‘งูเห่า’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ทางการเมือง หลายพรรคดูต้องเจอกับ สส. ซึ่งผันตัวเป็นงูเห่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่ากันว่าถ้าเจองูต้องตีให้ตาย คำถามคืองูเห่าทางการเมืองต้องตีอย่างไรถึงจะตายเหรอคะ (ปล. ไม่ใช่ตายแบบนั้นนะคะ หมายถึงหมดสิ้นไปจากการเมืองไทยน่ะค่ะ!) – ถิงถิง
ตอบคุณถิงถิง
คนที่จะตีงูเห่าไม่ใช่ใครอื่น มันต้องเป็นพวกเรานี่แหละครับ
คำว่า ‘งูเห่า’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ทางการเมืองอย่างคุณว่า เท่าที่ค้นมาคือคำนี้มีความหมายเปรียบเปรยถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่ลงมติขัดหรือฝืนมติพรรคที่สังกัด โดยเป็นการฝืนมติพรรคเพื่อผลประโยชน์จากอีกฝ่าย โดยบุคคลแรกที่พูดคำนี้ออกสื่อจนกลายเป็นศัพท์ทางการเมืองที่ใช้กันจนทุกวันนี้ คือสมัคร สุนทรเวช สมัยที่ยังเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย
ย้อนกลับไปปี 2540 เมื่อ สส.กลุ่มปากน้ำที่นำโดยวัฒนา อัศวเหม โหวตให้ชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามของสมัครในตอนนั้น สมัครจึงกล่าวกับนักข่าวประมาณว่า “ตนเป็นเหมือนชาวนาซึ่งรับงูเห่ามาไว้ในอ้อมอก แต่แล้วก็โดนงูเห่า (สส.กลุ่มปากน้ำนี่แหละ) แว้งกัด”
คำว่า ‘งูเห่า’ ทางการเมืองจึงเกิดขึ้นตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อน ลุงว่าพฤติกรรมตระบัดสัตย์แบบนี้อาจเกิดก่อนเหตุ สส. กลุ่มปากน้ำ เพียงแต่ยังไม่มีใครบัญญัติคำขึ้นเรียกอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งเรื่องมาเกิดกับนักการเมืองฝีปากกล้าอย่างสมัคร คำว่า ‘งูเห่า’ จึงเกิดขึ้นในโลกการเมืองไทยนับแต่นั้น
ต้องยอมรับว่าคำว่า ‘งูเห่า’ ของสมัครถือเป็นคุณูปการหนึ่งที่ฝากไว้ให้การเมืองไทย คำนี้ทั้งประจุแน่นด้วยความหมาย ฟังปุ๊บเข้าใจปั๊บ ทั้งเจ็บแสบและใช้งานง่าย ถือเป็นผลงานคลาสสิกโดยแท้
เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งมีตัวอย่างของการตีงูเห่า ตีแล้วตายหรือเปล่านั้นไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ คือเจ็บหนักอยู่
จำ ศรีนวล บุญลือ ได้ใช่มั้ยครับ
เธอเข้าสู่เวทีการเมืองระดับประเทศด้วยการเป็น สส.เลือดใหม่ สังกัดพรรคอนาคตใหม่ มาจากจังหวัดเชียงใหม่ หน้าซื่อๆ ลีลาชาวบ้าน แถลงในสภาด้วยคำเมือง เธอเข้ามาเป็น สส. สังกัดพรรคอนาคตใหม่ด้วยคะแนนท่วมท้น โดยมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจลงพื้นที่ช่วยหาเสียง
แต่แล้วเมื่อมีการโหวตลงมติในสภาเมื่อปี 2562 เรื่องการโอนอัตรากำลังและงบประมาณของกองทัพให้อยู่กับหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เธอกับ สส.พรรคอนาคตใหม่อีกสามคนกลับโหวตสวนมติและแนวทางของพรรคอนาคตใหม่ กอปรกับมีพฤติกรรมอื่นๆ จึงถูกขับออกจากพรรคในที่สุด
ศรีนวลโดนพรรคภูมิใจไทย ‘ดูด’ (นี่ก็เป็นศัพท์การเมืองไทยอีกคำที่น่าสนใจ) ไปอยู่ในสังกัด และในสนามเลือกตั้งครั้งต่อมา ศรีนวลในนามพรรคภูมิใจไทยแพ้คู่แข่งจากพรรคพลังประชารัฐขาดลอย คือคู่แข่งได้คะแนนราว 31,000 เสียง ศรีนวลได้ไม่ถึง 13,000 เสียง ทั้งที่สมัยลงสนามเลือกตั้งกับพรรคอนาคตใหม่ เธอเคยได้คะแนนสูงถึง 75,891 เสียง (โดยเจ้าตัวบอกเองระหว่างให้สัมภาษณ์กับแขก คำผกาว่าเป็นคะแนนสูงสุดของทั้งประเทศ)
คะแนนเสียงจากประชาชนที่หายไปกว่า 50,000 เสียงคือไม้ตีงูเห่าครับ ให้มันรู้กันไปว่าคุณไม่สามารถหากินกับงานการเมืองได้ถ้าทำตัวแบบนี้
จริงไหมครับที่คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มเป็นอนุรักษนิยมมากขึ้น เทรนด์จากต่างประเทศก็ดูจะพูดกันแบบนั้น – กาย
ตอบคุณกาย
น่าจะเป็นจริงครับ ถ้าเราดูแนวโน้มจากต่างประเทศ อย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา พบว่าคนอเมริกันอายุน้อยโหวตให้ทรัมป์มากกว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้ว (การเลือกตั้งสองครั้งห่างกันราวสิบปี) ซึ่งสถิติระบุว่าคะแนนเสียงของทรัมป์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นคะแนนจากกลุ่มเจนซี เพศชาย ผิวขาว ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย คือจัดว่าเป็นชนชั้นแรงงาน (working class)
สาเหตุมีหลายอย่างด้วยกัน อาจเป็นเพราะคราวนี้พรรครีพับลิกันวางกลยุทธ์หาเสียงในสื่อออนไลน์อย่างถึงพริกถึงขิง (เน้น tiktok เป็นพิเศษ) อาจเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่หลังช่วงโควิดที่ทำให้คนเริ่มละเลยสิ่งที่เป็นอุดมคติ แล้วหันมาสนใจอะไรที่ชัดเจน ใกล้ตัว และจับต้องได้ ซึ่งทรัมป์เก่งในเรื่องนี้ กล่าวคือการพูดและใช้ภาษาที่เข้าหูชาวบ้าน จนถึงพฤติกรรมเจ้าพ่อในระดับที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
หรืออาจเป็นเพราะกลุ่มเจนซีมีลักษณะเฉพาะของการโตมากับสื่อออนไลน์อย่างเข้มข้น (จนพวกเดียวกันเองยังบ่นเลยว่าทำไมเจนซีจึงน่าเบื่อปานนี้ เหล้าไม่ดื่ม บาร์ไม่เที่ยว ทำอะไรก็ต้องถูกต้องดูดี ไม่งั้นอาจซวยโดนแคนเซิลเอาง่ายๆ) – อาจเป็นเพราะคนหนุ่มที่เติบโตมาในวัฒนธรรม woke เกิดความหวั่นไหวและไม่มั่นใจ เพราะสถานะของตัวเองกำลังถูกท้าทาย ฯลฯ
กระแสนี้เกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปด้วย ผู้นำใหม่ๆ สายอนุรักษนิยมก็ได้คะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ไม่น้อยเลย
ในเมืองไทย เรามักจะคิดว่าคนที่มีความคิดอนุรักษ์น่าจะเป็นบูมเมอร์หรือคนรุ่นเก่า กลายเป็นว่าคนรุ่นเก่าของฝรั่งจำนวนไม่น้อยคือลิเบอรัลที่ผ่านการต่อสู้เพื่อสิทธิทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยโดนตัดตอนจนเป็นการเติบโตชนิดกระท่อนกระแท่นอย่างของเมืองไทย
อยากถามเพิ่มเล่นๆ ว่าคนรุ่นใหม่ไทยจะมีแนวโน้มเป็นอนุรักษนิยมหรือไม่ ลุงขอตอบเองว่าไม่น่านะครับ
สตีเฟน ฟราย นักแสดงและนักเขียนชาวอังกฤษเคยกล่าวไว้เกี่ยวกับกระแสอนุรักษนิยมของโลก ในทำนองว่าการอุบัติของกระแสอนุรักษนิยมนั้น สาเหตุหนึ่งมันมาจากกระแสก้าวหน้า พูดง่ายๆ คือคนหันมาซบฝ่ายขวา เพราะกลัวความอหังการของฝ่ายซ้ายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
อย่างกระแส woke ซึ่งนำด้วยความถูกต้องทางการเมือง (PC) และต้องการปลดแอกทางด้านวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายที่คนชายขอบหรือคนที่มีโอกาสน้อยกว่าผู้อื่นในสังคม นอกจากนี้ woke ไม่ใช่แค่กระแสสังคม แต่ยังเป็นนโยบายของรัฐอีกด้วย กระแส woke ทำงานท่ามกลางความสับสนและสงสัยของคนส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีข้อดีในแง่ของการเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ขึ้นสำหรับคนที่เสียโอกาสมาตลอด แต่กระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ยังทำงานได้ไม่ถึงไหน ทรัมป์ก็ชนะการเลือกตั้งเสียก่อน
คำสั่งแรกๆ ของทรัมป์หลังได้รับตำแหน่ง คือให้ลบวาทกรรมกระแส woke ในเอกสารราชการ (ไม่ต้องพูดถึงนโยบาย อันนั้นเปลี่ยนแน่ๆ) อย่างเช่นคำว่า inclusive, diversity, LGBTQ หรือ transgender ซึ่งเป็นคำที่หมายรวมถึงความหลากหลาย คำพวกนี้โดนลบออกจากสารบบทั้งหมดครับ อันนี้เป็นมาตรการที่น่าจะได้ใจคนที่ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์เพราะความไม่แน่ใจในสถานะของตัวเอง (ภายใต้โครงสร้างสังคมซึ่งตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ)
สตีเฟน ฟราย พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “น่าเสียดายที่ฝ่ายซ้ายเราบางทีก็เห็นอุดมการณ์สำคัญกว่าสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ชัดเจน” เพื่อนลุงที่ฝั่งยุโรปบอกว่าเมื่อสหภาพยุโรปออกกฎหมายแบนระฆังที่ชาวนาเอาไว้ผูกคอวัว (ไอ้ระฆังนี้เสียงดังข้ามเขาเลยทีเดียว ตรรกะคือเขาคิดแทนวัวกลัวมันจะหูตึง) เพื่อนซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายพูดเลยว่านี่มันบ้ากันใหญ่แล้ว ระฆังที่คอวัวมีไว้ให้ชาวนารู้ว่าวัวของตัวเองอยู่แถวไหน ซึ่งไม่ทราบว่าเขาแก้ปัญหาด้วยการฝังชิปติดตามวัวหรืออย่างไร
ส่วนเมืองไทยสมัยหนึ่ง มีกระแสการเมืองประชาธิปไตยก้าวหน้าของนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งประกาศการมาของวัฒนธรรมใหม่อย่างชัดเจนและแข็งกร้าว จนสังคมเริ่มมองด้วยความไม่แน่ใจ และเกิดการปลุกกระแสต่อต้านในหมู่นักศึกษาอาชีวะ (แต่เด็กช่างฝ่ายซ้ายก็มีนะ) จนเป็นหนึ่งในเครื่องมือบดขยี้ขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาในที่สุด
ตั้งแต่ลุงเกิดมาเป็นตัวเป็นคน เมืองไทยตอนนี้อนุรักษนิยมที่สุดที่เคยเห็น คือมันอนุรักษนิยมอยู่แล้ว เป็นไปได้ยากที่คนรุ่นใหม่ไทยจะหันมาเป็นสายอนุรักษนิยม เพราะอีกไกลกว่าบ้านเมืองเราจะไปถึงจุดนั้น
ขออนุญาตฝากบรรดาผู้ใหญ่ที่อยากได้คนรุ่นใหม่มาเป็นแนวร่วมอนุรักษนิยมหน่อยนึงนะครับ ว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้านะครับท่าน คนวัยท่านแอคทีฟได้อีกสิบปีก็หรูแล้ว และจะให้ดีล่ะก็ ท่านควรปล่อยให้บ้านเมืองคลี่คลายจนกลายเป็นสังคมที่นำโดยอุดมการณ์ฝ่ายก้าวหน้า
ปล่อยให้พรรคก้าวไกลชนะแล้วดำเนินการตามครรลองสิครับ ปล่อยให้เขาดำเนินนโยบายต่างๆ ตามที่สัญญาไว้กับประชาชนที่เลือกเขามาสิครับ ปล่อยให้นโยบายเหล่านั้นดำเนินไปจนเป็นรูปธรรม มันอาจเกิดสิ่งที่คล้ายกระแส anti-woke ขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]