่งไปรษณีย์

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่เราไม่ควรลืมและละเลยคือ แม้สิทธิการลงคะแนนเลือกตั้งของผู้ต้องขังจะเป็นสิทธิพื้นฐานที่สุดสิทธิหนึ่งที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับ แต่การจะก่อให้เกิดระบบการโหวตที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงทีไม่ใช่เรื่องพื้นฐานที่หลายๆ เรือนจำสามารถจัดแจงได้ ปัญหาทุกอย่างของเรือนจำ ทั้งความแออัดยัดเยียด การขาดแคลนเจ้าหน้าที่หรือการที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเพียงพอ ล้วนเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ส่งผลให้ผู้ต้องขังไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้ และยิ่งทวีให้เกิดความเปราะบางในเรือนจำมากขึ้นอีกด้วย

ภาพอนาคตต่อไปของเรือนจำและความท้าทายที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี

เมื่อเรือนจำกลายเป็นสีเขียว

ในยุคสมัยที่กระแสยั่งยืนมาแรงและทุกอย่างดูจะมีคำว่า ‘สีเขียว’ ต่อท้าย เรือนจำเองก็เช่นกัน กระแสเรือนจำสีเขียวเป็นที่ถูกพูดถึง พร้อมไปกับการที่ทั่วโลกพยายามที่จะทำให้ระบบของเรือนจำมีความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่นกับภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

นอกจากประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว รายงานฯ ชี้ว่า การที่เรือนจำมีพื้นที่สีเขียวและกิจกรรมที่อยู่บนฐานของธรรมชาติมากขึ้นจะช่วยลดความรุนแรง ฟื้นฟูสุขภาพจิต และช่วยมุมมองด้านการบำบัดฟื้นฟูต่างๆ ได้ นอกจากประโยชน์แก่ตัวผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่แล้ว เรือนจำสีเขียวยังจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการเรือนจำในระยะยาว เช่น เรือนจำในไอร์แลนด์สามารถลดค่าใช้จ่ายการใช้พลังงานรายปีได้จากการใช้หลอดไฟแบบ LED หรือเรือนจำหลายๆ ที่ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นแหล่งพลังงานทดแทนและนำเอามาตรการประหยัดพลังงานมาใช้เพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินท์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง

แม้ความพยายามในการทำให้เรือนจำเป็นสีเขียว ‘มากขึ้น’ (greener) จะเป็นความพยายามที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเราต้องไม่ลืมว่า หลายครั้งที่ความพยายามเหล่านี้อาจกลับกลายเป็นการฟอกเขียว (greenwashing) ไปได้ ดังนั้น วิธีการที่จะทำให้เรือนจำยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด จึงอาจจะเป็นการปฏิรูปกฎหมายอาญาในภาพรวม ไปจนถึงการลดจำนวนผู้ต้องขังและปรับปรุงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ภายใน เพื่อที่จะทำให้เรือนจำมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง


เทคโนโลยีกับเรือนจำ

ในยุคเทคโนโลยีเขย่าโลกเช่นนี้ เรือนจำเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในทุกมิติ หลายประเทศมีเรือนจำอัจฉริยะที่เทคโนโลยีมีบทบาทตั้งแต่การบริหารจัดการเรือนจำ การศึกษาและการฝึกฝนในเรือนจำ การเปิดให้มีการเยี่ยมผู้ต้องขังแบบเสมือนจริง (virtual visit) ไปจนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการปล่อยตัว

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ การใช้เทคโนโลยีในการศึกษา การฝึกฝน และการบำบัดฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลในกลุ่มผู้ต้องขัง อีกทั้งเทคโนโลยียังถูกใช้เพื่อทำให้คนที่ถูกขังสามารถมีส่วนร่วมได้ดีขึ้นในการให้ความคิดเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเอง เช่น ฟินแลนด์ ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการใช้เรือนจำอัจฉริยะ เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสามารถให้ความเห็นแบบไม่ระบุตัวบุคคลเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรือนจำและการพิจารณาคดีก่อนคุมขังผ่านทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความพยายามในการทำให้ผู้ต้องขังสามารถกลับเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องต่างๆ ได้อีกครั้งโดยที่กำแพงหนาไม่ควรเป็นอุปสรรคขวางกั้น

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในเรือนจำและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ฮ่องกง สหรัฐฯ สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ได้มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการตรวจตราและทำนายพฤติกรรมของคนในเรือนจำ ทั้งในแง่ความเสี่ยงในการหลบหนีและการก่อความรุนแรง ทั้งหมดนี้ทำให้ตลาดที่เกี่ยวข้องกับการตรวจตราและความปลอดภัยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่เช่นเดียวกับทุกๆ เรื่อง เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ได้นำมาซึ่งแค่การพัฒนาและความสะดวกสบายในหลายๆ เรื่อง แต่นำมาซึ่งการถกเถียงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและสิทธิมนุษยชน รวมถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเปราะบางในเรือนจำด้วย

ดังนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2024 สภายุโรปจึงได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในเรือนจำและการทำทัณฑ์บนว่า ควรจะใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสมและใช้ในกรณีที่เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์มีส่วนช่วยในเรื่องการบำบัดฟื้นฟูเท่านั้น อีกทั้งในแง่ของความปลอดภัยและความมั่นคง เทคโนโลยีควรจะใช้เพื่อสนับสนุนมากกว่าการแทนที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริงๆ เพราะถ้าพูดให้ถึงที่สุด การที่เราปล่อยให้ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องใดๆ อาจกระทบกับสิทธิมนุษยชนที่จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจและทบทวนของมนุษย์

นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีเพื่อประเมินความเสี่ยงในการกระทำผิดซ้ำเพื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจให้ประกันตัวหรือทำทัณฑ์บนก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นแหลมคม กล่าวคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีข้อมูลและความโปร่งใสเพียงพอในการตัดสินใจ ในเมื่อเทคโนโลยีเองก็มีโอกาสที่จะก่ออคติด้านเชื้อชาติและการแบ่งแยกได้เช่นกัน

เมื่อปัญหาเรือนจำคือ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’

ทำอย่างไรให้เรือนจำคำนึงถึงความเป็นมนุษย์และเป็นแหล่งฟื้นฟูได้อย่างแท้จริง

หากพูดให้ย่นย่อทว่าชัดเจนที่สุด สถานการณ์เรือนจำและกระบวนการยุติธรรมของโลกในปี 2025 คล้ายจะถูกสรุปได้ด้วยคำว่า ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’

เพราะหากมองเพียงฉากหน้า เราเห็นกระแสเทคโนโลยีและความยั่งยืนที่เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิตมนุษย์ เราเห็นกระแสและความพยายามในการทำให้เรือนจำมีความยั่งยืนมากขึ้นและ ‘อัจฉริยะ’ กว่าเดิม ด้วยความหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังและทำให้เรือนจำมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ดี หากเรามองทะลุภาพความสวยงามและทันสมัยด้านหน้า เราพบว่าจำนวนผู้ต้องขังยังคงเพิ่มขึ้น เรือนจำยังคงแออัด และความรุนแรงยังคงแทรกเร้นอยู่ทุกหย่อมหญ้าภายหลังม่านลูกกรง

นี่อาจจะเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงทุกปีที่เราเห็นสถานการณ์เรือนจำ ทั้งในไทยและในระดับโลก แต่เราต้องไม่ลืมว่ากระแสความยั่งยืน เทคโนโลยี และความพยายามต่างๆ ล้วนแต่เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่อาจช่วยทำให้บางสิ่งบางอย่างดีขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้รากของปัญหาจริงๆ หมดไป

เพราะการที่จะทำให้เรือนจำมีคุณภาพที่ดีขึ้นไม่ได้เกิดจากแค่การมีพื้นที่สีเขียวหรือการใช้เทคโนโลยีทันสมัย แต่ควรเป็นการพิจารณาปฏิรูปและปรับเปลี่ยนกระบวนการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาให้เรือนจำเป็นสถานที่ที่กักขังเฉพาะผู้ที่สมควรและมีความจำเป็นจะต้องถูกกักขังจริงๆ รวมถึงนำเอามาตรการทางเลือกที่ไม่ใช่การคุมขังต่างๆ เข้ามาปรับใช้

เพื่อทำให้เรือนจำไม่ได้เป็นแค่สถานที่ที่แค่มุ่งลงโทษผู้กระทำความผิด แต่เป็นสถานที่ที่ช่วยบำบัดฟื้นฟูและโอบรับคนที่เคยทำผิดพลาด ให้สามารถกลับคืนสู่สังคมและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save