ในนทีมีความหลัง – ความทรงจำของน้ำ-ชา

เมื่อนึกถึงฟินแลนด์ ในความคิดของผู้อ่านหลายๆ ท่าน อาจนึกถึงระบบการศึกษาที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก หรืออาจนึกถึงหมู่บ้านซานตาคลอสที่คอยตอบจดหมายจากเด็กๆ ทั่วโลก ในขณะที่วรรณกรรมหรือนวนิยายจากฟินแลนด์นั้นไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยมากนัก เนื่องด้วยกำแพงภาษาและการขาดแคลนนักแปล

ผู้เขียนได้รู้จักกับนวนิยายฟินแลนด์เป็นครั้งแรกผ่านเรื่อง สรรพสิ่งร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ไลบรารี่ เฮ้าส์ เมื่อปี 2567

ในปี 2568 สำนักพิมเดียวกันนี้ได้ตีพิมพ์นวนิยายจากฟินแลนด์อีกเล่มหนึ่งชื่อ ความทรงจำของน้ำชา แปลจากเรื่อง Teemestarin kirja (Memory of Water) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2555 เขียนโดยเอ็มมิ อิแตะรันตะ (Emmi Itäranta) แปลโดยวิกานดา คมปรัชญา ติโมเนน

นวนิยายดิสโทเปียจากฟินแลนด์

ดิสโทเปีย (Dystopia) เป็นหนึ่งในรูปแบบนวนิยายที่นักเขียนหลายท่านเลือกมาใช้ในการเขียน นักเขียนคนสำคัญอย่างจอร์จ ออร์เวล (George Orwell) เจ้าของนวนิยาย Nineteen Eighty-four ได้สร้างสังคมในโลกอนาคตให้ตกอยู่ใต้ระบอบเผด็จการอันโหดร้าย รัฐบาลควบคุมประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จผ่านการจับตาดูตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังมีผลงานจากปลายปากกาของนักเขียนหญิงชาวแคนาดานามมาร์กาเร็ต แอ็ตวูด (Margaret Atwood) ที่ได้ฝากผลงานอันเลื่องชื่ออย่าง The Handmaid’s Tale และ The Testaments ที่สร้างโลกในสังคมเผด็จการผ่านแนวคิดปิตาธิปไตยสุดโต่ง ทำให้ผู้หญิงเป็นเพียงแม่บ้านและเครื่องผลิตทารกเท่านั้น

ผลงานของทั้งสองมิได้ตั้งอยู่ในช่วงปัจจุบันสมัย หากแต่ตั้งอยู่ในอนาคตกาล และเป็นการมองไปยังโลกอนาคตแบบที่ไม่พึงปรารถนา

ความทรงจำของน้ำชา เป็นนวนิยายดิสโทเปียจากฟินแลนด์ที่เล่าถึงสังคมเผด็จการซึ่งเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมและการจัดสรรทรัพยากร ภายหลังจากที่โลกเข้าสู่วิกฤตภูมิอากาศ (climate change) กอปรกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน จนไม่สามารถทำให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นดังเดิมได้ ทรัพยากรที่จำเป็นหลายอย่างต้องถูกจำกัดและจัดสรรให้ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม และทำให้อำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางและบริหารโดยรัฐบาลกลาง แน่นอนว่าการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยรัฐย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการจริงของประชาชน และหนีไม่พ้นการค้าน้ำเถื่อน

เรื่องราวในนวนิยายเริ่มต้นขึ้นเมื่อนอเรีย ไกติโอะ ผู้เป็นบุตรสาวของปรมาจารย์ชา และมีแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ล่วงรู้ความลับที่ส่งต่อเฉพาะคนในครอบครัว ว่าที่บ้านของตนมีแหล่งน้ำพุบริสุทธิ์ในถ้ำท้ายหมู่บ้านที่รัฐยังมิได้เป็นเจ้าของ ในขณะเดียวกัน เธอยังมีทางเลือกที่จะสืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์ชาต่อจากบิดา หรือย้ายออกไปที่อื่นตามมารดาของตน

น้ำ ชา และความลับ

            “ต้องไปเข้าคุกเพราะอาชญากรรมน้ำ หรือปล่อยให้ครอบครัวตายเพราะหิวน้ำ[1]

ประโยคข้างต้นเป็นประโยคที่ผู้เขียนเห็นว่าสามารถแสดงถึงแก่นของเรื่องนี้ได้ดีที่สุด เพราะน้ำคือชีวิต และการขาดน้ำย่อมหมายถึงโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่น้อยลง อีกทั้งความสำคัญของน้ำยังถูกขับเน้นผ่านการชงชาด้วย โดยอิแตะรันตะเลือกใช้สิ่งที่คู่กันแต่กลับขัดแย้งกันบนพื้นฐานสังคมใหม่ในนวนิยาย กล่าวคือ เราสามารถรู้รสชาได้ผ่านน้ำ ซึ่งทำให้ชากับน้ำเป็นของคู่กัน ในทางกลับกัน ภายใต้สังคมที่ทรัพยากรน้ำมีจำกัดและการชงชาต้องใช้น้ำจำนวนมาก สองสิ่งนี้จึงขัดแย้งกัน ทำให้ชาถูกผลักไสให้กลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยไปโดยปริยาย

การชงชาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินเรื่อง และเป็นเครื่องมือสร้างความทรงจำและสืบทอดผ่านบันทึกของปรมาจารย์ชาประจำตระกูล ซึ่งจารึกความทรงจำและเหตุการณ์ไว้ราวกับเป็นประวัติศาสตร์ขนาดย่อมผ่านสายน้ำ และเป็นการสถาปนาความทรงจำร่วมกันในกลุ่มผู้สืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์ชาผ่านหยดน้ำ พร้อมกันนั้น การที่ครอบครัวไกติโอะได้ครอบครองแหล่งน้ำบริสุทธิ์ยังคงเป็นความลับที่สำคัญที่สืบทอดกันภายในตระกูล เธอต้องซุกซ่อนความลับนี้ให้รอดพ้นสายตาของรัฐบาลที่ต้องการเข้ายึดแหล่งน้ำบริสุทธิ์ทุกแห่ง เพราะหากทางการจับได้ เธอจะถูกดำเนินคดี ในโทษฐานที่เป็น ‘ผู้ก่ออาชญากรรมน้ำ’ ซึ่งเป็นโทษร้ายแรงในสังคมของเธอ

ของแปลกตา นานาสรรพสิ่ง

ของแปลกตาในที่นี้ ผู้เขียนจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ของแปลกตาสำหรับผู้อ่านและของแปลกตาสำหรับตัวละคร ซึ่งของเหล่านี้จะพาผู้อ่านเข้าไปสำรวจโลกใบเดิมในมุมที่ไม่รู้จัก และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ชักนำตัวละครหลักให้ไปในทิศทางที่ไม่อาจคาดคิด

สำหรับของแปลกตาสำหรับผู้อ่าน เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรถยนต์สุริยะและพอร์ตสื่อสาร สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มาจากเทคโนโลยีล้ำสมัยและใช้พลังงานสะอาด แม้ยังมิได้อุบัติขึ้นในโลกความเป็นจริง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของอิแตะรันตะที่มองไปยังโลกอนาคตว่าการใช้พลังงานสะอาดเป็นทางออกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน ของแปลกตาอีกอย่าง เช่นหมวกติดตาข่ายกันแมลง กลับสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงจนทำให้ภูมิภาคสแกนดิเนเวียที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นกลายเป็นเขตร้อน อีกทั้งยังมีแมลงเป็นจำนวนมาก จนการออกไปภายนอกเคหสถานจำเป็นต้องสวมหมวกอยู่เสมอเพื่อป้องกันการรบกวนจากแมลง ซึ่งเป็นตลกร้ายสำหรับผู้อ่านเช่นกัน

ในทางกลับกัน ของแปลกตาสำหรับตัวละครในเรื่องมิใช่ของอื่นไกล หากแต่เป็นสิ่งของที่คนในปัจจุบันคุ้นเคย เช่น แผ่นซีดี เศษซากสิ่งของที่กลายเป็นขยะกองโต อิแตะรันตะพยายามชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงวัฒนธรรมการบริโภคและปัญหาการจัดการขยะ โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยาก และมีมากเกินความต้องการจนสร้างภาระให้ชนรุ่นหลัง

นอกจากนี้ ยังมีข้าวของต่างๆ อีกหลายชิ้นที่เป็นของสามัญทั้งในโลกปัจจุบันและโลกของตัวละคร การปรากฏของพลาสติกหลายครั้งนอกจากในกองขยะพลาสติก ยิ่งตอกย้ำปัญหาพลาสติกที่มีมากมาย ในขณะที่วัสดุประเภทอื่นๆ ทั้งไม้และโลหะกลับกลายเป็นสินค้าหายากและมีราคาแพง สะท้อนให้เห็นการสูบเอาทรัพยากรธรรมชาติไปใช้อย่างไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ

ก่อนจากกัน

นวนิยายเรื่องนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่ผู้เขียนขอไม่กล่าวถึง เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้ลิ้มรสจากการอ่านด้วยตนเอง แต่โดยทรรศนะส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ได้ออกแบบรูปธรรมของสังคมภายหลังจากที่วิกฤตภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ไปถึงจุดที่มิอาจหันหลังกลับ และอาจเป็นปลายทางของอารยธรรมมนุษย์หากยังมิได้ใส่ใจแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

แม้ว่าประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอาจมิใช่ประเด็นใหญ่เมื่อเทียบกับการเมืองและเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤตมากมายในปัจจุบัน หากแต่ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจอย่างช้าๆ จนในท้ายที่สุดก็จะกลับมาเล่นงานมนุษย์เข้าอย่างจังอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ อิแตะรันตะยังได้สร้างความหลากหลายทางวัฒนธรรมขึ้นในสังคมเผด็จการ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้เขียนอยู่ไม่น้อย เพราะความหลากหลายดังกล่าวมิใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยนักในสังคมเผด็จการและนวนิยายดิสโทเปีย

แม้ว่าในปัจจุบันจะมิมีผู้ใดล่วงรู้ความลับและความเป็นไปของมนุษยชาติ (หากจะมีผู้ใดล่วงรู้ คงเป็นการหลอกลวง กล่าวอย่างเลื่อนลอย และอาศัยความงมงายเป็นเครื่องมือ) เพราะเป็นสิ่งที่ผู้อ่านทุกท่านจำเป็นต้องร่วมกันลิขิต และคงมิมีผู้ใดปรารถนาที่จะเห็นชนรุ่นหลังต้องประสบกับสิ่งที่อิแตะรันตะได้เขียนไว้ในนวนิยายเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนปรารถนาให้ผู้อ่านทุกท่านทำหลังจากที่อ่านความทรงจำของน้ำชาจบลงแล้ว คือการกลับไปอ่านบทนำของนวนิยายเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เห็นความสมบูรณ์ในเนื้อเรื่องของนวนิยาย


[1] เอ็มมิ อิแตะรันตะ, ความทรงจำของน้ำชา, แปลโดย วิกานดา คมปรัชญา ติโมเนน, (ปทุมธานี: ไลบรารี่ เฮ้าส์, 2568), 180.

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save