ชาวไร่ชาวนา ผู้มีรายได้น้อย และคนไทยหัวใจ MAGA: เมื่อประโยชน์พวกพ้องไม่สอดคล้องกับจุดยืนเชียร์ ‘ทรัมป์’

“จงอย่าใส่ใจในสิ่งที่ทรัมป์พูด แต่จงจดจ่อในสิ่งที่ทรัมป์ทำ”

เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หวนคืนสู่ทำเนียบขาวในเวลาเพียงแค่ร้อยกว่าวัน อเมริกาและทั่วโลกต้องเผชิญกับความปั่นป่วนจากนโยบายประชานิยมฝ่ายขวา ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (America First) ที่ทรัมป์แสดงให้เห็นว่าตนต้องจัดการกับบรรดาผู้ที่สูบเลือดสูบเนื้ออเมริกันชนทั้งจากภายนอกประเทศและภายในประเทศ โดยการประกาศตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากต่างชาติในอัตราที่สูงเสียดฟ้า และการออกคำสั่งให้อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ดำเนินการลดค่าใช้จ่ายและปรับลดขนาดหน่วยงานของรัฐบาลกลางเพื่อเพิ่มประสิทธิการทำงานและลดปริมาณหนี้สาธารณะ

แต่ทว่าผลดำเนินงานของรัฐบาลทรัมป์ในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอเมริกันทุกหย่อมหญ้า เนื่องจากต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพง การขึ้นภาษีตอบโต้จากจีนก็ทำให้เกษตรกรอเมริกันขายสินค้าไปยังจีนไม่ได้ ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรผันผวน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำนวนมากถูกปลดและกลายเป็นคนตกงาน อีกทั้งมีความเสี่ยงที่ระบบประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้อย่าง Medicare และ Medicaid จะถูกตัดลดงบประมาณ หรือในระดับนานาชาติก็ต้องรับมือกับภาคการส่งออกที่ซบเซาเนื่องจากต้องประสบกับอุปสรรคด้านภาษี

แม้ว่ากลุ่มคนที่ต้องรับแรงกระแทกมากที่สุดจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ชาวไร่ชาวนาในสหรัฐฯ หรือแม้แต่คนไทยที่ต้องเจอกับอัตราภาษีนำเข้ากว่าร้อยละ 36 แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนกลุ่มดังกล่าวจำนวนไม่น้อยกลับเป็นผู้ที่สนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขัน เพราะคนเหล่านี้เชื่อในคำพูดที่ทรัมป์คุยโวว่าจะนำพาอเมริกาไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ชาวนา ผู้มีรายได้น้อยในสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าทรัมป์จะทวงคืนความมั่งคั่งของอเมริกาที่ถูกชนชั้นนำและต่างชาติขโมยไป และคนไทยบางส่วนที่หลงใหลในความรักชาติและความเด็ดขาดของทรัมป์ ตลอดจนทักษะการบริหารธุรกิจและประเทศของทรัมป์ที่บรรดาไลฟ์โค้ชไทยพยายามถอดแบบอย่างความสำเร็จ จนลืมมองว่าการตัดสินใจของทรัมป์จะย้อนกลับมาทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง

ฐานเสียงของทรัมป์ในหมู่ชาวไร่ชาวนาและผู้มีรายได้น้อย

ผลสำรวจของ Financial Times ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 แสดงให้เห็นว่าคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีจำนวนเกินกว่ากึ่งหนึ่งลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ ในขณะที่ผลสำรวจของ NBC ใน 10 มลรัฐชี้ว่าเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา[1]

ภายหลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ศูนย์วิจัย Pew ได้เปิดผลสำรวจระหว่างวันที่ 27 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นว่าระดับความนิยมทรัมป์ในหมู่คนที่มีวุฒิการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีมีถึงร้อยละ 53 โดยที่ระดับความนิยมทรัมป์จะค่อยๆ ลดลงตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ซึ่งมีเพียงร้อยละ 35 ของคนที่สำเร็จการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรีที่ให้การสนับสนุนทรัมป์[2] นอกจากนี้ ผลสำรวจ Harvard CAPS / Harris Poll ในช่วงระหว่างวันที่ 26-27 มีนาคม 2025 ยังเผยให้เห็นว่าประชากรผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ชนบทกว่าร้อยละ 56 สนับสนุนทรัมป์ ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองสนับสนุนทรัมป์ที่ร้อยละ 46 และเขตชานเมืองที่ร้อยละ 48[3]

จะเห็นได้ว่าผลสำรวจจากหลายสำนักชี้ไปในทางเดียวกันว่าทรัมป์มีความนิยมในคนที่มีวุฒิการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงชาวไร่ชาวนาในเขตชนบท ส่วนประเด็นที่คนในเขตชนบทให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ คือ เศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งกว่าร้อยละ 42 เห็นว่าประเด็นข้าวของแพงและเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนร้อยละ 32 เห็นว่าประเด็นเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในขณะที่ฐานเสียงพรรครีพับลิกันในภาพรวมร้อยละ 40 เห็นว่าประเด็นข้าวของแพงฯ สำคัญที่สุด ส่วนร้อยละ 34 เห็นว่าประเด็นเศรษฐกิจฯ สำคัญที่สุด[4]

ทรัมป์ตระหนักดีว่าฐานเสียงพรรครีพับลิกันให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจปากท้องมากที่สุด ทรัมป์และพรรคพวกจึงยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ (MAGA) เชื่อว่าทรัมป์คือผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวอเมริกันผู้ตกเป็นเหยื่อของชนชั้นนำและรัฐพันลึก (deep state) ที่คอยบงการชักใยอยู่เบื้องหลัง สมคบต่างชาติ ดีลการค้าเสรีให้บริษัทข้ามชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ไปจากสหรัฐฯ และยังร่วมมือกับโกลบอลลิสต์ (globalist) บังคับใช้มาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมยุบยิบที่เพิ่มภาระต้นทุนให้กับธุรกิจรายย่อยเพื่อจะขัดแข้งขัดขาไม่ให้กิจการของคนอเมริกันมีศักยภาพเพียงพอจะไปแข่งขันกับนายทุนยักษ์ใหญ่ได้ อีกทั้งยังจงใจปล่อยให้ผู้อพยพเข้าประเทศผิดกฎหมายเพื่อหวังแรงงานราคาถูกจนทำให้แรงงานชาวอเมริกันผู้หาเช้ากินค่ำถูกแย่งงานไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ทรยศต่อชาติและประชาชนชาวอเมริกัน[5]

ทรัมป์กล่าวหารัฐบาลชุดที่แล้วว่าทรยศโดยการปล่อยผู้อพยพเข้าเมือง

สำหรับคนอเมริกันหลายคน การเลือกทรัมป์จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด ทรัมป์ย้ำว่าถ้าตนแพ้การเลือกตั้ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะนองเลือด[6] คำพูดเช่นนี้ของทรัมป์ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่รัฐบาลโจ ไบเดน (Joe Biden) บริหารประเทศท่ามกลางวิกฤตเงินเฟ้อที่ทำให้ข้าวของเครื่องใช้มีราคาแพงขึ้น เช่น ราคาไข่ไก่ที่พุ่งทะยานสูงกว่าร้อยละ 176 จากระดับราคาในปี 2019[7] จนนำมาซึ่งความไม่พอใจของคนอเมริกันที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจนกว่า 2 ใน 3 เทียบกับสัดส่วน 1 ใน 2 เมื่อปี 2020 และคนอเมริกันกว่าร้อยละ 46 มองว่าสถานการณ์ทางการเงินของตนย่ำแย่ลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เมื่อปี 2020 มีเพียงร้อยละ 20 ของคนอเมริกันที่มีความเห็นเช่นนี้[8]

เหล่า MAGA ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าทรัมป์จะนำพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งด้วยประสบการณ์ที่ทรัมป์สั่งสมมาตลอดระยะเวลาที่ปลูกปั้นอาณาจักรธุรกิจ แม้อาจดูย้อนแย้งที่ MAGA มักแสดงท่าทีรังเกียจชนชั้นนำคนรวย แต่กลับเชียร์ทรัมป์ที่เป็นคนรวยคนหนึ่ง นอกจากนี้ ทรัมป์ได้เล่นกับจิตใจคนผ่านแนวคิดทางจิตวิทยา ‘การสร้างอคติเพื่อยืนยันความเชื่อของตนเอง’ (confirmation bias) ที่ว่ามนุษย์มีแนวโน้มจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่ออยู่แต่เดิม และจะพยายามหาหลักฐานใหม่ๆ (แม้ไม่สมเหตุสมผล) มาสนับสนุนความเชื่อเดิมของตน รวมถึงจะรักษาความเชื่อของตนเองอย่างเหนียวแน่นไม่ให้คนอื่นมาแตะต้องหรือพรากไปจากตน เช่น กรณีที่คนเยอรมันเชื่อเรื่องโกหกย้อนแย้งของนาซีที่ว่าชาวยิวที่เป็นนายทุนกับโซเวียตที่เป็นคอมมิวนิสต์ร่วมมือกันเซาะกร่อนสังคมเยอรมัน เพราะอยากจะสนับสนุนความเชื่อว่าชาวยิวเป็นคนไม่ดีและอยากโทษว่าชาวยิวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชีวิตคนเยอรมันตกต่ำ

ในกรณีของสหรัฐฯ เหล่า MAGA พยายามหาเหตุผลว่าทรัมป์ร่ำรวยจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงและหยาดเหงื่อจนประสบความสำเร็จ ซึ่งแตกต่างจากชนชั้นนำคนอื่นๆ ที่ร่ำรวยได้จากการเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ เพราะ MAGA อยากจะยืนยันความเชื่อว่าทรัมป์เป็นตัวแทนปกป้องผลประโยชน์ของพวกตนและจะนำการจ้างงานที่ถูกต่างชาติขโมยไปคืนให้แก่พวกตน

ทรัมป์ยังสุมไฟให้มวลชน MAGA โกรธแค้นมากขึ้นยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นตัวเลขอัตราภาษีนำเข้าที่ชาติอื่นตั้งขึ้นมาเก็บสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์และพรรคพวกปั้นขึ้นมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์มวลชนให้รู้สึกเจ็บช้ำจากการที่สหรัฐฯ ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างหนักหน่วง เช่น เวียดนามกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าร้อยละ 90 ส่วนไทยกำหนดอยู่ที่ร้อยละ 72 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ทรัมป์ปั้นขึ้นมีที่มาจากยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศหนึ่งหารด้วยยอดสินค้านำเข้าสุทธิจากประเทศนั้น ซึ่งไม่ใช่อัตราภาษีนำเข้าจริงๆ ที่ประเทศต่างๆ เรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ

แน่นอนว่าทรัมป์จงใจโป้ปดตัวเลขอัตราภาษีนำเข้าต่อสาธารณชนเพื่อสร้างแพะรับบาปขึ้นมากล่าวโทษว่าปัญหาต่างๆ ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นจากเหล่าตัวปัญหาต่างชาติ เพราะการกล่าวโทษผู้อื่นเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการอธิบายหลักเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อน ผู้นำจึงสามารถโน้มน้าวให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย อีกทั้งผู้คนยังต้องการหาคนมารับผิดเพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์เวลาที่มีวิกฤตเกิดขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้ถูกงัดขึ้นมาใช้มาตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการป้ายสีผู้หญิงว่าเป็นที่มาของภัยพิบัติจนนำไปสู่การล่าแม่มดของสังคมยุโรปในยุคกลางและสมัยใหม่ตอนต้น หรือการโพนทะนาโดยพรรคนาซีว่าชาวยิวและนานาชาติกำลังขูดรีดเยอรมนี ดังนั้น ผู้คนจึงอยากได้ผู้นำที่เด็ดขาด กล้าเอาตัวปัญหามาลงโทษ และพร้อมแข็งกร้าวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

ทรัมป์และพรรคพวกยังพยายามเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้คนจากที่เคยมองว่าการค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันให้กลายเป็นสนามรบที่ต้องมี ‘ผู้ชนะ’ และ ‘ผู้แพ้’ ทรัมป์มักเลือกใช้คำอย่าง ‘ชนะ’ และ ‘แพ้’ ในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้มวลชนคิดเข้าใจว่ากำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ซึ่งจริงๆ เป็นการใช้ตรรกะวิบัติที่เรียกว่า ‘false dilemma’ ที่จำกัดว่ามีทางเลือกอยู่แค่สองทางหากไม่แพ้ก็ชนะ แต่แน่นอนว่าคนเราย่อมอยากจะเป็นผู้ชนะกันทั้งนั้น การเชียร์ทรัมป์จึงเป็นการปลุกใจทำให้รู้สึกฮึกเหิมแบบที่ไม่เคยรู้สึกมานาน ซึ่งมันดีต่อใจคนอเมริกันตัวเล็กตัวน้อยหลายคนที่คิดว่าตัวเองพ่ายแพ้ในเกมชีวิตและโลกทุนนิยม แคมเปญของทรัมป์จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การปราศรัยเนื้อหานโยบาย แต่เน้นไปที่การกระตุ้นต่อมอารมณ์อีกด้วย

YouTube video

ทรัมป์ประกาศชัยชนะ

แต่ทว่าการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าแทบทุกประเภทจะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าในสหรัฐฯ พุ่งตัวสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทนำเข้าจะผลักภาระภาษีบวกเข้าไปกับราคาสินค้าที่ตั้งไว้อยู่แต่เดิมให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายเพิ่มเติม อย่างเช่นห้าง Walmart ที่ประกาศว่านโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์อาจบีบให้บริษัทต้องขึ้นราคาข้าวของเครื่องใช้ การกีดกันสินค้าต่างชาติจะทำผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถกระบะในช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อตอบโต้ชาติยุโรปที่ตั้งกำแพงภาษีต่อผลผลิตไก่เนื้อจากสหรัฐฯ ส่งผลให้รถกระบะจากชาติอื่นทำตลาดในสหรัฐฯ ไม่ได้จวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ก็คือกลุ่มทุนผลิตรถกระบะที่มีอำนาจในการควบคุมราคาสินค้าได้มากขึ้นในตลาดที่มีผู้แข่งขันน้อยราย[9] อีกทั้ง สหรัฐฯ จะถูกชาติอื่นตั้งภาษีตอบโต้ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่ส่งออกถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง ข้าวโพด และสินค้าเกษตรอื่นๆ ให้กับจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดติดต่อกันหลายปี

นอกจากนี้ แผนการส่งเสริมประสิทธิภาพรัฐบาลของมัสก์โดยการเลิกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางจะส่งผลกระทบต่อทหารผ่านศึกที่คิดเป็นจำนวนร้อยละ 30 ของพนักงานรัฐบาลกลางทั้งหมด และความพยายามในการตัดลดงบประมาณอุดหนุนระบบประกันสุขภาพ Medicare และ Medicaid จะส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยที่พึ่งพาระบบประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้[10] ซึ่งการกระทำของรัฐบาลทรัมป์ทั้งหมดนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อยที่จะต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและชาวไร่ชาวนาที่ส่งออกผลผลิตของตนได้ยากลำบากขึ้น เห็นก็จะมีแต่คนรวยที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายลดภาษีของทรัมป์ที่อ้างว่าจะนำรายได้จากภาษีนำเข้ามาทดแทน ได้รับอำนาจในการควบคุมราคาสินค้าในตลาดที่มีผู้แข่งขันน้อยราย และได้รับโอกาสได้ช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในเวลาที่ตลาดมีความผันผวนจากวิกฤตที่ทรัมป์สร้างขึ้นมาเองกับมือ

ทรัมป์ถูกวิจารณ์เป็นวงกว้างว่าใช้นโยบายภาษีนำเข้าปั่นราคาหุ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนคนรวย   

แต่กระนั้น ทรัมป์และพรรคพวกพยายามส่งสารไปยังคนอเมริกันว่านี่เป็นเพียงแค่ผลกระทบชั่วคราว ขอให้คนอเมริกันอดทนรอวันสหรัฐฯ จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าคำพูดทั้งหมดของทรัมป์จะสวนทางกับการกระทำที่แสดงออกมา ทว่าเหล่า MAGA จำนวนไม่น้อยยังคงอยากเชื่อคำโฆษณาของทรัมป์ว่านี่เป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรม ย่อมมีคนบาดเจ็บล้มตายบางส่วน แต่เพื่อความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ คนอเมริกันจะยอมให้ชาติอื่นมาเอารัดเอาเปรียบไม่ได้ โดยอาจจะลืมมองว่าตอนนี้ตนเองและคนรอบข้างมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากจะเข้าใจทรัมป์จริงๆ สิ่งแรกที่คนต้องทำคือเลิกสนใจ ‘คำพูด’ แต่ให้เพ่งเล็ง ‘การกระทำ’ ของทรัมป์ ดังที่เบอร์นี แซนเดอร์ส สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เคยกล่าวเอาไว้

ทรัมป์ขอให้คนอเมริกันอดทน

คนไทยหัวใจ MAGA: โมเดลอำนาจนิยม ชาตินิยม และไลฟ์โค้ช

คนไทยถูกพร่ำสอนให้เชื่อว่าเสรีนิยมจะนำไปสู่ความวุ่นวาย สับสนอลหม่าน ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นการใช้เสรีภาพจึงต้องมีขอบเขตและต้องถูกกำกับและควบคุมไว้ ระบอบอำนาจนิยมจึงเป็นเส้นทางที่คนไทยบางส่วนเลือกเดินตลอดมา สังคมไทยอยู่ร่วมกับบรรทัดฐาน ‘อำนาจคือความชอบธรรม’ (Might is right) อย่างเช่นบรรทัดฐานที่ว่าผู้ใดใช้กำลังยึดอำนาจได้สำเร็จ ผู้นั้นจะได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่สามารถใช้อำนาจได้โดยชอบ หรือผู้มีอำนาจเป็นผู้มีบุญบารมี ดังนั้น สำหรับคนไทยบางกลุ่ม อำนาจจึงเป็นแหล่งที่มาของความชอบธรรม[11] เกิดเป็นคนตัวเล็กอย่าริอาจไปท้าทายอำนาจ ซึ่งเป็นสัจธรรมของโลก เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ ยอมรับเสียดีกว่าที่จะต้องไปเผชิญกับเสรีภาพที่โกลาหล

พอเห็นว่าทรัมป์เล่นการเมืองที่ไม่เป็นมิตรต่อเสรีนิยม คนไทยบางส่วนจึงหันความสนใจไปยังตัวทรัมป์ทันที คนไทยบางส่วนพึงพอใจที่ทรัมป์กำราบพวกที่ออกมาใช้เสรีภาพเรียกร้องเยอะๆ อย่างเช่นที่จัดการกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คนไทยเหล่านี้มักกล่าวชื่นชมทรัมป์ว่าเป็นคนรักชาติรักแผ่นดินและทำเพื่อประโยชน์ของมวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง คนเหล่านี้ใช้ทรัมป์เป็นโมเดลในการเปรียบเทียบกับนักการเมืองไทยว่าควรเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งเหมือนทรัมป์บ้าง อีกทั้งยังใช้ระบอบอำนาจนิยมของทรัมป์เป็นข้อพิสูจน์ว่า ‘ไม่มีใครสนใจหลักการอะไรหรอก เขาสนใจแต่ผลประโยชน์กันทั้งนั้น’ เพื่อบอกกับตัวเองและคนอื่นๆ ว่าอเมริกาที่ฝ่ายเสรีนิยมยึดถือเป็นต้นแบบไม่มีอยู่จริง และตนถูกต้องมาโดยตลอดที่เลือกสนับสนุนฝ่ายอำนาจนิยม เช่น สะใจที่ทรัมป์เลิกสนับสนุนยูเครนที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวและท้าทายผู้มีอำนาจที่ตนไม่มีวันชนะ หรือที่ทรัมป์ตัดความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา (รวมถึงไทย) เพราะเป็นไปตามโมเดลชาตินิยมที่เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมถึงเชื่อว่าจะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงภาคประชาสังคมไทยที่ใช้เสรีภาพมากเกินไป

แต่กระนั้น การเมืองระหว่างประเทศแบบไร้หลักการไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางอย่างไทยเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะในทุกวันนี้ที่รัฐบาลทรัมป์ละเมิดหลักการการค้าเสรีขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ใช้อำนาจตามอำเภอใจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยกว่าร้อยละ 36 ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักในฐานะที่ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากที่สุด อย่างเช่น Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันประกาศว่าจะชะลอการสั่งสินค้าจากไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า หรือธุรกิจซีอิ๊วขาวตรา ‘เด็กสมบูรณ์’ ที่เล็งย้ายบริษัทเทรดดิง (trading company) ไปที่สิงคโปร์ ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายธุรกิจไทยที่กำลังพิจารณาแผนนี้อยู่ เพราะต่อให้ทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าออกไป ผู้ประกอบการที่รับรู้ถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้จะหลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับประเทศที่มีความเสี่ยงจะถูกกีดกันทางการค้าโดยรัฐบาลทรัมป์

สุดท้ายผลกระทบที่จะตามมาก็จะตกอยู่กับเงินในกระเป๋าของคนไทยที่จะลดน้อยถอยลง กลุ่มเปราะบางในไทย เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่จะขาดเงินอุดหนุน รวมถึงภาคการส่งออกที่ซบเซาอาจทำให้หลายคนตกงาน และถ้าหากเชื่อว่าชาติเล็กๆ ก็แค่ไปเจรจายอมยื่นผลประโยชน์แลกกับสหรัฐฯ ไปเสียก็สิ้นเรื่อง อาจลองพิจารณากรณีของเวียดนามที่ต่อให้เสนอว่าจะลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จนเหลือร้อยละ 0 แล้วก็ไม่อาจทำให้รัฐบาลทรัมป์พอใจได้ หากชาติใหญ่ไม่สนใจระเบียบกติการะหว่างประเทศแล้ว ชาติเล็กๆ จะไม่มีหลักประกันใดๆ ที่จะปกป้องตนเองได้

ส่วนคนไทยอีกกลุ่มมองว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คนไทยกลุ่มนี้จึงพยายามไลฟ์โค้ช ถอดแบบความสำเร็จของทรัมป์ ให้เหตุผลวิเคราะห์กลยุทธ์ทรัมป์เป็นฉากๆ เชื่อว่าทรัมป์คิดคำนวณทุกอย่างไว้แล้ว ทรัมป์เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย พูดจริงทำจริง มุ่งมั่นทำเพื่อชาติ เพื่อคนในองค์กร เพื่อกำไรสูงสุด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำภาคธุรกิจควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

แต่หากย้อนดูประวัติของทรัมป์จะพบว่าจริงๆ แล้วทรัมป์ร่ำรวยขึ้นมาก็เพราะทรัพย์มรดกมูลค่ากว่า 413 ล้านดอลลาร์สหรัฐคิดตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2018 ในขณะที่ทรัมป์เป็นผู้ทำบริษัทที่ตนบริหารล้มละลายกว่า 6 แห่ง รวมถึงธุรกิจกาสิโนที่โดยปกติควรจะสร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการอย่างเป็นกอบเป็นกำ

สื่อต่างประเทศหลายสำนักวิเคราะห์ว่าหากทรัมป์นำเงินมรดกไปใส่ไว้ในกองทุนหุ้นดัชนีแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ เขาจะมีฐานะดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้มาก หรือพูดง่ายๆ ก็คืออยู่นิ่งๆ จะประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่า[12] กิจการของทรัมป์ถูกแรงงานและผู้ประกอบการฟ้องร้องว่าไม่จ่ายค่าจ้างหรือค่าตอบแทนตามสัญญากว่า 3,500 คดีในช่วงเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์ยกข้อต่อสู้ว่าแรงงานหรือผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่ส่งมอบงานที่ดี งานที่เสร็จสมบูรณ์ หรือไม่ส่งงานตามกำหนดเวลา[13] ทรัมป์ยังถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจกว่า 34 กระทง ภาพลักษณ์นักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการจึงเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาและโฆษณาชวนเชื่อที่ทรัมป์ใช้สร้างแบรนด์ของตนเอง ซึ่งทรัมป์ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้และทำให้มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก

YouTube video

ธุรกิจที่ล้มเหลวของทรัมป์แบบสรุปสั้นๆ

บทสรุป

ทรัมป์สวมบทบาทเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ของคนอเมริกันรากหญ้าจากบรรดาชนชั้นนำและต่างชาติที่หวังเอาเปรียบ ส่งผลให้ชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อยและชาวไร่ชาวนาให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างล้นหลาม ทว่าสิ่งที่ทรัมป์ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า การตัดลดงบประมาณ หรือการปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง กลับสวนทางกับคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและทำให้ฐานเสียงของทรัมป์เดือดร้อนเสียเอง เพราะอีกมุมหนึ่ง ทรัมป์ได้เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มชนชั้นนำคนรวยผ่านนโยบายลดภาษี การปูทางให้นายทุนมีอำนาจควบคุมราคาสินค้าในตลาดผู้แข่งขันน้อยราย และการปั่นหุ้นให้คนรวยเก็บเกี่ยวผลกำไรในตลาดที่ผันผวน

ในอีกด้านหนึ่ง ภาพความรักชาติที่ทรัมป์สร้างขึ้นได้ทำให้คนไทยบางส่วนเคลิบเคลิ้มไปกับเขา คนไทยที่มีรสนิยมทางการเมืองเชียร์ระบอบอำนาจนิยมหันมาเชียร์ทรัมป์ที่มีความเด็ดขาดและเอาผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง คนไทยเหล่านี้รู้สึกพึงพอใจเวลาที่เห็นคนอื่นๆ ถูกจำกัดเสรีภาพโดยทรัมป์ ตลอดจนสะใจเวลาที่เห็นประเทศเล็กๆ ถูกรัฐบาลทรัมป์จัดการเพราะไม่เจียมตัวและไม่ยอมศิโรราบต่ออำนาจ แต่กระนั้น ระบอบอำนาจนิยมของรัฐบาลทรัมป์ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศขนาดเล็กอย่างไทยเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในวันที่รัฐบาลทรัมป์ใช้อำนาจขู่เข็ญว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยกว่าร้อยละ 36 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนไทยเอง

ดังนั้นแล้ว การคล้อยตาม ‘คำพูด’ ของทรัมป์ที่อ้างว่าทำเพื่อชาติจึงอาจไม่สอดคล้องกับประโยชน์พวกพ้องที่ถูกทรัมป์ ‘กระทำ’ ย่ำยี

References
1 Eva Xiao, Clara Murray, Jonathan Vincent, John Burn-Murdoch, and Joel Suss, “Poorer voters flocked to Trump – and other data points from the election,” Financial Times, November 10, 2024, https://www.ft.com/content/6de668c7-64e9-4196-b2c5-9ceca966fe3f.
2 “Public Anticipates Changes With Trump but Is Split Over Whether They Will Be Good or Bad,” Pew Research Center, February 7, 2025, https://www.pewresearch.org/politics/2025/02/07/trumps-second-term-early-ratings-and-expectations/.
3 “March 2025 Harvard CAPS-Harris Poll,” Harvard CAPS / Harris Poll, March 26-27, 2025, https://harvardharrispoll.com/wp-content/uploads/2025/03/HHP_Mar2025_KeyResults.pdf.
4 Ibid.
5 Bill Edmonson, “MAGA: Beyond Economic Anxiety,” Medium, April 16, 2024, https://billedmonson.medium.com/maga-beyond-economic-anxiety-a912e3363fe4.
6 Emma Barnett and Jillian Frankel, “Trump says there will be a ‘bloodbath’ if he loses the election,” NBC News, March 17, 2024, https://www.nbcnews.com/politics/donald-trump/trump-bloodbath-loses-election-2024-rcna143746.
7 Scott Pelley, “Trump’s Pennsylvania win fueled by economic concerns among Latino, working-class voters,” CBS News, November 10, 2024, https://www.cbsnews.com/news/trump-win-economy-working-class-latino-60-minutes/.
8 Jason Lange, Bo Erickson and Brad Heath, “Trump’s return to power fueled by Hispanic, working-class voter support,” Reuters, November 7, 2024, https://www.reuters.com/world/us/trumps-return-power-fueled-by-hispanic-working-class-voter-support-2024-11-06/.
9 Stephen Wilmot, “The 1960s ‘Chicken Tax’ Shows the Lasting Impact of Tariffs,” The Wall Street Journal, March 19, 2025, https://www.wsj.com/economy/trade/the-1960s-chicken-tax-shows-the-lasting-impact-of-tariffs-aad04b6a.
10 Eric Lutz, “Donald Trump’s Supporters Will Bear the Cost of His Economic Chaos,” Vanity Fair, October 30, 2024, https://www.vanityfair.com/news/story/donald-trump-economic-chaos?srsltid=AfmBOooxbaravMDYS4ml6chmWKCSvHsGyrxPx9c82Jx1vIncq8QOChih.
11 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ธงชัย วินิจจะกูล, “บททดลองเสนอ : อภิสิทธิ์ปลอดความผิด (impunity) และความเข้าใจสิทธิมนุษยชนในนิติรัฐแบบไทยๆ,” ฟ้าเดียวกัน 14, 2 (พฤษภาคม – ธันวาคม 2559): 191-221.
12 Dylan Matthews, “Donald Trump isn’t rich because he’s a great investor. He’s rich because his dad was rich,” VOX, March 30, 2016, https://www.vox.com/2015/9/2/9248963/donald-trump-index-fund. Claire Groden, “Donald Trump Would Be Richer If He’d Have Invested in Index Funds, Fortune, August 20, 2015, https://fortune.com/2015/08/20/donald-trump-index-funds/.
13 Steve Reilly, “Hundreds allege Donald Trump doesn’t pay his bills,” USA TODAY, June 9, 2016, https://www.usatoday.com/story/news/politics/elections/2016/06/09/donald-trump-unpaid-bills-republican-president-laswuits/85297274/. Jonathan Stempel, “Trump’s longtime driver sues for several years of unpaid overtime, Reuters, June 10, 2018, https://www.reuters.com/article/world/us/trumps-longtime-driver-sues-for-several-years-of-unpaid-overtime-idUSKBN1JZ298/.

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save