เทรซี เชวาเลียร์นักเขียนสตรีชาวอเมริกัน ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับ Girl with a Pearl Earring นิยายลำดับที่ 2 ของเธอเมื่อปี 1999 จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โด่งดังไปทั่วโลก
หลังจากนั้นเทรซี เชวาเลียร์ยังคงทำงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยจังหวะเวลาค่อนข้างแน่นอนสม่ำเสมอ ตกราวๆ 2-3 ปีต่อ 1 เรื่อง จนถึงปัจจุบันเธอเขียนนิยายมาแล้ว 11 เรื่อง
แม้จะไม่มีเรื่องใดโด่งดังเปรี้ยงปร้างครึกโครมระดับมหาฮิตเหมือนอย่าง Girl With a Pearl Earring อีกเลย แต่ยอดขายก็อยู่ในขั้นน่าพึงพอใจ และได้รับคำวิจารณ์ที่ดี มีมาตรฐานคุณภาพไว้เนื้อเชื่อใจได้
Remarkable Creatures เป็นผลงานลำดับที่ 6 ของเธอ (ฉบับภาษาอังกฤษตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2009) ส่วนฉบับภาษาไทยซึ่งตั้งชื่อว่า ‘บรรพชีวินไม่สิ้นความพิศวง’ เพิ่งพิมพ์ออกมาเมื่อปีกลาย และเป็นนิยายเรื่องที่ 3 ของเธอในพากย์ภาษาไทย
เช่นเดียวกับ Girl with a Pearl Earring และ A Single Thread นิยาย 2 เรื่องก่อนหน้าที่มีการแปลเป็นภาษาไทย (สองเรื่องนี้ ผมเคยหยิบมาเขียนแนะนำแล้ว สามารถติดตามอ่านย้อนหลังได้ครับ) Remarkable Creatures ยังคงมีจุดร่วมสำคัญตรงกัน นั่นคือเป็นนิยายที่เขียนขึ้นโดยอิงกับเหตุการณ์และบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง
Girl with a Pearl Earring เล่าถึงตัวเอกหญิงสาว ซึ่งเป็นตัวละครสมมติที่จินตนาการขึ้น ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นสาวรับใช้ในบ้านของโยฮันเนส เฟอร์เมียร์ หรือในอีกชื่อที่คุ้นปากเช่นกันคือ ยาน เฟอร์เมียร์ จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในยุคสมัยที่ต่อมาเรียกขานกันว่า Dutch Golden Age painting และเกิดความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดซับซ้อน กลายเป็นเบื้องหลังจุดกำเนิดของภาพเขียนลือนาม (ชื่อเดียวกับนิยาย) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซชิ้นหนึ่งของโลกศิลปะ และได้รับสมญาว่าเป็น ‘โมนา ลิซาแห่งแดนเหนือ’
A Single Thread เป็นเรื่องราวในอังกฤษปี 1932 เล่าถึงชีวิตของหญิงสาวชื่อไวโอเล็ต ผู้ถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้หญิงส่วนเกิน’ (surplus women) อันเป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้บุรุษชาวอังกฤษเสียชีวิตประมาณ 700,000 คน อัตราส่วนระหว่างประชากรชายหญิงจึงเกิดความเหลื่อมล้ำ เสียสมดุล ผู้หญิงจำนวนมากสูญเสียโอกาสที่จะแต่งงาน ชีวิตได้รับผลกระทบ
ในสภาพและบรรยากาศทางสังคมเช่นนี้เอง ไวโอเล็ตได้พบกับการเย็บปักลวดลายเบาะรองนั่งในมหาวิหารของเมืองวินเชสเตอร์ จนตัดสินใจสมัครเข้าร่วมกลุ่มช่างปัก และได้พบกับหลุยซา เพเซล (Louisa Pesel) ช่างปัก นักการศึกษา และนักสะสมสิ่งทอ (ซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง) จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งสำคัญ
นิยายสองเรื่องข้างต้น เทรซี เชวาเลียร์ใช้วิธีสร้างบุคคลในจินตนาการขึ้นมาเป็นตัวเอก แล้วโลดแล่นเข้าไปมีบทบาทดำเนินเรื่องในเหตุการณ์จริง Remarkable Creatures แตกต่างออกไปตรงที่เรื่องนี้ ตัวเอกซึ่งทำหน้าที่เล่าเรื่องทั้งสองคน ล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในอดีตสมัย นั่นคือ แมรี แอนนิง และเอลิซาเบธ ฟิลพอต
เริ่มที่เอลิซาเบธ ฟิลพอต (ค.ศ.1779 ถึง 1857) ก่อนนะครับ เธอผู้นี้เป็นนักสะสมฟอสซิล นักบรรพชีวินวิทยาสมัครเล่น และศิลปิน ปัจจุบันเธอเป็นที่รู้จักมากสุด ในแง่มุมที่เคยร่วมงานและมีมิตรภาพความผูกพันแน่นแฟ้นกับแมรี แอนนิง นักล่าฟอสซิลชื่อดัง
นอกเหนือจากนี้เอลิซาเบธ ฟิลพอต ยังเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธรณีวิทยาจากความรู้เกี่ยวกับปลาฟอสซิล รวมถึงคอลเลกชันตัวอย่างชั้นดีมากมายที่เธอสะสมรวบรวมมาตลอดชีวิต
แมรี แอนนิง (ค.ศ.1799 ถึง 1847 เทียบเคียงง่ายๆ คือเธอมีชีวิตอยู่ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3) เป็นนักสะสม นักล่าฟอสซิล ในสมัยที่คำศัพท์ ‘บรรพชีวินวิทยา’ ยังไม่ถือกำเนิด ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เธอน่าจะเป็นนักบรรพชีวินวิทยาสตรีคนแรกด้วยนะครับ การค้นพบฟอสซิลทางทะเลของเธอส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อแวดวงวิชาการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในวันเวลาที่แมรี แอนนิงยังมีชีวิต การค้นพบเหล่านี้อาจช่วยให้เธอพอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างจริงจังในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นที่ยกย่องให้เกียรติ ไม่ได้เครดิตความดีความชอบอย่างที่สมควรจะได้รับ ย่ำแย่กว่านั้น เธอยังถูกกีดกันจากแวดวงวิชาการ ซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะผูกขาดสำหรับผู้ชาย ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่าเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง
ข้อตั้งแง่รังเกียจรองลงมาคือ แมรี แอนนิงมีพื้นเพมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน ไม่มีการศึกษา ความรู้ความชำนาญของเธอไม่ได้ผ่านการเล่าเรียนตามระบบ แต่สั่งสมจากประสบการณ์จริงภาคสนาม
เนิ่นนานหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วมากเกินกว่าร้อยปี ท้ายที่สุดแมรี แอนนิงจึงค่อยได้รับการให้เกียรติ ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับว่า เธอคือผู้บุกเบิกคนสำคัญในสาขาบรรพชีวินวิทยา และเป็นนักล่าฟอสซิลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
เรื่องราวของแมรี แอนนิง เคยสร้างเป็นหนังชื่อ Ammonite เมื่อปี 2020 เคต วินสเล็ต และฟิโอนา ชอว์ รับบทเป็นแมรี แอนนิง และเอลิซาเบธ ฟิลพอต ตามลำดับ (อย่างไรก็ตาม ในหนังเรื่องนี้ บทบาทของเอลิซาเบธมีไม่มากนัก)
Ammonite จับความเหตุการณ์ช่วงบั้นปลายชีวิตของแมรี แอนนิง ราวๆ ปี 1840 หนังเล่าถึง 2 ประเด็นสำคัญ อย่างแรกคือความเป็นผู้หญิง ทำให้แวดวงวิชาการเกิดอคติ ตั้งแง่ ดูแคลน มองข้าม ไม่ยอมรับบทบาทและผลงานของเธอ
แง่มุมต่อมา เป็นส่วนที่หนังจินตนาการแต่งเติมขึ้น และน่าจะคลาดเคลื่อนผิดจากความเป็นจริงไปเยอะพอสมควร (คนทำเองก็บอกกล่าวไว้ชัดว่าเป็นงานที่ ‘ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง’) นั่นคือความสัมพันธ์แบบรักโรแมนติกระหว่างเพศเดียวกันกับนักธรณีวิทยาชื่อชาร์ล็อตต์ เมอร์ชิสัน (รับบทโดย เซอร์ชา โรแนน)
อย่างไรก็ตาม พอจะเป็นที่เข้าใจได้เหมือนกันว่า การเน้นแง่มุมโรแมนติกนี้ นอกจากจะสร้างสีสันให้เรื่องราวราบเรียบดึงดูดใจผู้ชมมากขึ้น และเกิดรสจัดจ้านในทางดรามาแล้ว ประเด็นความรักหญิงต่อหญิงยังช่วยหนุนเสริมเนื้อหาว่าด้วยสภาพสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ให้เข้มข้นในทางลึกทางกว้างมากยิ่งขึ้นด้วย
Ammonite กับ Remarkable Creatures มีสิ่งที่เหมือนตรงกันคือ ตัวละครแมรี แอนนิง, ฉากหลังสถานที่ (เมืองไลม์ รีจิส) และประเด็นเนื้อหาในแง่มุมเกี่ยวกับสิทธิสตรี พ้นจากนี้แล้ว ก็กล่าวได้ว่าระหว่างหนังกับนิยาย มีความแตกต่างกันอยู่เยอะ จนกล่าวได้เต็มปากว่าเป็น ‘คนละเรื่อง’
ไม่มีอะไรขัดแย้งทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันหรอกนะครับ เป็นแค่ว่าหนังและนิยายบอกเล่าเหตุการณ์ต่างช่วงเวลากัน
หนังจับความไปยังปี 1840 เป็นเวลาก่อนที่แมรี แอนนิงจะเสียชีวิต 7 ปี ส่วนนิยายมีใจความหลักครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 1810 จนถึง 1824 (แมรี แอนนิง อายุ 11 ถึง 25 ปี ส่วนเอลิซาเบธ ฟิลพอต อายุมากกว่าแมรี 20 ปี)
Remarkable Creatures แบ่งออกเป็น 10 บท บทแรกเล่าผ่านมุมมองของแมรี แอนนิง บทต่อมาเล่าผ่านมุมมองของเอลิซาเบธ ฟิลพอต สลับไปมาอย่างเป็นระเบียบเช่นนี้จนจบ
บทแรกเป็นการเกริ่นนำสั้นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่แมรีโดนฟ้าผ่าขณะอยู่ในวัยทารกแบเบาะ และรอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้เรื่องราวของเธอเป็นตำนานท้องถิ่นที่ชาวเมืองเล่าขานสืบต่อกันมา ส่วนบทสุดท้ายเอลิซาเบธบอกเล่าถึงกิจวัตรปกติของตัวเอกทั้งสองขณะออกค้นหาฟอสซิล เป็นบทสรุปสั้นๆ แค่ไม่กี่บรรทัด แต่สะท้อนถึงมิตรภาพความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งได้ดียิ่งกว่าคำพรรณนายืดยาวอื่นใด
กึ่งกลางระหว่างนั้นตั้งแต่บทที่ 2 ถึงบทที่ 9 ทุกบทมีความยาว และเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย
ผมเดาเอาว่าการใช้วิธีดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครสองคนสลับผลัดกันเล่า น่าจะมีจุดมุ่งหมายอยู่ 2-3 ประการ อย่างแรกเป็นการให้ความสำคัญแก่ตัวเอกทั้งสองแบบเท่าเทียม มีน้ำหนักสมดุลกัน ถัดมา เป็นการเทียบเคียง เปรียบสะท้อนให้เห็นถึงความเหมือน ความต่าง รวมถึงมุมมองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว และความรู้สึกนึกคิดของทั้งคู่
เท่าที่ติดตามอ่านนิยายของเทรซี เชวาเลียร์มา 3 เรื่อง ผมคิดว่างานเขียนของเธอไม่ได้มีจุดเด่นอยู่ที่การคิดพล็อต ซึ่งถ้าหากเทียบกับบรรดานิยายเบสต์เซลเลอร์ทั่วๆ ไปแล้ว ถือว่าเรียบง่ายธรรมดามาก ปราศจากความหวือหวา ไม่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อนหรือความฉูดฉาดจัดจ้านใดๆ เลย
เค้าโครงคร่าวๆ ของ Remarkable Creatures เล่าถึงผู้หญิงสองคน ต่างวัย ต่างภูมิหลัง พบปะเจอะเจอและรู้จักกัน มีความสนใจตรงกันคือการค้นหาฟอสซิล จนนำไปสู่ความผูกพันแน่นแฟ้นในเวลาต่อมา แต่แล้วก็เกิดเงื่อนไขปัจจัยบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องผิดพ้องหมองใจกัน และมีการหวนกลับมาคืนดีกันอีกเป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง
บนเนื้อเรื่องง่ายๆ ธรรมดา เทรซี เชวาเลียร์ก็ชดเชยทดแทนด้วยจุดเด่นที่เป็นกระบวนท่าเก่งเฉพาะตัวของเธอเอง นั่นคือสายตาอันแหลมคมในการเลือกหยิบเหตุการณ์จริงที่น่าสนใจ มาปรุงรสแปรรูปเป็นนิยาย ซึ่งนำไปสู่ความโดดเด่นต่อมา คือความสามารถในการผสมผสานข้อมูลมากมายที่ผ่านการค้นคว้ามาอย่างละเอียดลงลึก กับการใช้จินตนาการของนักเขียนเติมคำเติมความลงไปบนช่องว่าง
นิยายของเทรซี เชวาเลียร์ ผสมรวมข้อมูลกับเรื่องแต่งได้อย่างพอเหมาะกำลังดี ไม่หนักเอียงไปทางหนึ่งทางใดจนเกินควร ไม่ถูกครอบงำโดยข้อมูลอันท่วมท้น (และนักเขียนจำนวนไม่น้อย มักเกิดอาการเสียดาย จึงบรรจุใส่ลงไปในนิยายจนครบหมด) กระทั่งออกมาแห้งแล้ง แข็งทื่อ และยัดเยียด
ขณะเดียวกันงานเขียนของเธอก็ไม่ได้เป็นเรื่องแต่งแบบเลยเถิดตามใจชอบ ขาดข้อมูลมารองรับสนับสนุนมากเพียงพอ จนทำให้เรื่องอิงจากเหตุการณ์จริงหละหลวม ปล่อยไก่ ปราศจากความหนักแน่นน่าเชื่อถือ ออกทะเลไปไกลจนกู่ไม่กลับ กลายเป็นนิยายพาฝันแฟนตาซีเบาหวิว
นิยายของเทรซี เชวาเลียร์ทุกเรื่อง ผ่านด่านโหดหินสองย่อหน้าข้างต้นอย่างน่าพึงพอใจ
ความเก่งกาจต่อมาของเทรซี เชวาเลียร์ ก็คือขณะที่พล็อตเรียบง่าย และดำเนินเรื่องแบบเล่าไปเรื่อยๆ นิยายของเธอก็ดึงดูดผู้อ่านด้วยฝีมือการพรรณาสาธยายฉาก บ้านเรือน สถานที่ ดินฟ้าอากาศ ได้อย่างอ่านแล้ววาดภาพตามในใจได้แจ่มชัด เช่นเดียวกับการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกความนึกคิดของตัวละครได้เปี่ยมเลือดเนื้อและมีชีวิตชีวา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากสุดในนิยายของเทรซี เชวาเลียร์ (ทั้ง 3 เรื่องที่ได้อ่าน) คือ แม้ว่าจะเป็นการเขียนนิยายอิงจากเหตุการณ์จริง ซึ่งมีกรอบบังคับควบคุมการวางเค้าโครงคิดพล็อตเรื่องอยู่พอสมควร แต่ทุกเรื่องล้วนสามารถนำพาผู้อ่านไปสู่เป้าหมาย สะท้อนเนื้อหาแง่คิดเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมระหว่างหญิงชาย มีสิทธิเสียงที่ด้อยกว่า ทว่าต้องแบกรับภาระหนักหนากว่า มีชีวิตความเป็นอยู่และการวางตัวประพฤติปฏิบัติในแวดวงสังคมยากลำบากกว่า
ความน่าทึ่งก็คือประเด็นเดียวกันเหล่านี้ เมื่อเล่าออกมาในนิยายแต่ละเรื่อง ซึ่งมีฉากหลัง ช่วงเวลา สภาพสังคมที่ผิดแผกกัน รายละเอียดของปัญหา ความทุกข์ยากที่ตัวละครต้องพบพาน ก็ผิดแผกแตกต่างกันไป สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพสังคมต่างยุคสมัยด้วยเช่นกัน
ใน Remarkable Creatures ประเด็นปัญหาดังกล่าวสะท้อนไว้ชัดสุด ผ่านผลงานการค้นพบของแมรี แอนนิง ที่โดนหมางเมินมองข้าม ดังปรากฏในประวัติชีวิตของเธอตามแหล่งข้อมูลจำนวนมาก
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ ยังเล่าแสดงไว้อย่างดีเยี่ยม ผ่านเรื่องราวชีวิตของเอลิซาเบธ ฟิลพอต เธออยู่ในครอบครัวที่เคยมีฐานะดี เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต การเงินก็ถดถอยเสื่อมลง มรดกทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของพี่ชายชื่อจอห์น และเมื่อเขาแต่งงาน พี่น้องฟิลพอตที่เหลือซึ่งเป็นผู้หญิง ก็พลอยได้รับผลกระทบ ต้องย้ายออกจากบ้าน (เพื่อให้พี่ชายและพี่สะใภ้สร้างครอบครัว) ไปพำนักอาศัยที่ไลม์ รีจิส เมืองชนบทริมทะเล ด้วยเหตุผลว่าค่าครองชีพถูกกว่าลอนดอน
เรื่องน่าเศร้าและโหดร้ายสำหรับสามสาวพี่น้องฟิลพอต คือนอกจากฐานะการเงินไม่สู้จะดีแล้ว พวกเธอยังไม่ใช่สาวสวย ติดจะขี้เหร่เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นโอกาสแต่งงาน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่พลิกเปลี่ยนฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จึงพลอยมอดดับไปด้วย
ที่ย่ำแย่ไปอีกคือในยุคสมัยดังกล่าว ผู้หญิงที่มีวัยเกินสมควรจะแต่งงาน แล้วยังครองตัวเป็นโสด มักถูกสังคมรอบข้างมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ตกเป็นเป้าการซุบซิบนินทา และโดนเหมารวมตีขลุมว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่มีความบกพร่องบางอย่าง จึงทำให้ไม่มีใครแต่งงานด้วย
สภาพของหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงานที่เล่าแสดงไว้ถี่ถ้วนใน Remarkable Creatures ทำให้ผมเกิดความเข้าใจกระจ่างขึ้น ว่าเพราะเหตุไรนิยายของเจน ออสเตน (ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน) ตัวละครจึงวุ่นใจและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา
การไม่ได้แต่งงาน ทำให้แมรี แอนนิง กับเอลิซาเบธ มีสถานะเป็น ‘คนนอก’ แปลกแยกจากผู้คนส่วนใหญ่ และยิ่งหนักข้อขึ้นอีก เมื่อกิจกรรมค้นหาซากสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ในวันเวลาดังกล่าว ไม่ใช่พฤติกรรมที่ปกตินักในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่
ซ้ำร้าย ลักษณะของซากสิ่งมีชีวิตบางชิ้นที่ค้นพบ ก็บ่งชัดว่าเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเนิ่นนานแล้ว เป็นเหตุให้ขัดกับความเชื่อทางศาสนา เกี่ยวกับการที่พระเจ้าสร้างโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายใน 6 วัน ขัดทั้งในแง่ที่ว่าสิ่งที่พระเจ้าสร้างไม่อาจสูญพันธุ์ไปได้ ขัดทั้งอายุยาวนานเก่าแก่ของฟอสซิล คัดง้างกับความเชื่อว่าโลกมีอายุ 6,000 ปี
จาก ‘คนนอก’ เพราะไม่ได้แต่งงาน แมรีกับเอลิซาเบธจึงกลายเป็น ‘นอกรีต’ แถมพกอีกข้อกล่าวหา
เรื่อง Remarkable Creatures นี้จับใจมากๆ ตรงที่สุดท้ายแล้ว นางเอกทั้งสองก็ต่อสู้ยืนหยัดตามวิถีทางของตนเอง มีความเป็นเพื่อนต่อกันและกันเป็นที่ยึดเหนี่ยว
จะชนะหรือเปล่าผมเองก็ไม่แน่ใจ นิยายไม่ได้เล่าไปถึงจุดนั้น แต่ทราบมาอย่างหนึ่งว่าทุกวันนี้ ชีวิตของเธอทั้งสองเป็นอมตะ