ในขณะที่รัฐบาลกำลังจัดงาน Splash Soft Power Forum ระหว่าง 8–11 กรกฎาคมนี้ ที่กรุงเทพฯ เพื่อแสดงศักยภาพ 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยสู่สายตานานาชาติ ตั้งแต่มวยไทย อาหาร นวดแผนไทย ไปจนถึงดนตรี แฟชั่น และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สัญญาณจากยุโรปกลับไม่เป็นบวก วัฒนธรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ หากไร้กลไกเชิงนโยบายรองรับ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายชาติในยุโรป รวมถึง สหราชอาณาจักร ต่างประสบแรงกดดันจากพลเมืองของตนที่ไม่พอใจต่อจำนวนผู้อพยพและแรงงานต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าประเทศ ด้วยความรู้สึกว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับ ‘คนนอก’ มากกว่าประชาชนที่เกิดและเติบโตในชาติของตนเอง เรื่องนี้ส่งผลต่อกระแสการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีที่เห็นได้ชัดคือ พรรคเลเบอร์ ซึ่งเข้ามาบริหารประเทศครบหนึ่งปีเต็ม หลังเอาชนะพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่ปกครองมายาวนานถึง 14 ปี ได้เผชิญกระแสไม่พอใจจากประชาชนในวงกว้าง พ่ายแพ้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รัฐบาลต้องเร่งปรับนโยบายหลายด้าน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการแก้ไขกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ การนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากกระแสชาตินิยมในสังคม
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศถอด ‘นักนวดกีฬา’ (Sports Massage Therapist) ออกจากบัญชี Skilled Worker Visa หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ถอด ‘นักนวด’ (Massage Therapist) ออกไปแล้ว และทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพจากไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่สามารถขอวีซ่าทำงานในอังกฤษได้อีก ยกเว้นเฉพาะผู้ที่อยู่ในประเทศและต่ออายุใบอนุญาตเดิม การปรับแก้รายการอาชีพนี้ ไม่เพียงสะท้อนการลดระดับอาชีพนวดลงต่ำกว่ามาตรฐานแรงงานฝีมือ แต่ยังแสดงให้เห็นว่าซอฟต์พาวเวอร์ไทยกำลังถูกเบียดให้หลุดขอบการพิจารณาในนโยบายแรงงานของประเทศคู่ค้า
วัฒนธรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ
หากไร้กลไกเชิงนโยบายรองรับ
เพียงไม่ถึงสองเดือนหลังจากนั้น เหตุการณ์บุกตรวจร้าน Yonlada Thai Massage ในเมืองฮัดเดอร์สฟิลด์ ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ เมื่อเจ้าหน้าที่อังกฤษจับกุมหญิงไทย 4 รายที่ทำงานผิดกฎหมาย และควบคุมผู้ต้องหาอีก 2 คนในข้อหาแสวงหาผลประโยชน์จากการควบคุมการค้าประเวณี แม้การสอบสวนยังไม่สิ้นสุด แต่กระแสข่าวในอังกฤษกลับเชื่อมโยง ‘นวดไทย’ เข้ากับกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างเหมารวมและไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธุรกิจนวดไทยที่สุจริตทั่วประเทศ
หลังการจับกุม โฆษกกระทรวงมหาดไทยของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า “อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบเข้าเมืองอย่างเป็นระบบเป็นธุรกิจมูลค่าหลายล้านปอนด์ ซึ่งมีเครือข่ายทอดยาวตั้งแต่เส้นทางค้ามนุษย์จากแดนไกลนับพันไมล์ ที่ผู้คนถูกพาเข้ามาในประเทศของเรา ไปจนถึงถนนสายหลักในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหราชอาณาจักร ซึ่งคนเหล่านั้นจำนวนมากจบลงด้วยการทำงานอย่างผิดกฎหมาย
“ภายใต้แผน ‘Plan for Change’ รัฐบาลนี้กำลังเดินหน้าปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมดังกล่าวในทุกระดับที่มีการจ้างงานผิดกฎหมายเกิดขึ้น รวมถึงในร้านนวด และเร่งเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งกับแรงงานผิดกฎหมายและนายจ้างที่จ้างแรงงานเหล่านี้”
ภาพลักษณ์เช่นนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับปี 2562 องค์การยูเนสโก หรือ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ขึ้นทะเบียน นวดแผนไทย (Nuad Thai) เป็น ‘มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ’ (Intangible Cultural Heritage) เพื่อยืนยันคุณค่าทางวัฒนธรรมและการบำบัดที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แต่วันนี้ มรดกชิ้นนั้นกลับถูกลดสถานะในเชิงนโยบาย และถูกลดคุณค่าในสายตาของทางการอังกฤษ
ทางออกในระยะสั้น
เพื่อฟื้นฟูสถานะของวิชาชีพนวดไทย รัฐบาลไทยควรดำเนินการเจรจาทางการทูตกับสหราชอาณาจักรอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงวาระครบรอบ 170 ปีความสัมพันธ์ไทย–อังกฤษ ที่ควรเป็นโอกาสทองในการหันกลับมาทบทวนพันธกิจร่วมกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ แรงงาน และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพนวดไทยให้สอดคล้องกับข้อกำหนดระดับสากล รวมถึงการอบรมภาษาอังกฤษ และความรู้ทางกฎหมายให้แรงงานไทยที่ต้องการทำงานในต่างประเทศ
ทางออกในระยะกลาง
ความหวังในระยะยาวอยู่ที่การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไทย–สหราชอาณาจักร (FTA) ที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากไทยสามารถผลักดันให้รวมภาคบริการและการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออยู่ในข้อตกลงฉบับนี้ได้ ก็จะช่วยฟื้นสถานะของอาชีพนวดไทยให้กลับเข้าสู่บัญชีอาชีพที่ได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายอังกฤษอีกครั้ง
ข้อเสนอนี้ผู้เขียนได้ยื่นโดยตรงต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในระหว่างการประชุมกับนักธุรกิจไทย–อังกฤษ ณ กรุงลอนดอน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าบทบาทของเธอในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวาระนี้ให้เดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์
ซอฟต์พาวเวอร์จะไม่มีวันยั่งยืนได้ หากปราศจากนโยบายและความร่วมมือเชิงโครงสร้างรองรับ เพราะในโลกยุคใหม่ การยอมรับในวัฒนธรรมไม่ได้เกิดจากการชื่นชมเพียงผิวเผิน แต่ต้องเกิดจากความเชื่อถือ ความเชื่อมั่น และสถานะทางกฎหมายที่มั่นคง
เวที Splash Soft Power Forum จึงควรเป็นมากกว่าเวทีสร้างแรงบันดาลใจ แต่ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาทางการเมือง เศรษฐกิจ และแรงงาน ที่จะทำให้วัฒนธรรมไทยสามารถยืนหยัดอยู่บนเวทีโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี ทั้งในฐานะศิลปะ มรดก และอาชีพที่ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิสากล