ในการประกาศรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี 2024 ผลปรากฏว่าผู้ที่ได้รับรางวัลคือ ‘ฮัน กัง’ (Han Kang) นักเขียนหญิงชาวเกาหลีใต้ นั่นทำให้ชื่อของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้อ่านชาวไทยมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในนวนิยายที่เป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านคือ Human Acts หรือ มนุษยทำ ในฉบับภาษาไทย
Human Acts ตีพิมพ์เป็นภาษาเกาหลีครั้งแรกเมื่อปี 2014 ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2017 และแปลเป็นฉบับภาษาไทยในปี 2025 โดยอภิชญา บุญรินทร์ มีสำนักพิมพ์ Page เป็นผู้ตีพิมพ์
ประเด็นหลักของ Human Acts ตั้งอยู่บนเหตุการณ์สังหารหมู่ควังจูในปี 1980 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐบาลเกาหลีในยุคเผด็จการทหารกระทำต่อประชาชน ฮัน กังมิได้เลือกที่จะเล่าเรื่องของการต่อสู้และการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างวีรบุรุษ (Heroic) หากแต่เลือกที่จะเล่าผ่านความสูญเสีย ความเจ็บปวดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว
ฮัน กังใช้ความตายของเด็กชายนาม ‘ดงโฮ’ เป็นศูนย์กลางของเรื่องเล่าทั้งหมดที่จะปรากฏในตัวนวนิยาย ซึ่งแสดงแนวคิดและมุมมองต่อเหตุการณ์การสังหารหมู่ควังจูที่แตกต่างกันออกไป ผลงานชิ้นนี้ของฮัน กังมิใช่นวนิยายที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านมากเท่าใด ทุกๆ หน้าที่เปิดผ่านไปนั้นกลับสร้างความหนักอึ้งในอกและความรู้สึกหดหู่ที่มากยิ่งขึ้นจากความรุนแรงเหล่านั้น
Traumatic Past ในงานของฮัน กัง
Human Acts ได้มุ่งเน้นไปที่ความทรงจำของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ควังจูเป็นหลัก โดยการเล่าเรื่องในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการเล่าผ่านความทรงจำของตัวละครทั้งหมด ซึ่งสะท้อนการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตอันเป็นความทรงจำประเภทโศกนาฏกรรมหรือความปวดร้าว [1]
นักวิชาการหลายท่านได้จำแนกความปวดร้าวดังกล่าวออกมาเป็นหลายประเภท เช่น Lawrence Langer ได้กล่าวถึงความทรงจำอันปวดร้าวผ่านเหยื่อที่เคยผ่านการสังหารหมู่ของชาวยิวโดยนาซีเอาไว้เป็น 5 ประเภท ได้แก่
- การฝังความเจ็บปวดไว้สนิทข้างในตัวเอง
- ความอิหลักอิเหลื่อที่อยากจะจำ แต่ก็อยากจะลืมในขณะเดียวกัน
- ความฝังใจที่ถูกเหยียบย่ำให้ต่ำต้อย จึงพยายามลืมแต่ก็ไม่สำเร็จ
- ความทรงจำแบบโทษตัวเองว่าตัวเองมีส่วนผิด
- ความทรงจำแบบคนรอดตายที่สูญเสียความภูมิใจและศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น จึงมีชีวิตอยู่ไปวันๆ [2]
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการท่านอื่นซึ่งได้จำแนกเกณฑ์ในการแบ่งแยกความทรงจำจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการกล่าวถึงความทรงจำของอันรวดร้าวที่เกิดจากการสังหารหมู่ควังจูสามารถนำรูปแบบทั้ง 5 ของ Langer เข้าไปจับได้เช่นกัน โดยแต่ละตัวละครแสดงความทรงจำของตนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น คำพูดของตัวละครหนึ่งที่ปรากฏบนคำโปรยปกหลังของนวนิยายเรื่องนี้
“ผมยังคงต่อสู้อยู่ทุกวันครับ ต่อสู้อยู่คนเดียวลำพัง ต่อสู้กับความอัปยศอดสูที่ผมเป็นคนรอดชีวิตมาได้ ต่อสู้กับความจริงที่ว่าผมเป็นมนุษย์ ต่อสู้กับความคิดที่ว่าความตายเป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความจริงนั้น”
จะเห็นได้ว่าคำพูดของตัวละครนี้ สอดคล้องไปกับความทรงจำประเภทที่ 5 ของ Langer ที่ตัวละครดังกล่าวรอดตายมาด้วยความรู้สึกหมดสิ้นศักดิ์ศรีและมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพียงเท่านั้น ส่วนตัวละครตัวอื่นๆ ก็มีการถ่ายทอดความทรงจำของตนในรูปแบบที่ปรากฏตามข้ออื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ในบรรดาความทรงจำทั้งหมดที่ฮัน กังได้นำมาเขียนเป็นนวนิยาย หนึ่งในความทรงจำที่โดดเด่นอย่างมากคือการเล่าผ่านมุมองของ ‘ผี’ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นมุมมองที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกไม่ถึง โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ในนวนิยายที่มีความเป็นสัจนิยมสูง และเห็นว่ามุมมองดังกล่าวคงมิใช่สิ่งที่นักเขียนชาวตะวันตกจะนำมาใช้ในการเล่าเรื่องเท่าไรนัก แต่ความทรงจำของผีในเรื่องกลับทำให้ผู้อ่านสามารถรู้สึกได้ถึงความเหี้ยมโหดและความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
การใช้ผีของฮัน กัง ยังเป็นการใช้ผีในลักษณะที่ผิดแผกออกไปจากจินตนาการของคนทั่วไป กล่าวคือ ฮัน กังเลือกที่จะให้ผีปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบมวลวัตถุสีดำที่สามารถลอยไปลอยมาในอากาศได้ ยิ่งเป็นการสะท้อนถึงความหนักหน่วงและความดำมืดของความรุนแรงที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าความทรงจำของผีนั้น มิใช่สิ่งที่อยู่ในการจำแนกความทรงจำของ Langer ด้วยเช่นกัน
ในทางหนึ่ง ผีใน Human Acts จึงเป็นการสะท้อนวิธีคิดของชาวเอเชีย ที่ในหลายๆ ครั้งยังคงมีความเชื่อและความสัมพันธ์กับสิ่งลี้ลับ ในขณะที่บนโลกของความเป็นจริงแล้ว ความทรงจำของผีมิใช่สิ่งที่จะสามารถปรากฏให้เห็นได้ ดังเช่นที่ปรากฏในราโชมอน ที่มีการเข้าทรง ‘วิญญาณ’ ผู้เสียชีวิตเพื่อตามหาความจริงจากคดีฆาตกรรม และได้กลายเป็นข้อถกเถียงถึงความเที่ยงตรงของข้อเท็จจริงและความทรงจำ
‘ชาติ’ ต้องรักหรือต้องชัง
นอกจากความทรงจำอันเจ็บปวดของเหยื่อในเหตุการณ์สังหารหมู่ควังจูจะเป็นสารัตถะสำคัญของเรื่องแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ฮัน กังได้สอดแทรกเข้ามาภายในเรื่องคือ ‘ความเป็นชาติ’ ชาติในฐานะของความเป็นบ้าน และชาติในฐานะที่เป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง
ในบทแรกของนวนิยายมีการกล่าวถึงการจัดงานไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตด้วยการนำธงชาติมาคลุมไว้บนหีบศพ ก่อนที่จะนำศพไปประกอบพิธีอื่นๆ ต่อไป ในแง่หนึ่งได้สร้างความฉงนให้กับตัวละครในเรื่องอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุใดชาติในฐานะที่เป็นผู้ก่ออาชญากรรมดังกล่าว ถึงมีศักดิ์และสิทธิในการให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรมที่ชาติเป็นผู้ก่อ ความฉงนดังกล่าวย่อมเป็นตัวจุดประกายให้ผู้อ่านได้พิจารณาถึงความเป็นชาติอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ว่าชาติที่ฆ่าคนไปแล้ว ยังสมควรได้รับความรักต่อไปหรือไม่ หรือชาติสมควรเป็นสิ่งที่ถูกเกลียด นอกจากนี้ยังชวนให้ผู้อ่านได้นิยามความเป็นชาติในหลากมุมมอง ทั้งในมุมมองของเหยื่อและผู้กระทำ เพราะต่างฝ่ายต่างกระทำการในนามของ ‘ชาติ’
ในช่วงท้ายของเรื่องได้มีการกล่าวถึงชาติอีกครั้ง โดยเป็นการกล่าวถึงด้วยความเจ็บแค้นและความต้องการแก้แค้นให้กับเหยื่อที่เสียชีวิตจากการสังหารหมู่ ในทางกลับกันความปรารถนาที่ต้องการแก้แค้นชาติกลับเป็นปริศนาผ่านคำพูดของตัวละครอื่น “ลูกจะแก้แค้นประเทศชาติที่ฆ่าน้องของลูกได้ยังไง ลูกจะทำให้ประเทศชาติชดใช้ได้ยังไง”[3] สะท้อนให้เห็นถึงความลักลั่นในความเป็นชาติ หากพิจารณาว่าเราจำเป็นจะต้องแก้แค้นชาติเพื่อเหยื่อแล้วนั้น เราควรจะแก้แค้นที่ใคร ควรแก้แค้นนายทหารที่เป็นคนยิง แก้แค้นกับหัวหน้าของนายทหารที่เป็นคนยิง หรือควรเป็นผู้บัญชาการทหารที่รับผิดชอบปฏิบัติการปราบปรามดังกล่าว หรือในท้ายที่สุดแล้วควรจะเป็นนายพลช็อน ดู-ฮวัน ซึ่งเป็นผู้นำประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว
ด้วยความลักลั่นในความเป็นชาตินี้เอง ในมุมหนึ่งการแก้แค้นแทนชาติจำเป็นต้องคำถามว่าควรจะแก้แค้นอย่างไร และเยียวยาเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการสังหารหมู่และความรุนแรงดังกล่าวอย่างไร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในท้ายที่สุดเราอาจจะไม่ได้แก้แค้นชาติเพื่อเยียวยาเหยื่อ แต่มิได้หมายความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเหตุการณ์ที่ถูกฝังกลบและเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์และความทรงจำ
เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง สังเวียนสำคัญในการกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวคือ ‘ประวัติศาสตร์’ เพราะประวัติศาสตร์คือการจัดการกับเรื่องราวในอดีตโดยผู้คนในปัจจุบัน และเป็นการสร้างความทรงจำต่อเหตุการณ์หรือวัตถุในทางประวัติศาสตร์ให้มีร่วมกันในคนหมู่มาก ในแง่หนึ่งประวัติศาสตร์ย่อมสอดแทรกอุดมการณ์และแนวคิดบางอย่างในการพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การจัดการกับความรุนแรงที่เกิดในทางประวัติศาสตร์สามารถจัดการได้หลายรูปแบบ เช่น กรณีของเยอรมนีที่ยังคงมีท่าทีสำนึกผิดต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะล่วงเลยมากว่า 80 ปีแล้ว หรือกรณีของญี่ปุ่นที่มีการกล่าวถึงความเสียหายและการต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงคราม ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ดี ในกรณีของญี่ปุ่น แม้จะเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับความเสียหายจริงจากการทิ้งระเบิดปรมาณู แต่ในอีกด้านหนึ่ง ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้กระทำความรุนแรงกับชาติอื่นๆ ในเอเชียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน โดยหนึ่งในความรุนแรงที่ชัดเจนที่สุด คือ การสังหารหมู่ที่นานกิงโดยกองทัพญี่ปุ่น รวมไปถึงความรุนแรงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลีและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งความรุนแรงทั้งที่เกิดขึ้นในนานกิง คาบสมุทรเกาหลี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางการญี่ปุ่นไม่เคยแสดงออกถึงคำขอโทษมาต่อชาติที่เป็นเหยื่อจากความรุนแรงของตนแต่อย่างใด เฉกเช่นเดียวกับการจัดการกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ของทางการไทย ที่มีความอิหลักอิเหลื่อในการจัดวาง เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ที่มีตอนจบที่สวยงามกว่า
นอกจากการแสดงออกถึงท่าทีสำนึกผิด และความอิหลักอิเหลื่อของบางประเทศแล้วนั้น บางประเทศกลับเลือกใช้การ ‘ลบ’ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เช่น การสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ในประเทศจีน โดยรัฐบาลจีนได้ลบเหตุการณ์ดังกล่าวออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีน รวมถึงสั่งแบนภาพถ่ายและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นับเป็นเรื่องตลกร้ายที่การรำลึกถึงการสังหารหมู่ครั้งดังกล่าวมักจัดขึ้นในฮ่องกงและไต้หวัน ส่วนในประเทศจีนนั้นกลับกลายเป็นการแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สำหรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่เมืองควังจูในปี 1980 ฮัน กัง ได้กล่าวถึงการรำลึกและกล่าวถึงอย่างอ้อมๆ ผ่านตัวละครที่คอยอ่านและไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆ รวมไปถึงการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตผ่านการกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และมีความหวังว่าในท้ายที่สุดแล้วเหยื่อและผู้เสียชีวิตทั้งหมดจะได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งยังเป็นการสร้างความทรงจำร่วมกันผ่านประวัติศาสตร์เพื่อให้เหตุการณ์ไม่เลือนหายไปจากเกลียวคลื่นของกาลเวลา
แม้ Human Acts จะกล่าวถึงความรุนแรงและอาชญากรรมโดยรัฐในเกาหลีใต้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ผู้เขียนนึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่มิอาจลบเลือนให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทยได้ ในแง่หนึ่ง 6 ตุลาฯ เป็นเหตุการณ์ที่ยากที่จะลืมเลือน แต่กลับเป็นเหตุการณ์ที่ปวดร้าวเกินกว่าจะจดจำ
ผู้เขียนยังคงมีความปรารถนาที่จะเห็นวรรณกรรมไทยที่กล่าวถึง 6 ตุลาฯ อย่างตรงไปตรงมาแบบที่ฮัน กังได้เขียนไว้ในมนุษยทำ
[1] ธงชัย วินิจจะกูล, คำนำผู้เขียนฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง, พิมพ์ครั้งที่ 2, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2563), (23).
[2] สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Lawrence Langer, Holocaust Testimonies: The Ruins of Memories, (New Haven, CT: Yale University Press, 1991). ใน เรื่องเดียวกัน.
[3] ฮันกัง, มนุษยทำ, แปลโดย อภิชญา บุญกรินทร์, (กรุงเทพฯ: เพจ, 2568), 242.