คน-ป่า-ผืนผ้า : ‘บ้านสันดินแดง’ พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในวันที่มาตรการรัฐยังไม่โอบรับความหลากหลาย

บ้านสันดินแดง

กลางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ณ ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่บ้านสันดินแดง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เสียงของเครื่องสาย ‘เตหน่า’ คลอเสียงขับขานลำนำ ‘ทา’ ดังแว่วมาจากศาลาประจำหมู่บ้าน บรรเลงโดยพะตีตูลู ศิลากุลไพร ร่วมขับร้องโดยแม่เงิน ลีลาพนาสวัสดิ์ ผู้นำชุมชนบ้านสันดินแดง

เมื่อสิ้นเสียงลำนำทา พี่ติ๊เกลอ-ปฏิภาณ วิริยะวนา ชาวบ้านสันดินแดง ก็แปลความหมายที่สื่อถึงความรักความสัมพันธ์ของผู้คนกลางผืนป่าใหญ่ “ปกติหัวใจคนเรามีขนาดเท่ากำมือ แต่พอเห็นหลายๆ ท่านเข้ามามีสายสัมพันธ์กับเรา ใจเราก็โตขึ้นเท่าแตงเท่าฟักขนาดใหญ่ ใจชื้นขึ้นมา ใหญ่กว่าเดิมสิบกว่าเท่า” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม เป็นการต้อนรับเราอย่างอบอุ่น

แล้วช่วงเวลาแห่งการเล่าขานเรื่องราวของบ้านสันดินแดงก็เริ่มต้นขึ้น

พะตีตูลู ศิลากุลไพร

1

ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอแห่งนี้ตั้งอยู่ที่นี่มามากกว่า 100 ปีแล้ว เกรียงไกร ลีลาพนาสวัสดิ์ ผู้นำชุมชน เล่าให้เราฟังว่า ปู่ย่าตายายของชาวบ้านสันดินแดงมาตั้งรกราก ณ ที่แห่งนี้ โดยปลูกต้นไม้ใหญ่ใจกลางชุมชน ด้วยความเชื่อว่าต้องปักหลักหรือเปรียบได้ดังการฝังหัวใจลงไปในผืนดิน เพื่อให้ลูกหลานมีความสุขและมีชีวิตร่มเย็นในอนาคต

“อยู่กับป่าต้องรักษาป่า กินน้ำต้องดูแลน้ำ” เป็นหัวใจสำคัญของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ชาวบ้านสันดินแดงสืบทอดและปฏิบัติตามคำสอนนี้เรื่อยมา

แม้ชาวบ้านจะดูแลผืนป่ามาโดยตลอด ทว่าเมื่อปี 2541 การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ส่งผลให้บ้านสันดินแดงกลายเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนในเขตอุทยาน เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านในหลายชุมชนบนดอยอินทนนท์ ถึงขั้นเคยมีการจับกุมชาวบ้านกว่า 30 คนในข้อหาบุกรุกพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สง่า สายชลจินดา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนน์ เล่าว่าตนอาสาเข้าไปฝังตัวอยู่กับแต่ละชุมชน รับฟังวิถีชีวิตของชาวบ้าน และจัดประชุมสัญจรในแต่ละหมู่บ้านเดือนละครั้ง

นอกจากนี้ ได้มีการก่อตั้งเครือข่ายลุ่มน้ำแม่ยะ-แม่ปอน เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการประสานงานและแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมีผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นคณะกรรมการเครือข่าย พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเมื่อปี 2550 มูลนิธิไทยรักษ์ป่าก็ได้เข้ามาเป็นประสานระหว่างชาวบ้านและอุทยาน

ต่อมา การดำเนินการเรื่องขอบเขตพื้นที่เริ่มจริงจังหลังปี 2557 เมื่อมีแรงบีบคั้นจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 หรือ ‘นโยบายทวงคืนผืนป่า’ ที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาติพันธุ์หลายชุมชนทั่วประเทศ บ้านสันดินแดงจึงเริ่มมีการใช้ระบบ GIS กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และขึ้นทะเบียนประวัติการใช้ที่ดินผ่านเทศบัญญัติของเทศบาล

ปี 2560 บ้านสันดินแดงได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2553 จากการจัดทำแผนที่เพื่อกำหนดขอบเขต ระบุได้ว่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ราว 23,000 ไร่ ชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่กินเพียงราว 10% คือ 2,451 ไร่ โดยราวครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียน ดังนั้น วาทกรรม ชาวเขาทำลายป่า จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะการใช้พื้นที่ทำกินมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทุกวันนี้ มีความร่วมมือจากหลายหน่วยงานผสานกับพลังชุมชน มีการจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ มีการวางกฎระเบียบการใช้พื้นที่อย่างชัดเจน นอกจากนี้ บ้านสันดินแดงพยายามพึ่งพาตนเองโดยการเปิดโฮมสเตย์ ดังจะเห็นได้ในวันที่เราไปเยือนว่ามีชาวต่างชาติมาพักอาศัยอยู่ด้วยความหลงรักวิถีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ นอกจากนั้นบ้านสันดินแดงยังส่งเสริมภูมิปัญญาทอและย้อมสีผ้าให้เป็นอาชีพของกลุ่มแม่บ้าน ภาพเหล่านี้อาจดูเหมือนบทสรุปสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบ แต่กระนั้น ยังมีอีกมุมหนึ่งของบ้านสันดินแดงที่ยังเผชิญกับความท้าทาย

2

ยามเที่ยง ณ ใต้ถุนศาลาประจำหมู่บ้าน เราล้อมวงนั่งกินข้าวกะเหรี่ยงเม็ดอ้วนห่อใบตอง ผักต้ม น้ำพริก และแกงหลากชนิดที่มีส่วนประกอบหลักคือเผือกและมัน ก่อนจะออกเดินทางขึ้นท้ายรถกระบะไปยัง ‘ไร่หมุนเวียน’ ผ่านเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวและสูงชันท่ามกลางแสงแดดร้อนจัด ใช้เวลาพักใหญ่กว่าเราจะถึงจุดหมายที่ไร่หมุนเวียนของพี่ติ๊เกลอ

ท่ามกลางแดดร้อนจัดและผืนไร่กว้างใหญ่ พี่ติ๊เกลอเล่าให้ฟังว่าตามระบบการทำไร่หมุนเวียนของชุมชนสันดินแดง ในอดีตจะใช้พื้นหนึ่งๆ เป็นระยะเวลามากสุดถึงราว 7-10 ปี เพื่อให้พื้นดินฟื้นฟูอุดมสมบูรณ์เต็มที่ แต่มาจนถึงทุกวันนี้ ระยะเวลาในการพักฟื้นไร่เริ่มลดลงเรื่อยๆ เหลือเพียง 3-4 ปีเท่านั้น

“เพิ่งมาเปลี่ยน (เป็น 3-4 ปี) ก็เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมานี้เอง” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่าสาเหตุหนึ่งมาจากคำสั่งของทางราชการ ซึ่งค่อยๆ กดดันขึ้นมาผนวกกับแรงกดดันจาก พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ ที่หากมีการบังคับใช้จะทำให้ครอบครัวหนึ่งใช้ไร่หมุนเวียนได้จำนวน 20 ไร่ เป็นเวลา 20 ปี ได้ยินดังนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าหากกล่าวให้ถึงที่สุด มาตรการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการให้ยืมในระยะเวลาที่จำกัดและไม่ยั่งยืน

“พอทิ้งแปลงไว้นาน เขาก็หาว่าเราไปบุกเบิกป่าใหม่” พี่ติ๊เกลอกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐไม่มีความเข้าใจในวิถีชีวิตของชาวบ้าน และแม้ปัจจุบันจะมีแผนที่ชัดเจนว่าพื้นที่ส่วนไหนคือพื้นที่ทำกิน แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เข้ามาทีหลังมาตรการภาครัฐ

การบีบคั้นเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านสันดินแดงต้องทำไร่ซ้ำในพื้นที่เดิมต่อเนื่องมากขึ้นหรือเปลี่ยนไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว “ถามว่าเราต้องการไหม ไม่นะครับ เราไม่ได้ต้องการ แต่เรายอมจำนนเพราะความจำเป็น” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

พี่ติ๊เกลอ-ปฏิภาณ วิริยะวนา

นอกจากคำบอกเล่าของพี่ติ๊เกลอแล้ว แม่ลัดดา ไพรเจริญศรี ประธานกลุ่มสตรีบ้านสันดินแดง ก็กล่าวในทำนองเดียวกันถึงผลกระทบจากการที่ช่วงเวลาการหมุนเวียนไร่ถูกจำกัด คือเมื่อต้องใช้พื้นที่เดิมซ้ำ พื้นดินก็ไม่ได้รับการฟื้นฟู “เมื่อก่อนพอเราเก็บเกี่ยวเสร็จประมาณเดือนมีนา-เมษา เราเข้าไปในไร่ ยังมีต้นข้าวให้เราเห็นอยู่นะ แต่ตอนนี้ไม่มีให้เราเห็นแล้ว” สะท้อนว่าพื้นดินไม่อาจฟื้นฟูตัวเองให้สมบูรณ์ดังเดิม

ยิ่งใช้พื้นที่เดิมซ้ำ ก็ยิ่งต้องใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และยากำจัดศัตรูพืช และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น “ถ้าข้าวไม่งาม เราก็ซื้อปุ๋ยสักกระสอบหนึ่ง แต่ถ้าเราทำซ้ำต่อไปอีก 2-3 ปี ใช้ปุ๋ยกระสอบเดียวไม่พอแล้ว เราก็ต้องเพิ่มไปอีกเรื่อยๆ ต้องให้ปุ๋ยสองรอบ สามรอบ” แม่ลัดดาอธิบาย

ไม่เพียงแค่ข้าวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลผลิตอื่นๆ ในไร่ที่ไม่งอกงามและได้คุณภาพมากเท่าแต่ก่อน อย่างเผือกและมัน เห็นได้จากที่ตอนเรากินมื้อกลางวันกัน มีเสียงบอกเล่าจากชาวบ้านว่าหากผืนดินได้รับการพักฟื้นเต็มที่ เผือกมันที่ได้รับปุ๋ยขี้เถ้าจากการเผาไร่ มันก็จะนุ่มอร่อยยิ่งกว่านี้ แต่ปัจจุบันมีมาตรการห้ามเผาไร่ ซึ่งกระทบต่อวัฏจักรการปลูกข้าวและพืชต่างๆ

“มันกับเผือกก็ต้องใช้ปุ๋ยธรรมชาติ พอเราตัดเสร็จแล้วก็ต้องเผาไร่ มันจะมีขี้เถ้าลงพื้นดิน เราก็ต้องเอาไปใส่เผือกใส่มัน แล้วมันก็จะนิ่ม มันก็จะนุ่ม” แม่ลัดดาเล่า แม้ว่าเรื่องเนื้อสัมผัสของผลผลิตอาจดูเหมือนเป็นเรื่องไม่ใหญ่นัก แต่ก็น่าคิดไม่น้อยว่า เมื่อพื้นที่ทำกินถูกจำกัดไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดแล้วจะยังมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง

3

เราออกจากไร่หมุนเวียน ข้ามลำธารใส ก่อนจะเดินขึ้นเนินสูงตามแม่ลัดดาไปที่บ้านของพี่ส่งสุข ลีลาพนาสวัสดิ์ และพี่สุวรรณี ลีลาพนาสวัสดิ์ ผู้เป็นภรรยา อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ว่านอกจากการทำไร่หมุนเวียนแล้ว กลุ่มสตรีบ้านสันดินแดงประกอบอาชีพทอผ้า บ้านหลังนี้คือหนึ่งในตัวอย่างของวิถีชีวิตที่ทอผ้าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของชุมชนพึ่งพาตนเอง

ใต้ถุนบ้าน พี่สุวรรณีกำลังทอผ้า ผ้าทอหลากสีวางพาดอยู่ในบริเวณเดียวกัน พี่ส่งสุขช่วยอธิบายว่าผ้าแต่ละลายมีความหมายแตกต่างกัน บางลายเลียนแบบต้นไม้ ดอกไม้ สายน้ำ ตามธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นว่าธรรมชาติกับวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอบ้านสันดินแดงร้อยเรียงเป็นหนึ่งเดียว

รอบบ้านหลังนี้ยังทำเกษตรในพื้นที่เล็กๆ มีผลหมากรากไม้ที่พอจะเก็บกินได้และต้นกาแฟเล็กๆ สำหรับขาย แม่ลัดดาชี้ให้ฉันดูต้นไม้รอบบ้าน มีบางต้นเป็นต้นไม้ที่ให้สีย้อมผ้า ต้นไม้เหล่านี้หลายต้นขึ้นตามธรรมชาติ บ้างอยู่ระหว่างทางไร่หมุนเวียน แสดงให้เห็นภูมิปัญญาและการพึ่งพิงธรรมชาติ แต่ไม่ทำลาย

พี่สุวรรณี ลีลาพนาสวัสดิ์ (ซ้าย) และ พี่ส่งสุข ลีลาพนาสวัสดิ์ (ขวา)

แม่ลัดดาพาเรามาที่บริเวณใกล้ศาลาประจำหมู่บ้านอีกครั้ง เดินไปไม่ใกล้ไม่ไกลก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง พี่แป้งวันเพ็ญ วิริยะวนา เจ้าของบ้านหลังนี้ต้อนรับเราและสาธิตการทอผ้าให้เราดูด้วยความเต็มใจ พร้อมเล่าให้เราฟังว่าเคยไปถ่ายทอดภูมิปัญญานี้ที่กรุงเทพฯ และมีชาวต่างชาติมาเรียนรู้

พี่แป้ง-วันเพ็ญ วิริยะวนา (ซ้าย) และ แม่ลัดดา ไพรเจริญศรี (ขวา)

“เราใช้เท้า ใช้เอว ใช้มือ มีหลายองค์ประกอบอยู่ในนี้” แม่ลัดดาเล่าถึงกระบวนการทอผ้าที่สืบทอดกันมาในชุมชน โดยเฉพาะงานทอเสื้อที่ย้อมสีเอง ทอกันเองแทบทุกขั้นตอน งานผ้าทอของที่นี่ไม่ได้ใช้กี่กระตุกทั่วไปที่ครั้งหนึ่งสามารถผลิตได้หลายผืน แต่ทอด้วย ‘กี่เอว’ ที่ผู้ทอต้องนั่งเหยียดขา ผูกสายคาดเอว และใช้การขยับเอวบังคับเส้นด้าย พี่แป้งเล่าว่านี่เป็นเหตุที่ทำให้ราคาค่อนข้างสูงกว่าผ้าทอทั่วไป เพราะทำทุกขั้นตอนด้วยมือ ใช้เวลาเป็นหลักวันหรือ 3-4 วันกว่าจะได้หนึ่งผืน

เอกลักษณ์ของผ้าทอที่บ้านสันดินแดง คือสีย้อมธรรมชาติ แม่ลัดดาบอกว่าสีชมพูได้จากไม้ฝาง สีเขียวได้จากการผสมใบหูกวางกับมะเกลือ ซึ่งผ้าจะออกสีเข้มหรืออ่อน ขึ้นอยู่กับความแก่ของใบไม้และอัตราส่วนผสม ดังนั้น การย้อมสีแต่ละครั้งต้องอาศัยความละเอียดและแม่นยำ

นอกจากนี้ “วันศีลวันพระเราก็ไม่ย้อม เพราะเราถือว่าป่าและต้นไม้มีเจ้าของ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าเราไปเอามาย้อมสีผ้าขายได้แล้วเราจะทำไปเรื่อยๆ เวลาเอามีดไปผ่าต้นไม้ มียางออกก็เหมือนเราเลือดออก เหมือนเวลาเราล้ม เราก็เจ็บ” แม่ลัดดาย้ำ สะท้อนความเคารพและความเข้าใจในวัฏจักรของธรรมชาติ

“ทอกันทุกหลังคาเรือน ทุกคนพอโตขึ้นก็ต้องทอเป็น ทุกบ้านทุกคน ลูกคลอดออกมา คนเป็นแม่ก็จะทอเสื้อให้เขาใส่” แม่ลัดดาเล่าว่าทุกคนทอผ้าเป็น ยกเว้นบางคนที่ย้ายไปอยู่ในเมืองจึงไม่ได้รับการถ่ายทอดฝีมือ แต่โดยพื้นฐานแล้ว แม่ลัดดาเชื่อว่าถ้าได้เรียนรู้ ทุกคนจะทำได้

แม่ลัดดาและพี่แป้งมองว่าการมีอาชีพทอผ้า จะทำให้ผู้คนได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว ปัจจุบันบ้านสันดินแดงมีโฮมสเตย์และจัดกิจกรรมย้อมสีผ้าให้ผู้สนใจติดต่อมาเข้าร่วมได้ กระนั้น สำหรับแม่ลัดดาแล้ว รายได้จากการทอผ้ายังไม่สม่ำเสมอมากพอ “ในความฝันของแม่ลัดดาเอง อยากให้ชุมชนเข้มแข็งและมีรายได้หมุนเวียนแต่ละเดือนจากผ้าทอมากพอกว่านี้ เหตุผลคือลูกๆ หลานๆ ถ้าเขาไม่อยากไปที่อื่น ก็อยากให้เขากลับมาพัฒนาบ้าน กลับมาอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว และมีรายได้จากผ้าทอให้เขา”

เมื่อถามว่าฝันอยากเห็นชุมชนบ้านสันดินแดงเป็นอย่างไร แม่ลัดดากล่าวว่า “อยากให้ชุมชนกล้าพูด กล้าแสดงออก และกล้าต่อต้านสิ่งที่จะเข้ามากระทบต่อชีวิตของเรา อย่างกฎหมายบางอย่างที่เข้ามาแล้วทำให้ชุมชนไม่เป็นสุข”

“ถ้าองค์กรไหนเข้ามาสนับสนุน เราก็อยากให้สนับสนุนชุมชนด้วยความจริงใจ” แม่ลัดดาทิ้งท้าย

4

บ้านสันดินแดงคือโมเดลตัวอย่างของชุมชนชาติพันธุ์เข้มแข็ง มีทั้งการทำความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยาน การจัดทำแผนที่ และกำหนดกฎระเบียบการใช้พื้นที่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสตรีที่พัฒนาภูมิปัญญาทอและย้อมสีผ้า ที่ครูจันทร์แก้ว บุญมาปะ ครู กศน. บ้านสันดินแดง กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่างานผ้าทอของที่นี่เคยคว้ารางวัลใหญ่มาแล้ว กระนั้น ยังขาดความคุ้มครองตามกรอบกฎหมายนโยบายในระดับภาพใหญ่ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชุมชน ไม่เฉพาะบ้านสันดินแดง แต่รวมถึงทุกชุมชนชาติพันธุ์

แม้จะบางชุมชนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อเจ้าหน้าที่อุทยาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎระเบียบอื่นๆ ในภาพใหญ่ก็มีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ เช่น มาตรการห้ามเผาไร่ ซึ่งในแต่ละพื้นที่ได้รับผบกระทบไม่เหมือนกัน ต่อประเด็นนี้ อาจารย์ต้น-อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ให้ความเห็นว่าเป็นลักษณะของความขึ้นอยู่กับตัวบุคคล (subjective) ของเจ้าหน้าที่ว่าจะผ่อนปรนหรือปราบปราม เพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้ชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ดูไม่แน่นอน ดังนั้น สำหรับอาจารย์ต้น การที่ชุมชนชาติพันธุ์ได้เล่าเรื่องราวการอนุรักษ์ในมุมมองของตนเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญ “ขณะที่เขาเผาไร่ เขาก็ทำหน้าที่ปกป้องป่าไม้ในเวลาเดียวกัน ในแง่ที่เขาทำแนวกันไฟ”

นอกจากนี้ยังต้องทำความเข้าใจว่า “การเผาของเขาเป็นคนละช่วงที่มีปัญหา PM 2.5” อาจารย์ต้นอธิบายว่าปัญหาฝุ่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นผลจากพี่น้องชาติพันธุ์ และกล่าวเสริมว่า “งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า จริงๆ PM 2.5 มาจากอุตสาหกรรม มลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์มากกว่าการเผาไร่เสียอีก”

อาจารย์ต้น-อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ที่มีการผลักดันอยู่ในช่วงเวลานี้ จึงมีความสำคัญ เพื่อให้ชุมชนชาติพันธุ์มีส่วนร่วมในการออกแบบวิถีชีวิตของตน “ชุมชนจัดการตัวเองเป็นแนวคิดแบบสังคมประชาธิปไตยมากเลย ปัจจุบันก็มีแนวคิดอย่างจังหวัดจัดการตนเอง เมืองจัดการตนเอง เราคิดว่ามันคือการกระจายอำนาจให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการตัวเอง โดยฐานคิดของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่ได้คิดเรื่องที่จำนำไปสู่การแบ่งแยกหรือสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการสร้างอภิสิทธิ์เลย”

“ถ้าเขามีความสามารถ เขาก็ควรลุกขึ้นมาจัดการตัวเองได้ ก่อนหน้านี้เราใช้คำว่า ‘ชุมชนพึ่งตนเอง’ เพื่อให้คำดูอ่อนลง นัยคือการนำความรู้และภูมิปัญญามาจัดการบริหารพื้นที่ แบบที่ไม่เป็นภาระกับคนอื่น” อาจารย์ต้นกล่าว และสรุปใจความว่า “คือการจัดการตัวเองบนฐานภูมิปัญญา”

“กฎหมายชาติพันธุ์ไม่มีอะไรซับซ้อนในเชิงเนื้อหา แต่มีความยุ่งยากในเชิงความเข้าใจ” อาจารย์ต้นอธิบายว่าเพราะมายาคติที่ฝังรากในสังคมทำให้ผู้คนเข้าใจว่าชาติพันธุ์ไม่ใช่คนไทย เป็นต่างด้าว มาจากข้างนอก ทั้งที่ประเทศไทยประกอบด้วยผู้คนที่มีความหลากหลาย และคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิบางอย่างจึงต้องมีการคุ้มครอง เมื่อไม่เข้าใจ ผู้คนก็กังวลว่ากฎหมายชาติพันธุ์จะเป็นการให้สิทธิพิเศษและอาจนำไปสู่ภัยความมั่นคง

“รากของปัญหามาจากการที่เรามองเรื่องความหลากหลายเป็นเรื่องความมั่นคง เราใช้แว่นความมั่นคงของรัฐมองปรากฏการณ์นี้ มันเลยแก้ปัญหานี้ไม่ออก”

อาจารย์ต้นชี้ให้เห็นว่า “ต้องถอดแว่นความมั่นคงของรัฐ มาเป็นเรื่องความมั่นคงมนุษย์มากขึ้น จะเห็นว่ามีความจําเป็นต้องยอมรับความหลากหลาย เพราะว่าคนที่แตกต่างหลากหลาย ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน [ชาติพันธุ์] เขาอยู่บนที่สูง เขาจึงต้องการบริการบางอย่างมากหน่อย หรือบางอย่างน้อยลงหน่อย แต่พอเราคิดว่าทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด เท่าเทียมกันแบบเป๊ะๆ มันก็อาจเป็นปัญหา ความเท่าเทียมคือทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน และต้องเข้าใจว่าความสามารถแต่ละคน หรือฐานยืนของแต่ละคนไม่ได้เท่ากันหมด มันมาจากความแตกต่างกัน”

บ้านสันดินแดงเป็นหนึ่งในชุมชนชาติพันธุ์ที่เข้มแข็ง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันได้มาเยือนที่แห่งนี้ ก็ได้สัมผัสพลังของกลุ่มสตรีทอผ้า รอยยิ้มของแม่ๆ ที่เต็มใจสาธิตให้การทอผ้าให้เราดูและคอยตอบทุกคำถามที่เราสงสัยเป็นภาพจำที่น่าประทับใจ

อีกฟากหนึ่งของชุมชนคือท้องไร่ไกลสุดสายตาทอดยาวบนภูเขาลูกใหญ่ แต่กระนั้น สิ่งที่ย้อนแย้งอย่างยิ่งคือทุกวันนี้พี่น้องปกาเกอะญอบ้านสันดินแดงกลับค่อยๆ ถูกจำกัดสิทธิในผืนดินที่ตนดูแลรักษามาโดยตลอด ทั้งที่ไร่หมุนเวียนไม่ได้ทำลายป่า แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรการฟื้นฟูตามธรรมชาติ ทว่ามาตรการของรัฐกลับไม่โอบรับวิถีชีวิตเหล่านี้ ทั้งที่ความต้องการของเขาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์กว้างใหญ่

เสียงเตหน่าดังแว่วหวานอีกครั้งก่อนเราจะเดินทางกลับ แต่ละจังหวะและท่วงทำนองประทับลงในห้วงความรู้สึก เป็นเสมือนบทบันทึกแห่งชีวิตและความหวัง ว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ พวกเขายืนหยัดต่อสู้เสมอมา เหลือเพียงแต่ผู้อำนาจตัดสินใจ ที่จะมองเห็นคนกับป่าเป็นหนึ่งเดียวกัน และวางนโยบายที่เอื้อต่อชีวิตของชาติพันธุ์อย่างแท้จริง

บ้านสันดินแดง

บ้านสันดินแดง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save