ผู้เขียนได้รู้จักกับเทรซี เชวาเลียร์ เป็นครั้งแรกผ่านนวนิยาย ‘เพียงหนึ่งไจเดียว’ (A Single Thread) ซึ่งได้สร้างความประทับใจที่ตราตรึงแก่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อทราบว่าทางสำนักพิมพ์ไลบรารี่ เฮ้าส์ จะตีพิมพ์นวนิยายของเชวาเลียร์เพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง ผู้เขียนจึงไม่ลังเลที่จะหาซื้อมาอ่าน
‘บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง’ แปลจากนวนิยายภาษาอังกฤษในชื่อ Remarkable Creatures ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009) ก่อนได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทยใน พ.ศ.2568 ด้วยจุดเด่นของเชวาเลียร์ที่หยิบใช้เรื่องราวและช่วงเวลาต่างๆ ในโลกความเป็นจริงมาเป็นฉากหลัง พร้อมปรุงแต่งความสัมพันธ์อย่างลับๆ ระหว่างตัวละคร ทำให้ ‘บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง’ กลายเป็นนวนิยายที่ผสมผสานองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งจากประวัติศาสตร์ และจินตนาการได้เข้ากันอย่างลงตัว
นวนิยายเรื่องนี้เริ่มต้นช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของอังกฤษอย่างเมืองไลม์ รีจิส (Lyme Regis) ที่ค่อยๆ มีชื่อเสียงจากการค้นพบฟอสซิลสัตว์โบราณหลายชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว โดยคนท้องถิ่นเรียกฟอสซิลเหล่านี้ว่า ‘หินประหลาด’
การค้นพบหินประหลาดเป็นสิ่งที่ชักจูงให้นักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และคนที่ชอบสะสมของแปลกเข้ามาในเมืองมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมไปถึงเอลิซาเบธ ฟิลพอต (Elizabeth Philpot) สาวเทื้อชนชั้นกลางชาวลอนดอนที่สนใจศึกษาหินประหลาด และได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในไลม์ รีจิส พร้อมพี่สาวน้องสาว เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัว ซึ่งระหว่างที่เอลิซาเบธออกตามหาหินประหลาดริมทะเล เธอได้พบกับสาวชาวบ้านผู้มีความสามารถพิเศษในการตามหาหินประหลาดนาม แมรี แอนนิง (Mary Anning)
การพบกันในครั้งนั้นพัดพาให้เธอทั้งสองได้ออกไปพานพบกับผู้คนมากหน้าหลายตา และสัมพันธ์กับหินประหลาดที่พวกเธอพบอีกมากมาย
หินประหลาดที่ท้าทายพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อกล่าวถึงฟอสซิล ผู้คนส่วนใหญ่มักนึกถึงภาพโครงกระดูกขนาดใหญ่ของสิ่งมีชีวิตโบราณที่ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ พร้อมชื่อประหลาดๆ ที่มักจะลงท้ายด้วยซอรัสอยู่เสมอ หรือไม่ก็นึกถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ที่อาจเข้ามาช่วยอธิบายถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตโบราณในอดีต แต่สิ่งที่เชวาเลียร์ตั้งใจนำเสนอนั้นเป็นการอธิบายถึงที่มาของหินประหลาดเหล่านี้ในยุคก่อนที่จะมีคำอธิบายของดาร์วินเข้ามารองรับ
โดยภายหลังจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ได้เกิดระลอกการศึกษาธรรมชาติขึ้นมาขนานใหญ่ เพื่อทำความเข้าใจพระเจ้าให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น สำหรับการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกับฟอสซิลในยุคแรกเริ่มนั้นสัมพันธ์กับการศึกษาธรณีวิทยา ซึ่งตั้งต้นจากการศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกและการหาอายุของโลก
อย่างไรก็ดี การศึกษาในประเด็นดังกล่าวมิใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวเนื่องกับอายุโลกในขณะนั้นมีเพียงแหล่งเดียวคือพระคัมภีร์ไบเบิล ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พระเจ้าได้ใช้เวลาในการสร้างโลก 7 วัน หลังจากนั้นก็มิได้มีการสร้างสิ่งใดขึ้นมาอีก
ภายใต้กรอบของการหาอายุโลกตามบทในพระคัมภีร์ กลายเป็นปัญหาและถูกตั้งคำถามเมื่อมีการค้นพบฟอสซิลและหินประหลาด เนื่องจากเมื่อนำฟอสซิลเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันจะพบว่ามิได้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ทำให้นักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และปัญญาชน เริ่มตั้งคำถามว่าในท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงสร้างโลกเพียงหนึ่งครั้งตามที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์จริงหรือไม่ และในการสร้างสิ่งมีชีวิตของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสรรค์ให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะอย่างที่เราเห็นมาตั้งแต่แรกเลยหรือไม่
ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างของบรรดาผู้ศึกษาและผู้ที่สนใจ ณ ช่วงเวลาขณะนั้น เหตุที่ประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะการศึกษาวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นยังคงยึดโยงกับการมองว่าธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ดังนั้นการศึกษาสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องย่อมเป็นไปเพื่อทำความเข้าใจพระเจ้า แต่การค้นพบฟอสซิลและหินประหลาดกลับสั่นคลอนความเชื่อและความศรัทธาต่อพระเจ้า กล่าวคือ คนต้องยอมรับในความผิดพลาดของพระเจ้า ซึ่งอาจลุกลามไปถึงการมองว่าพระเจ้ามิได้มีตัวตนอยู่จริง และความท้าทายดังกล่าวเป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ภายหลังจากการค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน
เชวาเลียร์ได้ถ่ายทอดบรรยากาศการถกเถียงในแวดวงวิชาการและปัญญาชนช่วงต้นศตวรรษที่ 19 และสังเคราะห์ความคิดของผู้คนที่เริ่มหวั่นใจและเริ่มมองเห็นทางแยกระหว่างพระเจ้า กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในทางธรณีวิทยาผ่านตัวละครนำของเรื่อง โดยความขัดแย้งดังกล่าวได้กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นขัดแย้งสำคัญที่ทำให้เนื้อเรื่องเดินหน้าต่อไป ความสงสัยจะถูกตอบโดยบุคคลที่แตกต่างกันด้วยพื้นเพและภูมิหลัง ซึ่งไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว คำตอบของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร สิ่งที่สำคัญที่เชวาเลียร์ต้องการขับเน้นผ่านเรื่องราว คือ ‘ความแปลกแยก’ ของตัวละครนำที่เริ่มถอยออกห่างจากบรรทัดฐานทางสังคม
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้ตอนจบของความขัดแย้งระหว่างหลักฐานทางธรณีวิทยาและความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว แต่ผู้เขียนมองว่าสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเรียนรู้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง คือการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าใจถึงที่มาขององค์ความรู้ต่างๆ ว่ามิใช่สิ่งที่ลอยลงมาจากฟากฟ้า หรือได้รับการค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์สักคนแบบไม่มีบริบทแวดล้อม ซึ่งนิยายเรื่องนี้ก็สะท้อนแง่มุมพัฒนาการต่อสู้ทางความรู้วิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาหนึ่งได้เป็นอย่างดี
ย่างก้าวของผู้หญิงในโลกวิชาการ
ประเด็นอีกเรื่องที่ ‘บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง’ ให้ความสำคัญ คือที่ยืนของผู้หญิงในโลกวิชาการ เนื่องจากตัวละครนำทั้งสองเป็นผู้หญิง และมีบทบาทสำคัญในการค้นหาฟอสซิล อีกทั้งยังติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิชาการชายที่เข้ามาศึกษาในไลม์ รีจิส เป็นระยะๆ เชวาเลียร์ได้ให้ความสำคัญกับการนำเสนอประเด็นพื้นที่ของผู้หญิงในโลกวิชาการมากอยู่พอควร ผ่านการกล่าวถึงหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเรื่องที่การค้นพบซากฟอสซิลของตัวละครนำทั้งสองเริ่มส่งอิทธิพลเป็นวงกว้างต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยา
แม้จะค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญอันเป็นรากฐานในการศึกษา แต่การให้เครดิตแก่ฝ่ายหญิงยังมิอาจเป็นไปอย่างเอิกเกริกนัก เนื่องด้วยวงวิชาการในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยังเต็มไปด้วยผู้ชาย และการศึกษาของสตรียังคงถูกจำกัด พวกเธอถูกคาดหวังให้ดูแลเรื่องงานบ้านงานครัวเสียมากกว่า ดังนั้น การที่ผู้หญิงจะออกมามีบทบาทนอกเหนือจากพื้นที่บ้าน อย่างในแวดวงวิชาการ จึงมิใช่เรื่องง่ายที่จะได้การยอมรับในยุคสังคมปิตาธิปไตยเข้มข้น
เชวาเลียร์ได้สะท้อนให้เห็นบรรยากาศความเป็นปิตาธิปไตยในโลกวิชาการ และการพยายามประนีประนอมของผู้หญิงสมัยนั้น ผ่านตัวละครฟิลพอตที่เลือกบริจาคซากฟอสซิลบางชิ้นให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษ โดยไม่ออกชื่อต้นของตนเพื่อลดแรงเสียดทานจากสังคม อย่างไรก็ตาม ฟิลพอตกับแอนนิงก็ยังให้ความสำคัญกับการได้รับเครดิตในฐานะผู้ค้นพบ เพราะทั้งคู่ศึกษาที่ไลม์ รีจิส มาโดยตลอด และความเป็นจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ คือพวกเธอทั้งสองเป็นผู้บุกเบิกองค์ความรู้เกี่ยวกับหินประหลาดในขั้นต้น มิใช่นักธรณีวิทยาชายที่แวะมายังเมืองเพียงครั้งคราว
ในการแก้ปัญหาดังกล่าว เชวาเลียร์ได้ฉายภาพการตอบรับของผู้ชายแต่ละคนภายในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ท่าทีปิดกั้น รับฟังอย่างเข้าใจ แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ และท้ายที่สุด เชวาเลียร์ได้แสดงวิธีการแก้ปัญหาโดยอยู่ในจุดกึ่งกลางที่ทั้งสองสาวและนักธรณีวิทยาหนุ่มสามารถยอมรับร่วมกันได้ (ในที่นี้ผู้เขียนขอละเอาไว้เพื่อให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ตรงจากการอ่าน)
หากมองด้วยสายตาแบบคนปัจจุบัน ผู้เขียนยังคงเห็นว่าวิธีการดังกล่าวยังเป็นวิธีการที่เห็นแก่ตัวสำหรับฝ่ายชายมากเกินไป แต่กระนั้น นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวสำคัญที่ชื่อของผู้หญิงเริ่มได้รับการกล่าวถึงในโลกวิชาการ เริ่มลดแรงเสียดทานจากสังคมที่ผู้หญิงเริ่มออกมาจากบ้านและครัว
ส่งท้าย
ตัวละครส่วนใหญ่ที่ปรากฏในเรื่อง คือบุคคลจริงที่มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ และเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ในภายหลัง โดยเชวาเลียร์ได้กล่าวในบทส่งท้ายของนวนิยายเรื่องนี้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ภายในเรื่องบางส่วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่มีการดัดแปลงเล็กน้อยเพื่ออรรถรสในการอ่าน
เมื่อผนวกเข้ากับจินตนาการและฝีมือในการถ่ายทอดอารมณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครออกมาอย่างน่าประทับใจ ทำให้ ‘ บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง’ ถือเป็นจุดบรรจบระหว่างสายวิทย์และสายศิลป์ที่ดีเยี่ยมอีกเล่มหนึ่ง
อ้างอิง
เทรซี เชวาเลียร์, บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง, แปลโดย รสวรรณ พึ่งสุจริต, (ปทุมธานี: ไลบรารี่ เฮ้าส์, 2568), 377-378.
ศุภวิทย์ ถาวรบุตร, ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ยิปซี, 2563), 233-234.