“ไม่มีสักวันที่ไม่คิดถึง” หัวใจที่ถูกพรากของพ่อแม่วีรชน ’53 เมื่อความเงียบกลืนกินความยุติธรรม

ผู้เป็นพ่อค่อยๆ หยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกจากกล่องมาวางเรียงบนโต๊ะกินข้าวกลางบ้าน มีนาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์ บัตรประจำตัว โทรศัพท์มือถือ และถุงมือขับมอเตอร์ไซค์ สมบัติเล็กน้อยเหล่านี้คือของที่ลูกชายของเขาพกติดตัวในวันสุดท้าย

เวลาผ่านมาตั้ง 15 ปีแล้วที่เจ้าของนาฬิกาสีเงินหน้าปัดสีดำแดงถูกกระสุนทะลวงเข้าทรวงอกและจากไปในวัยเพียง 29 ปี ทิ้งไว้เพียงคำสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริงที่ว่าจะอยู่ดูแลพ่อแม่ตอนแก่เฒ่า

“นาฬิกาข้อมือยังเดินอยู่เลยนะคะ” ผู้มาเยือนทัก

“ใช่ พ่อดูแลอยู่ตลอด” บรรเจิดตอบ สภาพสิ่งของที่ถูกเก็บรักษาไว้บ่งบอกว่ามีการดูแลอย่างดี การหมั่นใส่ใจดูแลถ่านนาฬิกาข้อมือที่ไม่มีใครใส่มา 15 ปีคงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา

เวลาบนนาฬิกาของผู้ตายยังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ พร้อมอายุความคดีที่กำลังนับถอยหลัง แต่สำหรับพ่อแม่ที่สูญเสียลูกชายคนโต เวลาของพวกเขาถูกหยุดลงเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ หรือ โบ้ท ถูกฆ่าที่แยกคอกวัวระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมเสื้อแดง

นับจากนั้นนาฬิกาของพ่อแม่ก็ไม่เคยเดินหน้า แต่พวกเขายังต้องใช้ชีวิตต่อในโลกอนธการที่ปราศจากความยุติธรรม

บรรเจิด-สุวิมล ฟุ้งกลิ่นจันทร์

ลูกชายคนแรก หัวเรือของชีวิตพ่อแม่

เทิดศักดิ์โตมาในซอยวัดสุวรรณ ย่านคลองสาน กรุงเทพฯ เขามีน้องชายหนึ่งคนในวัยไล่เลี่ยกัน สองเด็กชายโตมาในบ้านที่เลี้ยงลูกแบบสบายๆ ไม่บีบคั้น คำขอจากแม่ที่ลูกๆ จำได้มีเพียงว่าขอให้ไม่ยุ่งกับเรื่องลักขโมยและยาเสพติด

“ตอนเล็กเขาเป็นเด็กน่ารัก คนทั้งซอยรู้จักโบ้ทหมด มีแต่คนรัก เพราะเขาน่ารัก” สุวิมล ฟุ้งกลิ่นจันทร์ แม่ของเทิดศักดิ์เล่าด้วยรอยยิ้ม

ภาพวัยเด็กของลูกชายที่แม่จำแม่นคือเทิดศักดิ์เป็นเด็กใจดี “เขาเคยขอเงินไปซื้อขนมห้าบาท แม่ก็ให้ไป กลับมาไม่มีขนม แม่ก็ถามโบ้ท ‘เอ้า ไหนขนมล่ะ’ ‘ไม่มีให้เขาไปแล้ว’ คือโบ้ทเอาเงินไปให้ขอทานแทน เขาเป็นเด็กแบบนี้” หรืออีกเรื่องคือเทิดศักดิ์มักทำรองเท้าหายอยู่เป็นประจำ “บางทีใส่รองเท้าออกไปเล่นแล้วรองเท้าหายประจำ เดินเท้าเปล่ากลับบ้านมาบอกแม่ว่า ‘หายไปแล้ว’ ที่จริงเขาชอบยกรองเท้าให้เพื่อน เราก็ดุเขานะ” เธอเล่าอย่างเอ็นดู

“โบ้ทเป็นเด็กเลี้ยงไม่ยาก ไม่ดื้อ เขาสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ เชื่อฟังแม่เสียส่วนใหญ่” บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ พูดถึงลูกชาย “เวลาแม่อยากได้อะไรก็จะซื้อมาให้ เป็นคนนิสัยดีคนหนึ่งสำหรับพ่อแม่”

เทิดศักดิ์เรียนจบปริญญาตรีสาขาคหกรรม ที่ราชภัฏพระนคร แม้ว่าขณะนั้นครอบครัวเขาย้ายมาเปิดร้านอาหารตามสั่งอยู่ย่านดอนเมือง แต่ก็ไม่เคยสอนเขาทำอาหาร เทิดศักดิ์เพียงต้องการเรียนอะไรก็ได้เพื่อคว้าปริญญามาให้พ่อแม่และหางานทำต่อ

“ฝีมือทำอาหารเขาก็โอเคนะ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อน เขาก็ชอบเสนอตัวว่าจะทอดไก่ไปให้เพื่อนกิน แล้วก็ตื่นแต่เช้ามาทอดไก่ เป็นคนที่ถ้ารับปากอะไรแล้วจะทำ” สุวิมลบอก

หลังเรียนจบเทิดศักดิ์เปลี่ยนงานหลายครั้ง ตั้งแต่เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานห้าง พนักงานบริษัทขายเนื้อสัตว์ จนงานสุดท้ายคือบริษัทเครื่องดื่มที่งานส่วนใหญ่คือการขับมอเตอร์ไซค์ไปหาลูกค้า พอเริ่มทำงานมีเงินเดือนเขาก็กู้ซื้อบ้านร่วมกับน้องชายและพาครอบครัวย้ายมาอยู่ปทุมธานี พ่อแม่จึงย้ายมาเปิดร้านขายอาหารตามสั่งในหมู่บ้าน

“โบ้ทเป็นคนจัดการชีวิตของพ่อแม่ เขาเป็นหัวเรือใหญ่ คิดอะไรต่างๆ พ่อแม่จะฟังลูกชายคนนี้มากที่สุด เพราะน้องชายเป็นคนเงียบๆ เวลาโบ้ทไปไหนก็จะชวนพ่อแม่ไปด้วย ไปซื้อของคลองถมก็ชวนเราไปด้วย พาพ่อแม่ไปเที่ยว” บรรเจิดเล่า

สุวิมลเสริม “แม่อยากได้อะไร แม่อยากกินอะไร โบ้ทบริการแม่หมด เขารู้ว่าแม่ชอบหรือไม่ชอบอะไร เราสนิทกัน เขาเล่าให้เราฟังทุกเรื่อง ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา”

“ทำไมถึงเป็นลูกเรา?

ครอบครัวฟุ้งกลิ่นจันทร์เข้าร่วมการชุมนุมเสื้อแดงจากการชักชวนของเทิดศักดิ์ สุวิมลมองว่าก่อนหน้านั้นครอบครัวพวกเขามักใช้การโหวตในการตัดสินใจเรื่องชีวิตประจำวัน จึงอาจทำให้ลูกซึมซับเรื่องความเท่าเทียมและการรับฟังความเห็นกันทีละน้อย

“โบ้ทสนใจการเมืองมาก มีอยู่วันหนึ่งพ่อกับแม่ดูโทรทัศน์อยู่แล้วเห็นข่าวท่านทักษิณ ชินวัตรโดนยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท โบ้ทเดินลงมาจากห้องนอนข้างบนบ้านแล้วพูดว่า ‘ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ มันไม่ถูกนะ’ ตั้งแต่นั้นเขาก็เริ่มออกไปม็อบเต็มตัว” สุวิมลกล่าว

ตัวสุวิมลและบรรเจิดเองก็มีหลายนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ชื่นชอบ อย่างสามสิบบาทรักษาทุกโรค พวกเขามองว่าจากไทยรักไทยมาจนถึงเพื่อไทยเป็นพรรคที่ทำเพื่อประชาชนมาตลอด “พ่อ (บรรเจิด) ผ่าตัดหัวใจก็ได้ใช้สามสิบบาทฯ ถ้าเราไม่มีนโยบายนี้ก็ตายนะ เพราะเราไม่มีเงิน นี่เป็นสิ่งที่พรรคทำไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคทำอะไรแล้วจะรับได้ทุกอย่าง คนเราต้องอยู่ที่เหตุและผล ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี” สุวิมลบอก

สองสามีภรรยาเข้าร่วมการชุมนุมเสื้อแดงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการไปชุมนุมในคืนวันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์พวกเขาปิดร้านหยุดพักผ่อน

เช้าวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างที่สามพ่อแม่ลูกดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้าน เทิดศักดิ์นัดหมายพ่อแม่ว่า “เดี๋ยวตอนเย็นเราไปเจอกันราชประสงค์เนอะ” แล้วเขาจึงขับมอเตอร์ไซค์ออกไปทำงาน

วันนั้นบรรเจิดและสุวิมลไม่ได้เปิดร้าน บ่ายๆ สองสามีภรรยาขับมอเตอร์ไซค์ไปทำบัตร นปช. ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เสร็จแล้วจึงไปรอลูกในม็อบที่แยกราชประสงค์

“ปกติโบ้ทจะโทรคุยกับแม่ตลอดว่าถึงไหนแล้ว มาถึงหรือยัง แต่วันนั้นเงียบ ไม่มีเลย” สุวิมลย้อนความทรงจำ

ความจริงเทิดศักดิ์ตั้งใจจะไปที่ราชประสงค์หลังเลิกงานตามที่นัดไว้กับพ่อแม่ แต่พอเขารู้ว่าม็อบมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่นางเลิ้ง เทิดศักดิ์จึงเปลี่ยนใจขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปสมทบกับเพื่อนที่นางเลิ้ง

บรรเจิดเล่า “เรานั่งรอแถวรูปปั้นเดอะเฮด (ห้างเซ็นทรัลเวิลด์) รอแล้วรอเล่า แฟนผมโทรหาโบ้ทก็ไม่รับ จนมีพยาบาลบอกว่าเขายิงกันที่สี่แยกคอกวัวกับสะพานผ่านฟ้า เราก็ไม่เชื่อ พอผมไปดูที่จอถ่ายทอดสดก็เห็นร่างคนที่ถูกยิงอยู่บนเวที 4-5 คน เช่น อำพน ตติยรัตน์, ไพรศล ทิพย์ลม แฟนถามว่า ‘มีลูกชายไหม’ เราเห็นว่าไม่มีจึงกลับไปนั่งรอที่เดิม”

สุวิมลเล่าต่อ “โบ้ทรับโทรศัพท์ตอน 19.54 น. เราไม่คิดว่า ณ เวลานั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ได้ยินเสียงลูก ‘อ้าว โบ้ทอยู่ไหนเนี่ย’ โบ้ทบอก ‘แม่ โบ้ทอยู่ถนนข้าวสาร อยู่กับเพื่อน’ ลูกชายเราเป็นเด็กคิดบวก เขาบอกเพื่อนว่า ‘ทหารไม่ทำประชาชนหรอก’ ลูกเราไม่คิดเลยว่าทหารจะทำแบบนี้กับประชาชน”

ไม่กี่นาทีหลังวางสายจากแม่ เวลาราว 20.15 น. ที่สี่แยกคอกวัว เทิดศักดิ์เห็นคนถูกยิงในที่ชุมนุม เขาและเพื่อนจึงช่วยกันพาผู้บาดเจ็บออกจากบริเวณนั้น แต่เทิดศักดิ์เดินกลับมาพื้นที่เดิมอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกจึงคลาดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน

เทิดศักดิ์ถูกยิงเข้าที่หน้าอกด้วยกระสุนจริงหลายนัดก่อนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลราชวิถี มีพยานในเหตุการณ์เล่าไว้ว่า[1] “โบ้ทยังบอกว่า พี่เอาคนเจ็บออกไปก่อน กระสุนน่ะเราไม่เห็น เห็นแต่คนร่วง แต่มันมาจากฝั่งทหารแน่ อย่างโบ้ทนี่โดนทหารแน่นอน เขาอยู่ด้านหน้าเลย”

สุวิมลย้อนความทรงจำถึงช่วงเวลานั้นว่า “ตอนที่โบ้ทบอกว่าอยู่ถนนข้าวสาร เราเข้าใจว่าลูกอยู่แถวทางวัดชนะสงคราม ไม่คิดว่าจะอยู่ตรงแยกคอกวัว พอวางโทรศัพท์ไปเราก็โทรหาเขาอีกหลายครั้ง แต่เขาไม่รับ ก็รอไปเรื่อยๆ จนสักตีหนึ่งกว่ามีเสียงโทรศัพท์เข้ามา เป็นเบอร์ลูกชาย เรารีบรับเลย แต่เสียงที่ตอบมาไม่ใช่เสียงลูกเรา ‘พยาบาลนะคะ โทรจากโรงพยาบาลราชวิถี ลูกคุณถูกยิงหายใจรวยริน’ ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจว่าหายใจรวยรินคือใกล้ตายแล้ว”

สองสามีภรรยารีบขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลพร้อมคำถามในใจว่า ‘ทำไมถึงเป็นลูกเรา’ เมื่อไปถึงจึงเห็นลูกชายนอนไม่มีสติพร้อมสายระโยงระยาง แพทย์แจ้งว่า ‘ช่วยเต็มที่แล้ว’ ความหมายที่ซ่อนไว้คือช่วยไม่ได้แล้ว หน้าจอเครื่องวัดสัญญาณชีพแสดงชีพจรแผ่วเบา พ่อแม่จึงเข้าไปกอดร่างลูกชาย

“โบ้ท แม่มาแล้วนะ”

“โบ้ทอย่าเป็นอะไรนะ โบ้ทต้องอยู่กับแม่นะ”

ชีวิตที่ต้องเฝ้าดูความอยุติธรรม

เทิดศักดิ์เสียชีวิตตอนตีสามของวันที่ 11 เมษายน 2553 ที่โรงพยาบาลราชวิถี กระสุนหลายนัดนั้นไม่ได้ฉีกทำลายแค่หัวใจของเทิดศักดิ์ แต่ยังทำลายหัวใจของพ่อแม่ไปด้วย

เป็นเรื่องยากที่ใครจะเอาชีวิตรอดจากการถูกยิงทะลุหัวใจและปอด

เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่การเข้าร่วมม็อบกลางเมืองหลวงจะทำให้ถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้

และเป็นเรื่องอัศจรรย์พันลึกที่ไม่มีใครถูกลงโทษจากการเข่นฆ่าประชาชนครั้งนั้นเลย

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนมีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม 27 คน หลายรายถูกยิงเข้าที่หัวด้วยอาวุธสงคราม แต่ความตายอันเลวร้ายในวันนั้นยังไม่สามารถหยุดปฏิบัติการเลือดเย็นของ ศอฉ. ภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ เมื่อเหตุการณ์ลากยาวถึงเดือนพฤษภาฯ จนมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 94 คน (ตัวเลขจากข้อมูลของ ศปช.)

ในงานศพของเทิดศักดิ์มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานล้นหลาม แม้คนร่วมขบวนการจะส่งกำลังใจมหาศาลแต่ก็ไม่อาจเยียวยาพ่อแม่ที่สูญเสียลูกได้

“ทำใจไม่ได้” คือคำที่บรรเจิดอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเก็บตัวอยู่บ้านแทบไม่ดูโทรทัศน์อยู่เกือบเดือน จนเหตุการณ์ในม็อบที่ราชประสงค์เริ่มกลับมาเข้มข้น สองสามีภรรยาจึงไปร่วมชุมนุมอีกครั้ง “เราเริ่มออกจากบ้าน ไปราชประสงค์ ไปดูว่าเขาทำอะไรกัน มีการพูดถึงลูกเราหรือเปล่า” แต่เมื่อความรุนแรงระลอกใหม่ปะทุพวกเขาก็หลีกเลี่ยง

“ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ เราไม่ดูข่าวยิงกันเลย รับไม่ได้ หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ลูกเราไม่อยู่เพราะไปเที่ยว ลูกเราไปต่างประเทศ …เหมือนคนบ้าไหม ไปเดินซื้อของแล้วได้ยินเสียงคนรุ่นเดียวกับโบ้ทเรียก ‘แม่’ เราก็หันไปตอบ ‘อะไร’ ปรากฏว่าไม่ใช่ลูกเรา” สุวิมลเล่า

แม้ชีวิตคนตายไม่อาจเรียกคืน แต่สิ่งที่พ่อแม่ต้องเรียกร้องคือการหาความยุติธรรมในความตายไม่ปกติของลูกชาย จนเวลาผ่านมา 15 ปี คดีของเทิดศักดิ์ยังถูกแช่แข็งอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

แม้คดีเทิดศักดิ์ยังไม่มีคำสั่งไต่สวนการตาย แต่บรรเจิดตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับคดีในเหตุการณ์วันเดียวกันที่มีคำสั่งไต่สวนการตายแล้ว คือคดีของจรูญ ฉายแม้นและสยาม วัฒนนุกูลซึ่งถูกยิงเสียชีวิตหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยศาลชี้ว่ากระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันมีผู้เสียชีวิตอีกสามคนคือวสันต์ ภู่ทอง, ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ และทศชัย เมฆงามฟ้า ซึ่งเสียชีวิตบริเวณเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกันแต่ศาลสั่งว่าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ

“มันก็แปลก แต่พวกเราก็ทำใจ ได้แต่รอคอย” บรรเจิดกล่าว

‘เฝ้าดู’ และ ‘รอคอย’ คือสิ่งที่สองสามีภรรยาย้ำหลายครั้งถึงเรื่องที่พวกเขาทำได้

“ต้องทำให้ร่างกายตัวเองแข็งแรงแล้วเฝ้าดูคนที่กระทำลูกเราว่าชีวิตครอบครัวแต่ละคนเป็นอย่างไร เพราะเราจะไปทำอะไรเขาได้ ขนาดเราตะโกนจนคอแห้งเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงเราเลย

“ถามว่าประชาชนอย่างเราจะไปพูดอะไรได้ แล้วได้ยินเราไหมผ่านมา 15 ปีแล้ว กระสุนตั้งเท่าไหร่ที่เบิกมาใช้นั่นก็ภาษีประชาชนทั้งนั้น คิดอะไรบ้างไหมคนยิงน่ะ คนสั่งคิดอะไรบ้างไหม” สุวิมลตั้งคำถาม

เหตุการณ์ปี 2553 กลายเป็นแผลฉกรรจ์ที่สร้างความบาดหมางทางการเมืองอย่างสาหัส ขณะที่ฝ่ายการเมืองหลายฟากพยายามชวน ‘ก้าวข้าม’ ‘ปรองดอง’ ‘สมานฉันท์’ หลายครั้งมีการหยิบยกเหตุผลว่าต้องก้าวข้ามเหตุการณ์ปี 2553 เพราะมีการเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียด้วย ‘เงิน’ เรียบร้อยแล้ว

สำหรับผู้สูญเสียอย่างบรรเจิดและสุวิมล พวกเขายืนยันหนักแน่นว่า ‘ไม่พอ’

“ไม่พอ ไม่คุ้ม ขอลูกคืนดีกว่า ถ้าลูกอยู่จะได้กินข้าวกันสี่คนพ่อแม่ลูก ทุกวันนี้กินข้าวไม่มีความสุข กินไปอย่างนั้นให้อยู่รอดไป ถ้าลูกยังอยู่จะมีความสุขมากกว่า” บรรเจิดบอก

ที่ผ่านมาพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันถึงความคาดหวังในกระบวนการยุติธรรมตามสภาพที่พอจะหวังได้ พวกเขาหวังให้มีคำสั่งศาลลงโทษผู้กระทำผิดในระดับสั่งการ เพื่อให้ปรากฏชื่อผู้รับผิดชอบ แต่หลังจากนั้นหากมีการนิรโทษกรรมหรือให้รอลงอาญาก็ยังดีกว่ามีแต่ความเงียบแบบที่เป็นอยู่

“ให้ศาลตัดสินคนที่ทำว่าผิด จะพอใจระดับหนึ่ง ถ้าจะมีรอลงอาญาหรือนิรโทษกรรมอะไรก็แล้วแต่ ต่อให้ไม่ติดคุกแต่เขาได้ชื่อว่าผิดก็ยังดี เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว จะให้เขาตายตามลูกชายเราไปก็เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นผลแห่งกรรมแล้วกัน” บรรเจิดบอกว่าอีกเรื่องที่เขาต้องการคือคำขอโทษ “คนเราเดินชนกันนิดหน่อยยังขอโทษกันเลย แต่นี่ฆ่าคน…ไม่มีเลย ทุกคนก็อยากได้ยินคำขอโทษ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่”

ส่วนสุวิมลยืนยันว่าต้องสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับสั่งการ เธอเล่าว่าหลังจากเหตุการณ์เคยมีทหารเกณฑ์มากินข้าวที่ร้าน เธอจึงถามไปว่า “ไอ้หนู เอ็งเป็นทหารเกณฑ์ใช่ไหม แล้วเอ็งไปปราบม็อบเสื้อแดงกับเขาหรือเปล่า” ทหารหนุ่มตอบว่า “ไปป้า” ทหารคนนั้นเล่าว่าในเหตุการณ์พลทหารถูกสั่งให้ยืนตั้งแถวสามแถวและแถวที่สี่เป็นทหารสัญญาบัตรเอาปืนจี้พลทหารอยู่ “ถ้าผมไม่ยิง มันจะยิงผม”

สุวิมลจึงเข้าใจว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากคำสั่งที่ถูกถ่ายทอดลงมาเป็นทอดๆ ที่มาของความเลวร้ายจึงเกิดจากคนสั่งการ

“อยากให้เขามาเป็นเรา อยากให้เขารู้ความรู้สึกของครอบครัวที่จน ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร เราเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม กว่าจะเรียนจบได้ปริญญา อยากให้ลูกมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้า ไม่ได้เลี้ยงลูกมาให้คุณฆ่าตาย” สุวิมลบอก

อย่าปล่อยให้ความเงียบสยบความยุติธรรม

“เรื่องนี้มันใหญ่เกินกำลังประชาชนตาดำๆ อย่างเรา” สุวิมลสะท้อนสิ่งที่เธอเผชิญ

“พรรคการเมืองก็เหมือนกัน พรรคอื่นเราไม่รู้ แต่พรรคที่เราให้ใจมาตลอด บางครั้งเจอหน้าญาติผู้สูญเสียก็ถามคำเดียวว่า ‘เอ้า มาทำไมกัน ได้เงินเยียวยาแล้วไม่ใช่เหรอ’ คนตายไปถามว่าให้เงินอย่างเดียวแล้วจบใช่ไหม มันไม่ใช่นะ” สุวิมลกล่าว

นับจากปี 2553 ช่วงที่คดีความคืบหน้าที่สุดคือสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในบริบทที่เปลี่ยนไปกลับไม่ทำให้พ่อของเทิดศักดิ์มีความหวังมากขึ้น

“ในรัฐบาลคุณอุ๊งอิ๊งค์ (แพทองธาร ชินวัตร) มันมีฝ่ายอำมาตย์อยู่ในรัฐบาล มันทำยาก ถ้าพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนอยู่ด้วยกันจะง่ายขึ้นเยอะ จะไม่มีฝ่ายขัดขวาง พอมาอยู่กับพวกนี้แล้วมันก็ไม่ค่อยเต็มที่ อย่าไปหวังอะไรเยอะแยะ”

นอกจากสภาพการจับขั้วรัฐบาลที่ทำให้คดีปี 2553 อยู่ในความเงียบแล้ว สภาพความแตกร้าวในหมู่มวลชนเสื้อแดงก็ส่งผลถึงการเรียกร้องความยุติธรรม

“มวลชนก็มีส่วนนะ เพราะมันเป็นการแตกแยกโดยไม่น่าเป็นไปได้ แต่การเรียกร้องจะคืบหน้าหรือไม่อยู่ที่นักการเมืองเสียมากกว่า แต่ละคนเงียบกันหมด มีคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อกับคุณก่อแก้ว พิกุลทองที่พยายามเต็มที่แล้ว แต่จะถึงจุดหมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนอื่นในพรรคเพื่อไทยพูดตรงๆ ว่าไม่มีเลย อยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นแบบปีแรกๆ ที่เรียกญาติๆ ไปเจอกัน ถามทุกข์สุขว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยากให้ถามเราว่า 15 ปีแล้วความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ลำบากไหม” บรรเจิดบอก

เส้นทางตลอด 15 ปีที่ประตูในกระบวนการยุติธรรมถูกไล่ปิดมาเรื่อยๆ เพื่อให้คดีเกิดทางตัน ทำให้ความคาดหวังที่เหลืออยู่ที่การลงนามให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court – ICC) มีอำนาจพิจารณาคดี

“เรื่องศาลไอซีซีตัดไปเลย” บรรเจิดบอกอย่างไร้หวัง “ขนาดตอนที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจเขายังไม่เซ็นเลย แล้วจะให้ใครเซ็น ได้ยินว่าทางพรรคเขากลัวอะไรก็เรื่องของเขา เราไม่เคยไปเรียกร้อง”

แต่สำหรับสุวิมลเธอยังหวังให้เรื่องนี้เกิดขึ้น “เรื่องศาลไอซีซีแม่อยากให้เป็นอย่างนั้นนะ อยากให้มีช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางเล็กๆ ที่มีแสงสว่างน้อยๆ ตรงปลายทางก็ยังดี ขอให้ได้ไปถึง เพราะในประเทศเราไม่คาดหวังจะเรียกร้องความยุติธรรมแล้ว มันไม่ได้แน่นอน ถ้ามีความยุติธรรมจริงคงไม่ยาวถึง 15 ปีหรอก จริงไหม”

เธอตั้งคำถามว่าผ่านมา 15 ปีแล้ว หากเป็นคดียิงคนตายทั่วไปคงมีการลงโทษผู้กระทำไปแล้ว แต่ทุกวันนี้มีแต่ความเงียบ กระทั่งคดีอื่นในเหตุการณ์ 2553 ที่ศาลชี้ว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนฆ่าก็ยังหาความเป็นธรรมไม่ได้

“ทำไมกล้ายิงคนแล้วไม่กล้ารับผิด รับผิดชอบสิ ให้มันจบไปอย่างสวยงาม ไม่ใช่ว่าให้ความเงียบสยบความยุติธรรม อย่ากระทำกับประชาชนแบบนี้เลย”

เมื่อคนเป็นแม่ย้อนมองความตายของลูก เธอเห็นว่าเหตุผลที่เขาต้องตายเพียงเพราะ ‘ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่เต็มร้อย’ แน่นอนว่าผลที่ตามมานั้นไม่สมเหตุผล “อยากให้มีคนช่วยเราสำเร็จ เราอยากเห็นก่อนที่เราจะเสียชีวิตกัน เราแก่แล้ว พ่อแม่วีรชนเสื้อแดงหลายคนก็ตายไปโดยไม่ได้เห็นความยุติธรรม อยากให้มีคนที่กล้าพอจะช่วยเรา” สุวิมลบอก

เส้นทางการเรียกหาความยุติธรรม 15 ปีเป็นเวลายาวนาน แต่สำหรับแม่ที่เสียลูกชายคนโต ความรู้สึกของเธอไม่เคยน้อยลงเลย “มันนานก็จริง แต่สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบ นานเท่าไหร่ก็จะต้องจดจำ แต่ละปีพอใกล้ถึงเดือนเมษาฯ ความรู้สึกก็กลับมาอีกแล้ว แต่ละปีก็ผ่านไปเร็ว”

ไม่ต่างกัน 15 ปีของบรรเจิดไม่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อลูกชายเปลี่ยนแปลงไป

“ไม่มีเลย ไม่มีสักวันหนึ่งเลยที่ไม่คิดถึง”

บรรเจิดหยิบนาฬิกาข้อมือกลับลงในกล่องสมบัติของลูกชาย นับจากวันที่เทิดศักดิ์จากไป พ่อแม่ก็ละทิ้งวันเวลาของตัวเองมาเรียกหาความยุติธรรมให้ลูก แต่เวลาที่เดินหน้ากลับยิ่งทำให้ความหวังถอยหลัง

การให้ความยุติธรรมต่อความตายที่เกิดจากความเลือดเย็นของรัฐไทยเหล่านี้จะไม่ใช่เพียงการฉุดสังคมขึ้นจากหล่มความเลวร้าย แต่ยังเป็นการคืนชีวิตให้อีกหลายครอบครัวที่ถูกขุดหลุมกลบไว้ในความเงียบของความตายปี 2553

References
1 ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค.53, ความจริงเพื่อความยุติธรรม : เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53, หน้า 94-95.

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Spotlights

4 Nov 2020

101 Policy Forum : ประเทศไทยในฝันของคนรุ่นใหม่

101 เปิดวงสนทนาพูดคุยกับตัวแทนวัยรุ่น 4 คน ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน , สิรินทร์ มุ่งเจริญ, ภาณุพงศ์ สุวรรณหงษ์, อัครสร โอปิลันธน์ ว่าด้วยสังคม การเมือง เศรษฐกิจไทยในฝัน ต้นตอที่รั้งประเทศไทยจากการพัฒนา ข้อเสนอเพื่อพาประเทศสู่อนาคต และแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่

กองบรรณาธิการ

4 Nov 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save