ทำไมบราซิลถึงเป็นชาติที่เล่นฟุตบอลได้อย่างยอดเยี่ยม?
คำถามนี้เชื่อว่าใครหลายๆ คนที่เคยดูกีฬาฟุตบอลก็น่าจะเคยตั้งคำถาม บ้างก็หาคำตอบจริงจัง และอาจได้คำตอบในแบบฉบับของตัวเอง หรือบางคนก็อาจจะปล่อยผ่านไป
ในปัจจุบันคำว่า ‘ฟุตบอล’ กับ ‘บราซิล’ อาจจะไม่ได้ขลังเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ทีมชาติบราซิลเป็นทีมชาติหมายเลข 1 ของโลกอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งนักเตะบราซิลหลายๆ คนต่างเป็นนักเตะพรสวรรค์กันเกือบทุกตำแหน่ง
แต่ถึงอย่างนั้นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชาวบราซิล และฟุตบอลกลับไม่ได้แตกต่างจากช่วงเวลาที่ผ่านมามากนัก นักฟุตบอลของพวกเขายังคงเป็นฮีโร่, ดารา และอาจจะเป็นได้กระทั่งเทพเจ้า หากเขาคนนั้นบันดาลความสำเร็จให้กับทีมชาติได้
ความผูกพันระหว่างฟุตบอลกับชาวบราซิลจึงมากกว่าแค่กีฬากับผู้คน แต่มันอาจจะหมายถึงเรื่องราว วิถีชีวิต และสำหรับบางคนมันอาจจะเทียบได้กับศาสนาเลยด้วยซ้ำ
จุดเริ่มต้นที่ไม่แน่นอน
ว่ากันว่า ‘ฟุตบอล’ เป็นศาสนาที่ได้รับความนิยมอันดับ 2 ต่อจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งคำกล่าวนี้อาจจะไม่เกินไป เมื่อดูจากตัวเลขสถิติต่างๆ พบว่าในฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา 85.9% ของชาวบราซิลทั้งประเทศดูฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา และเชื่อว่าในฟุตบอลโลกครั้งต่อไปที่ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดาเป็นเจ้าภาพร่วมกัน อาจมีผู้ชมเยอะกว่าเดิม เนื่องจากเวลาเอื้ออำนวยต่อการชมมากกว่า
ตัวเลขดังกล่าวอธิบายได้เป็นอย่างดีว่า ชาวบราซิลคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลกันมากมายขนาดไหน และคงจะไม่เกินไปหากจะบอกว่า ชาวบราซิลเป็นหนึ่งในชาติที่คลั่งไคล้กีฬานี้มากที่สุดในโลก แต่กว่าที่พวกเขาจะเดินมาถึงจุดนี้ ฟุตบอลต้องผ่านเรื่องราวมากมาย กว่าที่มันจะหลอมรวมมาเป็นวิถีชีวิตและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวบราซิลแบบที่เป็นในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่ว่ากันว่า ฟุตบอลได้เดินทางเข้ามาสู่ประเทศบราซิล เช่นเดียวกับที่มันเดินทางไปสู่อีกหลายประเทศ แต่เรื่องราวการเดินทางมายังบราซิลของฟุตบอลไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ทำให้จนถึงปัจจุบันยังมีแนวคิดอยู่หลายแนวคิดเกี่ยวกับการนำพากีฬาประจำชาติพวกเขามาสู่ประเทศแห่งนั้น
แนวคิดแรกเชื่อว่า ฟุตบอลมากับกะลาสีเรือชาวอังกฤษและชาวเนเธอร์แลนด์ที่นำลูกฟุตบอลเดินทางมากับพวกเขา ก่อนเอาขึ้นฝั่งมาเล่นบริเวณชายหาดทางชายฝั่งตอนเหนือของบราซิล จนกีฬาดังกล่าวแพร่หลายไปสู่ชนพื้นเมืองและกลายเป็นกีฬาที่เล่นกันในวงกว้าง
ขณะที่เรื่องเล่าอีกฉบับระบุว่าฟุตบอลถูกนำเข้ามาในบราซิลโดยชายคนหนึ่งชื่อโทมัส โดนโนโฮ ซึ่งเป็นชาวสกอตแลนด์ที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศ โดนโนโฮได้จัดการแข่งขันฟุตบอลในบราซิลเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1894 นอกสถานที่ทำงานของเขา ก่อนที่มันจะแพร่หลายไปสู่คนภายนอกอย่างรวดเร็ว
ขณะที่อีกหนึ่งเรื่องราวเป็นเรื่องราวที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด นั่นคือฟุตบอลถูกนำเข้ามายังบราซิล โดยผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อชาร์ลส์ มิลเลอร์ โดยมิลเลอร์เกิดในบราซิลในปี ค.ศ. 1874 ที่เซาเปาโล ก่อนไปศึกษาในอังกฤษ โดยที่เมื่อเขากลับมาบราซิลในปี ค.ศ. 1894 เขาได้นำลูกฟุตบอลสองลูกและหนังสือคู่มือการเล่นฟุตบอลกลับมาด้วย
ตอนอยู่ในอังกฤษ มิลเลอร์เรียนรู้การเล่นฟุตบอลที่สโมสรแห่งหนึ่งในอังกฤษและเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในฐานะนักเตะมาก่อนด้วย เขาได้จัดการแข่งขันฟุตบอลนักแรกที่เซาเปาโล จนการแข่งขันครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้กีฬาฟุตบอลกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะกีฬาสำหรับชนชั้นสูงทันที
ทั้งนี้ เมื่อเริ่มมีการเปิดตัว กีฬาชนิดนี้ถูกจำกัดให้เล่นเฉพาะในสโมสรส่วนตัวและผู้เล่นชาวยุโรปเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป กีฬาชนิดนี้ก็แพร่หลายไปทั่วประเทศและกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวบราซิลทุกคนนั่นเองที่ทำให้เวลาต่อมา ชาร์ลส์ มิลเลอร์ ถูกยกให้เป็นบิดาของวงการลูกหนังบราซิลด้วย
นับจากนั้นเป็นต้นมา การเล่นฟุตบอลก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวบราซิลและกลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมครอบครัว ในแง่หนึ่งกีฬาดังกล่าวได้กลายเป็นมรดกตกทอดและเป็นสิ่งที่ยึดโยงชาวบราซิลไว้ด้วยกันในเวลาต่อมา
กาวที่ยึดชาวบราซิลไว้ด้วยกัน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟุตบอลในบราซิลแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะกีฬาชนิดนี้มีกฎพื้นฐานที่เรียบง่ายอย่างมาก อีกทั้งเด็กๆ หลายคนต่างเล่นฟุตบอลเป็นตั้งแต่เด็กและอาจจะดูฟุตบอลเป็นก่อนหน้านั้น
ความเรียบง่ายนี้เองที่ทำให้ฟุตบอลแพร่หลายอย่างรวดเร็วในบราซิล และทำให้ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สโมสรฟุตบอลต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมายในหลายพื้นที่ของบราซิล โดยที่สโมสรในประเทศบราซิลทำหน้าที่มากกว่าแค่เป็นสโมสรฟุตบอล แต่ยังเป็นเหมือนสถานที่รวมจิตใจของคนในท้องที่และรวมเอาคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกันเอาไว้ด้วยกัน
ในสังคมบราซิลที่มีการแบ่งแยกอย่างเข้มข้น การรวมตัวกันของสโมสรฟุตบอลแต่ละสโมสรจึงมี DNA อย่างชัดเจนไม่ต่างกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ สโมสรอย่าง ‘ฟลาเมงโก’ (Clube de Regatas do Flamengo) จากริโอ เดอ จาเนโร ได้กลายเป็นสโมสรซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นแรงงานและชาวรากหญ้าในเมืองแห่งนี้
ขณะที่ ‘ฟลูมิเนนเซ’ (Fluminense FC) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทีมร่วมเมืองกลับได้แสดงตัวตนของพวกเขาแตกต่างออกไป เพราะสโมสรแห่งนี้เป็นตัวแทนของชนชั้นที่ร่ำรวยและแทบไม่มีผู้เล่นผิวสีอยู่ในทีมเลยในยุคก่อตั้งสโมสร
การกระทำดังกล่าวได้แพร่ขยายจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้สโมสรฟุตบอลได้เชื่อมโยงและประสานคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกันที่มีฐานะใกล้เคียงกันเข้าไว้ด้วยกัน
มันอาจจะเป็น Echo Chamber ในยุคนั้นก็ได้ แต่ในอีกมุมก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘สังคม’ แต่การที่คนแต่ละกลุ่มให้ความสำคัญต่อฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ และมารวมตัวกันที่สนาม มันยิ่งแสดงออกได้ว่าฟุตบอลเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวบราซิลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนจากสโมสรเป็นการแข่งขันทีมชาติ ฟุตบอลก็ยังเป็นตัวประสานแฟนบอลสองกลุ่มที่แตกต่างกัน รวมกันไว้ได้อย่างแนบสนิท พวกเขาสามารถกดคอ ร้องเพลง เฉลิมฉลองกันได้ แม้ว่าจะมาจากคนละชนชั้นและคนละสังคม แม้ว่าในยุคแรก การแบ่งแยกเรื่องสีผิวอาจทำให้ฟุตบอลไม่สามารถพาชาวบราซิลมารวมกันได้มากเท่าที่ควร แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องยอมรับว่า ฟุตบอลเป็นสิ่งที่รวมชาวบราซิลไว้ด้วยกันอย่างชัดเจน
ความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
อีกสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวบราซิลคือ การที่มันเป็นมากกว่ากีฬาสำหรับเด็กๆ หลายคน หรือครอบครัวหลายครอบครัว เพราะฟุตบอลสำหรับคนเหล่านั้นคือความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาได้เลย อาจแตกต่างไม่มากนักจากคนไทยที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อที่จะลุ้นโชคและหวังจะโชคดีหากถูกรางวัล เพราะมันอาจจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล
เด็กๆ ในบราซิลหรืออาจรวมไปถึงผู้ปกครองของพวกเขาอาจจะเห็นภาพไม่ต่างกัน เพราะเด็กๆ ในบราซิลหลายคนต่างต้องการเติบโตมาเป็นนักฟุตบอลเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง กล่าวคือการเป็นนักฟุตบอลสำหรับพวกเขา นอกจากจะเป็นอาชีพการงานที่มีความมั่นคงแล้ว มันยังมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาได้ติดทีมชาติ
นอกจากนี้ หากพวกเขาทำได้ดีจนได้ย้ายไปเล่นในยุโรปก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าชีวิตของพวกเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะนี่คือเส้นทางในการกลายเป็นเศรษฐีจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะเรียกได้ว่า ‘จน’ อย่างเต็มปากเต็มคำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะได้เห็นภาพของเด็กๆ เอากระป๋องอะไรสักอย่างมาตั้งเป็นเสาและเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ วัยรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะนอกจากมันจะเป็นความสุขและสนุกของเด็กๆ แล้ว มันยังมีความฝันที่พวกเขาแบกไว้อยู่ในการเล่นเหล่านั้นด้วย
ความสำเร็จที่เสพติดและอยากต่อยอด
เมื่อมีจุดเริ่มต้นและมีการต่อยอดผ่านความหวัง ฟุตบอลของบราซิลก็มาถึงจุดสูงสุดในฟุตบอลโลกปี 1958 พร้อมกับชายที่มีชื่อว่า ‘เปเล่’ (Pelé) ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ความสำเร็จของวงการฟุตบอลบราซิล เพราะเปเล่พาบราซิลคว้าแชมป์โลกได้ถึงสามสมัย ประกอบด้วยปี 1958, 1962 และ 1970 จนทำให้ชาวบราซิลที่คลั่งไคล้ฟุตบอลอยู่แล้วรู้สึกอินกับฟุตบอลยิ่งไปกว่าเดิม
เพราะนอกจากพวกเขาเสพติดอะดรีนาลีนในตอนที่เชียร์ และเสพติดโดพามีนเมื่อทีมคว้าชัยชนะ เด็กๆ หลายคนก็อยากจะโตมาเป็นอย่างเปเล่ซึ่งเป็นฮีโร่ของชาติ จนทำให้เด็กเหล่านั้นยิ่งมีแรงผลักดันยิ่งกว่าเดิมในการทุ่มเทในเส้นทางฟุตบอล นอกจากแค่ต้องการจะหนีความจน
วงจรของฟุตบอลของบราซิลจึงครบลูปที่จะขับเคลื่อนตัวมันเองไปข้างหน้าเรื่อยๆ นั่นคือ เริ่มต้นในเส้นทางฟุตบอล > ประสบความสำเร็จ > มีชื่อเสียงเงินทอง > มีคนอยากทำตาด้วยการเริ่มต้นเล่นฟุตบอล…วนไป
และด้วยการเมืองบราซิลที่ต้องอยู่กับเผด็จการและการปกครองที่เต็มไปด้วยการคอรัปชันวนกันไป ทำให้ความยากจนของประชากรมีแต่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสำเร็จในโลกฟุตบอลจึงเป็นความสุขเพียงไม่กี่อย่างที่คนในประเทศนี้มองว่าพวกเขาจะได้รับ ส่งผลให้ฟุตบอลขับเคลื่อนตัวมันเองไปข้างหน้าในบราซิลได้เรื่อยมา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเราจะไม่ได้เห็นบราซิลเป็นแชมป์โลกมายาวนานกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม