รู้จัก ‘MSY’ เมื่อการประเมินผลผลิตสัตว์น้ำมองข้ามความสำคัญของระบบนิเวศ

ท่ามกลางข้อขัดแย้งเรื่องการแก้ไขมาตรา 69 ของพระราชกำหนดการประมงฉบับใหม่ ที่อาจเปิดช่องให้มีการอนุญาตให้ใช้เรือปั่นไฟร่วมกับอวนล้อมจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยอ้างถึงเหตุผลว่าเพื่อเพิ่มปริมาณการจับปลากะตักและลดการนำเข้า เพราะค่า MSY ของปลากะตัก หรือการคำนวณโควตาที่สามารถจับได้นั้นยังเหลือ โดยกรมประมงแจ้งว่าจะไม่มีการเพิ่มจำนวนเรือจับปลากะตัก และจะไม่อนุญาตให้จับเกิน MSY ที่มีอยู่ จึงเกิดคำถามสำคัญถึงหลักการและที่มาของการคำนวณ MSY ในกรณีนี้ รวมไปถึงข้อควรคำนึงอื่นๆ ในการใช้ค่า MSY บริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว 

การประเมินผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield) หรือ MSY เป็นแนวคิดสำคัญในการจัดการประมงที่พัฒนาขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หลักการพื้นฐานของ MSY คือ เมื่อประชากรสัตว์น้ำมีขนาดเล็ก อัตราการเพิ่มประชากรจะต่ำเนื่องจากมีพ่อแม่พันธุ์น้อย เมื่อประชากรมีขนาดปานกลางอัตราจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด และเมื่อประชากรมีขนาดใหญ่มากเรื่อยๆ อัตราการเพิ่มจะช้าลงเนื่องจากเกิดการแข่งขัน และมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและพื้นที่อาศัย จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดนั่นคือมีประชากรมากที่สุดเท่าที่ศักยภาพพื้นที่จะรองรับได้ (carrying capacity) หรือค่า ‘K’ ในสมการสำหรับทางทฤษฎี

ค่า MSY คือจุดที่อัตราการเติบโตของประชากรมีค่าสูงสุด โดยจุดของอัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำประมง เพราะประชากรสัตว์น้ำมีศักยภาพในการผลิตส่วนเกิน (surplus production) สูงสุด จึงไม่ทำให้ประชากรลดลงในระยะยาว โดยทั่วไปจุด MSY มักอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของค่า ‘K’ ส่งผให้ MSY จึงเป็นการกำหนดปริมาณสูงสุดของสัตว์น้ำชนิดหนึ่งๆ ที่สามารถจับได้โดยไม่ทำให้ประชากรลดลงหรือมีการทดแทนอย่างสมดุล

ภาพ: แสดงอัตราการเพิ่มขึ้นของสัตว์น้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด (Carrying Capacity – K) ที่ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก ในกราฟนี้จุดที่เหมาะสมในการกำหนด MSY คือจุดที่มีอัตราการทดแทนสูงสุด (Encyclopedia of Ecology, Sea it All)

MSY คำนวณจากอัตราการเติบโตของประชากรสัตว์น้ำ ซึ่งหากนำมาพลอตเป็นกราฟพาราโบลาคว่ำ แสดงถึงอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามขนาดของประชากร

  • เมื่อประชากรมีน้อย (เช่น หลังจากการจับมากเกินไป หรือหายากในธรรมชาติ) การเติบโตจะช้า เนื่องจากมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์น้อยหรือไม่เพียงพอสำหรับการสืบพันธุ์
  • เมื่อประชากรอยู่ในระดับกลาง การเติบโตจะเร็วที่สุด เนื่องจากมีการสืบพันธุ์มากและมีทรัพยากรเพียงพอ
  • เมื่อประชากรใกล้ขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ (carrying capacity) การเติบโตจะช้าลงอีกครั้ง เนื่องจากการแข่งขันกันเองสูง

‘จุดที่ให้ผลผลิตสูงสุด’ หรือ ‘MSY’ คือจุดที่การเก็บเกี่ยวเท่ากับอัตราการเติบโตสูงสุดของประชากร เป็นจุดสมดุลที่ทำให้สามารถจับสัตว์น้ำได้มากที่สุดโดยที่ประชากรยังคงรักษาขนาดไว้ได้ในระยะยาว และทำให้เกิดแนวคิดว่า ถ้าจับน้อยเกินไปจะทำให้สูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร แต่ถ้าจับมากเกินไป (overfishing) ก็จะทำให้ประชากรลดลงจนไม่สามารถฟื้นตัวได้ หมายความว่าเราไม่ควรจับมากกว่าอัตราการเติบโตของประชากร ถ้าไม่ต้องการให้ประชากรสัตว์น้ำลดลง

การคำนวณ MSY อาศัยการทำแบบจำลองประชากรที่ต้องอาศัยข้อมูลทางชีววิทยา อาทิ ขนาดของประชากร การเติบโตของประชากร อัตราการจับ ความสามารถในการรองรับประชากรสูงสุด ซึ่งแต่ละโมเดลก็จะมีสมการที่แตกต่างออกไป เช่น Schaefer Model เป็นสมการโลจิสติกส์เหมาะกับปลาส่วนใหญ่ที่มีการเติบโตปกติ เช่น ปลากะพง หรือ Fox Model ใช้สมการ Exponential เหมาะกับปลาที่มีวงจรชีวิตสั้น อัตราการเติบโตต่ำ เช่น ปลากะตัก ปลาซาร์ดีน หรือ Beverton-Holt Model พิจารณาปลาแยกตามอายุและขนาด เหมาะกับปลาที่มีช่วงชีวิตยาว เช่น ปลาทูน่า ปลาคอด หรือ Ricker Model ใช้กับปลาที่มีการวางไข่เป็นจำนวนมากแต่มีอัตราการรอดต่ำหลังวางไข่ เช่น ปลาแซลมอน การเลือกแบบจำลองที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นอัตราการจับก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องมือประมงด้วยเช่นกัน

ภาพ: MSY คำนวณจากอัตราการเติบโตของประชากรสัตว์น้ำ ซึ่งหากนำมาพลอตเป็นกราฟพาราโบลาคว่ำ เราจะเห็นว่าประชากรสัตว์น้ำมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามขนาดของประชากร MSY คือจุดที่การเก็บเกี่ยวเท่ากับอัตราการเติบโตสูงสุดของประชากร (Sea it All)

ปัญหาของการใช้ MSY ในมุมมองการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ

แม้ว่า MSY จะเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์และใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการประมง แต่มีข้อจำกัดสำคัญหลายประการเมื่อพิจารณาในบริบทของการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ (Ecosystem-Based Fisheries Management หรือ EBFM)

1. การพิจารณาชนิดพันธุ์แบบแยกส่วน: MSY มุ่งเน้นที่ชนิดพันธุ์เป้าหมายเพียงชนิดเดียว โดยละเลยความซับซ้อนของระบบนิเวศทางทะเล

  • ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์: ในกรณีของปลากะตักซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในระดับห่วงโซ่อาหารต่ำ (Low Trophic Level) ของปิรามิด ปลากะตักเป็นอาหารสำคัญของปลาผู้ล่าหลายชนิด ตั้งแต่ปลาอินทรี ปลากะพง ปลาทรายแดง ไปจนถึงวาฬบรูด้า การจับในระดับ MSY อาจเพียงพอสำหรับการดำรงอยู่ของประชากรปลากะตักเอง แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับการหล่อเลี้ยงประชากรปลาผู้ล่าที่พึ่งพาปลากะตักเป็นอาหาร
  • ผลกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อาหาร: ตามแนวคิดของการทำประมงในระดับห่วงโซ่อาหารที่ต่ำกว่า หรือ fishing down the food web หมายถึงเมื่อปลาขนาดใหญ่หรือปลาผุ้ล่าเริ่มหมดไป การทำประมงจึงหันมาจับปลาที่อยู่ในระดับต่ำกว่าในห่วงโซ่อาหาร แต่หากมีการจับปลากะตักในปริมาณมาก แม้จะอยู่ในระดับ MSY อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างห่วงโซ่อาหาร ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ‘trophic cascade’ อาหารของปลาผู้ล่าลดจำนวนลง ก็อาจส่งผลต่อไปยังองค์ประกอบอื่นๆ ในระบบนิเวศได้อีก

2. สมมติฐานที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง: แบบจำลอง MSY ตั้งอยู่บนข้อสมมติหลายประการที่มักไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในระบบนิเวศ

  • สภาพแวดล้อมคงที่: MSY สมมติว่าสภาพแวดล้อมทางทะเลคงที่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง ระบบนิเวศทางทะเลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามฤดูกาล ยังไม่นับปรากฏการณ์ El Niño/La Niña และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิน้ำทะเล ซึ่งกำลังเป็นปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะส่งผลต่อการแพร่กระจายของสัตว์น้ำ หรือปริมาณการจับอย่างไร ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของปลากะตัก
  • การฟื้นตัวเป็นเส้นตรง: MSY มักสมมติว่าประชากรสามารถฟื้นตัวได้อย่างเป็นเส้นตรงเมื่อความกดดันจากการประมงลดลง แต่ในความเป็นจริงยังมีปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมมากมายที่ส่งผลกระทบอาทิ คุณภาพน้ำ อาหาร และระบบนิเวศอาจมี ‘tipping points’ หรือจุดวิกฤตที่เมื่อเกินไปแล้ว การฟื้นตัวอาจเกิดขึ้นได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

3. การละเลยผลกระทบจากวิธีการจับ: MSY เน้นที่ปริมาณการจับ แต่ไม่ได้คำนึงถึงวิธีการจับ

  • เครื่องมือทำลายล้าง: ในกรณีของการใช้แสงไฟล่อและอวนล้อมขนาดใหญ่โดยเฉพาะอวนตาถี่จับปลากะตัก แม้ปริมาณการจับอาจอยู่ในระดับ MSY ของปลากะตัก แต่วิธีการจับอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อองค์ประกอบอื่นๆ ในระบบนิเวศ เช่น:
    • การจับติดสัตว์น้ำพลอยได้ หรือสัตว์น้ำชนิดอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมาย (bycatch) รวมถึงลูกปลาของชนิดพันธุ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง งานวิจัยของกรมประมงปลากะตักในอ่าวไทยเมื่อปี 2551 พบว่าเรืออวนล้อมจับปลากะตักประกอบแสงไฟล่า ทำให้เกิดการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนที่เป็นปลาเศรษฐกิจหลายชนิด อาทิ ปลาทู-ปลาลัง ปลาข้างเหลือง ปลาหลังเขียว ปลาทูแขก ปลาสีกุนตาโต เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 7,385 บาท/วัน
    • การรบกวนพฤติกรรมของสัตว์ทะเลจากแสงไฟที่รุนแรง เนื่องจากการใช้แสงไฟล่อจะรบกวนวงจรธรรมชาติของแพลงตอนและปลาขนาดเล็กที่มีการอพยพในแนวดิ่งในเวลากลางคืน (vertical migration) หลายชนิดมีพฤติกรรมผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงกลางคืนที่แสงน้อย การมีแสงไฟยังทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กมารวมตัวกันในบริเวณที่มีแสง นอกจากถูกล่าได้ง่าย ก็ยังทำให้ปลาที่เป็นเหยื่อ และปลาที่ล่าเหยื่อมารวมตัวด้วยเช่นกัน จึงมีโอกาสถูกจับได้ง่ายและนำไปสู่การทำประมงที่มากเกินขนาด (overfishing)  
  • ความเสียหายต่อถิ่นที่อยู่อาศัย: MSY ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายต่อถิ่นที่อยู่อาศัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำประมง เช่น กรณีเรืออวนลาก หรืออวนรุน ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อความสามารถในการสนับสนุนประชากรสัตว์น้ำ

4. ความไม่แน่นอนและข้อจำกัดของข้อมูล: การคำนวณ MSY มีข้อจำกัดด้านข้อมูลที่สำคัญ

  • คุณภาพของข้อมูล: การประเมิน MSY ที่แม่นยำต้องอาศัยข้อมูลการจับและความพยายามในการจับที่ละเอียดและยาวนานพอ แต่ในหลายประเทศรวมทั้งไทย ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้มักไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในส่วนของการประมงพื้นบ้านและการประมงผิดกฎหมาย (ปัจจุบันการทำประมงอวนล้อมเวลากลางคืนประกอบแสงไฟยังเป็นประมงผิดกฎหมาย) ทำให้การประเมิน MSY อาจคลาดเคลื่อน
  • ความไม่แน่นอนในแบบจำลอง: แบบจำลองที่ใช้คำนวณ MSY มีความไม่แน่นอนสูง และผลลัพธ์อาจแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับสมมติฐานและวิธีการทางสถิติที่ใช้
  • การขาดข้อมูลระบบนิเวศ: การประเมิน MSY แบบดั้งเดิมมักไม่ได้นำข้อมูลทางระบบนิเวศมาประกอบการพิจารณา เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์ หรือบทบาทของชนิดพันธุ์เป้าหมายในระบบนิเวศโดยรวม

5. ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ได้พิจารณา: MSY เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นด้านชีววิทยาและการประมงเป็นหลัก แต่ไม่ได้ครอบคลุมมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ

  • ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร: การอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำประมงที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นอวนล้อมกับแสงไฟล่อ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง อาจเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่าชาวประมงพื้นบ้าน เพิ่มความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร
  • ผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในท้องถิ่น: การจับปลากะตักในปริมาณมากเพื่อผลิตปลาป่นอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชนชายฝั่งที่พึ่งพาปลากะตักเป็นอาหารโดยตรงหรือพึ่งพาปลาเศรษฐกิจ และปลาผู้ล่าที่กินปลากะตัก
ภาพ: แนวคิดเรื่อง MSY หรือจุดที่สามารถจับสัตว์น้ำได้ในปริมาณสูงสุดโดยไม่ส่งผลเสียต่อความยั่งยืนของประชากรในระยะยาว (Marine Stewardship Council) ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบของการทำประมงเกินขนาด (Overfishing)

แนวทางการประยุกต์ใช้ MSY ในบริบทการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ

แม้ว่าการจัดการประมงในปัจจุบันไม่ควรละทิ้งแนวคิด MSY โดยสิ้นเชิง แต่ควรปรับปรุงและบูรณาการเข้ากับแนวคิดการจัดการเชิงระบบนิเวศ

1. กำหนดจุดอ้างอิงเชิงระบบนิเวศ หรือ Ecological Reference Points (ERPs): แทนที่จะใช้ MSY เพียงอย่างเดียว ควรพัฒนาและใช้จุดอ้างอิงเชิงนิเวศวิทยา (ERPs) ซึ่งพิจารณาบทบาทของชนิดพันธุ์ในระบบนิเวศโดยรวม

  • การสำรองสำหรับผู้ล่า (Predator Buffer): ในกรณีของปลากะตัก อาจกำหนดให้ระดับการจับต่ำกว่า MSY ทางชีววิทยา เพื่อให้มีปลากะตักเหลือเพียงพอสำหรับผู้ล่าในระบบนิเวศ
  • การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์: ใช้แบบจำลองที่ซับซ้อนขึ้นซึ่งรวมความสัมพันธ์ระหว่างชนิดพันธุ์ต่างๆ ในการกำหนดระดับการจับที่เหมาะสม

2. การจัดการเชิงพื้นที่ (Spatial Management): นอกเหนือจากการควบคุมปริมาณการจับ ควรพิจารณาการจัดการเชิงพื้นที่

  • เขตห้ามทำการประมง: ควรมีการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลบางส่วนอย่างเคร่งครัดให้เป็นพื้นที่ที่ปลอดการทำประมง (No-take zone) เพื่อให้เป็นพื้นที่ควบคุมและแหล่งขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำวัยอ่อน
  • เขตควบคุมการทำประมง: กำหนดพื้นที่ที่ห้ามใช้เครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นอวนล้อมกับแสงไฟล่อ อวนลาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นแนวเชื่อมต่อทางทะเล (Marine Corridor) ระหว่างระบบนิเวศต่างๆ
  • เขตการประมงหมุนเวียน: การใช้นโยบายหมุนเวียนพื้นที่ทำประมง มีการปิดพื้นที่ตามฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ เพื่อให้แต่ละพื้นที่มีเวลาฟื้นตัวอย่างเพียงพอ

3. การจัดการโดยคำนึงถึงวิธีการจับ: นอกจากจะควบคุมปริมาณการจับแล้ว ยังควรควบคุมวิธีการจับด้วย

  • ข้อจำกัดด้านเครื่องมือประมง: กำหนดข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือประมงที่มีผลกระทบสูง เช่น จำกัดความเข้มของแสงไฟที่ใช้ล่อ หรือขนาดของอวนล้อม ขนาดตาอวนที่ใช้
  • เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ส่งเสริมการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีการประมงที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการจับติดสัตว์น้ำที่ไม่ใช่เป้าหมาย

4. การใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle): การประเมิน MSY มีความไม่แน่นอนสูง จึงควรใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน

  • การกำหนดโควตาต่ำกว่า MSY: กำหนดโควตาการจับที่ต่ำกว่าระดับ MSY ที่ประเมินได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการประเมิน ตามหลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle) ที่ระบุไว้ในพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ตามมาตรฐานการประมงยั่งยืน ของ Marine Stewardship Councils มีข้อเสนอแนะในการกำหนดค่า MSY ของการทำประมงสัตว์น้ำที่อยู่ในฐานของห่วงโซ่อาหาร (Low Trophic Level Fisheries) ว่าไม่ควรเกิน 40% ของประชากรสัตว์น้ำที่มีอยู่ หรือ ประมาณ 60-70% ของ MSY ปกติเท่านั้น
  • การจัดการแบบปรับตัวได้: ปรับเปลี่ยนนโยบายการประมงตามผลการติดตามและข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้รับ เช่น ‘ใช้กฎควบคุมการจับสัตว์น้ำ’ (Harvest Control Rules – HCRs) กำหนดวิธีการปรับโควต้าการจับสัตว์น้ำตามสถานะของประชากรปลา ‘ลดโควต้าการจับปลา’ หากประชากรปลาลดลงต่ำกว่าระดับที่ปลอดภัย ‘ห้ามทำประมงในช่วงฤดูวางไข่’ หรือกำหนดมาตรการหยุดทำประมงชั่วคราว (moratoriums) และ ‘กำหนดโควต้าการจับปลาแบบปรับตัวได้’ ตามสภาพแวดล้อม เช่น ลดเป้าหมาย MSY ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งมีผลกระทบต่อจำนวนประชากรปลา

5. การบูรณาการมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ: การจัดการประมงควรพิจารณามิติทางสังคมและเศรษฐกิจร่วมด้วย

  • การกระจายสิทธิการทำประมงอย่างเป็นธรรม: จัดสรรโควตาหรือสิทธิในการทำประมงระหว่างประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านอย่างเป็นธรรม
  • การพิจารณาความมั่นคงทางอาหารในท้องถิ่น: ให้ความสำคัญกับการประมงเพื่อการบริโภคในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการประมงเชิงพาณิชย์

แม้ว่า MSY จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการประมง แต่การอ้างว่า “MSY ยังเหลือ” เพื่อสนับสนุนการเพิ่มการจับปลากะตักด้วยวิธีการที่มีผลกระทบสูง เช่น การใช้แสงไฟล่อและอวนล้อมตาถี่ขนาดใหญ่นั้น เป็นการมองปัญหาอย่างแคบเกินไปในบริบทของการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศสมัยใหม่

การจัดการประมงปลากะตักอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยที่กว้างกว่า MSY ของปลากะตักเพียงอย่างเดียว ต้องคำนึงถึงบทบาทของปลากะตักในระบบนิเวศ ผลกระทบของวิธีการจับต่อสิ่งแวดล้อม ความไม่แน่นอนในการประเมินทรัพยากร และมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ

การใช้แนวทางที่บูรณาการหลายมิติ ทั้งการกำหนดโควตาที่คำนึงถึงระบบนิเวศ การจัดการในเชิงพื้นที่ การควบคุมวิธีการจับ การใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน และการพิจารณามิติทางสังคมและเศรษฐกิจ จะช่วยให้การจัดการประมงปลากะตักในไทยมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการดำรงอยู่ของทรัพยากรปลากะตักเอง ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนชายฝั่งและสังคมโดยรวม

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save