อากาศแปรปรวน ชีวิตแปรเปลี่ยน: จินตนาการวิถีอนาคตมนุษยชาติ เมื่อภาวะโลกรวนบีบให้ปัจจัย 4 เปลี่ยนแปลง

ปี 2024 ที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้เพิ่มสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม นับเป็นตัวเลขที่ทะลุผ่านเส้นแดงที่จำกัดไว้ในข้อตกลงปารีส และถือเป็นสัญญาณเตือนว่ามนุษยชาติกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

สภาวะที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใด และย่อมไม่เกินจริงถ้าบอกว่ามันกำลังบีบให้วิถีชีวิตของมนุษย์เราทุกคนต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพื่อจะปรับตัวอยู่รอดให้ได้ในสภาวะโกลาหลของสภาพอากาศ

วิถีมนุษยชาติท่ามกลางภาวะโลกร้อนจะเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดไหน วันโอวันชวนเปิดจินตนาการฉากภาพแห่งอนาคตกาลผ่านแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ ‘ปัจจัย 4’ ในการดำรงชีวิตพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค (หรือกล่าวอย่างกว้างกว่านั้นคือระบบสาธารณสุขและวิถีการดูแลสุขภาพ) จากการคาดการณ์ของผู้คนที่ทำงานข้องเกี่ยวในแวดวงเหล่านี้ ทั้ง จักรชัย โฉมทองดี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Tilt Collective, กมลนาถ องค์วรรณดี ผู้ประสานงานเครือข่าย Fashion Revolution ประเทศไทย, รชพร ชูช่วย อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสถาปนิก บริษัท all(zone) จำกัด และ Sarin K C หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP)

ความโกลาหลอันไม่มีที่สิ้นสุดของระบบอาหารจะเกิดขึ้น – จักรชัย โฉมทองดี

ผมขอใช้คำว่าความโกลาหลอันไม่มีที่สิ้นสุดของระบบอาหารจะเกิดขึ้น ที่ใช้คำว่าโกลาหลเพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่เป็นเส้นตรง ผลผลิตไม่ได้ลดลงแบบเป็นเส้นตรง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะ climate chaos มากกว่าที่จะเป็น climate change คือเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน บางปีฝนเยอะ บางปีฝนน้อย เกิดการเหวี่ยงตัวระหว่างปรากฏการณ์เอลนีโญกับลานีญาที่สูงมาก สถานการณ์ของอาหารทั้งในแง่ปริมาณและราคาจึงจะผันผวนมาก แต่ภายใต้ความโกลาหลที่เกิดขึ้นอาจสามารถสรุปแนวโน้มในบางประเด็นสำคัญได้ โดยผมขอแบ่งเป็นสองมิติ

มิติแรกคือฝั่งอุปทาน ซึ่งผลิตภาพของอาหารหลักหลายอย่างจะค่อยๆ ลดลง เช่นที่เคยได้ยินว่าภายในปี 2050 พื้นที่ปลูกกาแฟจะเหลือแค่ 50% จากพื้นที่ปลูกในปัจจุบันเท่านั้น หรือไวน์จากฝรั่งเศสตั้งแต่ทางตอนใต้ของเมืองบอร์โดลงไปก็อาจจะไม่มีอีกต่อไป และที่มากไปกว่านั้นคือพืชที่เป็นอาหารหลักของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นข้าว แป้งสาลี หรือข้าวโพด จะได้รับผลกระทบหมด แม้การปรับเทคโนโลยีในการผลิตจะพอช่วยได้ แต่ถึงอย่างไรอัตราการทดแทนก็ไม่พอ ซึ่งก็น่าคิดว่าการเข้าถึงอาหารของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างไร

อีกมิติหนึ่งคือฝั่งอุปสงค์ ซึ่งแบ่งประเด็นได้เป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการเกิดขึ้นของข้อกำหนดทางการค้า ซึ่งเราเริ่มเห็นเทรนด์แล้วในต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ที่มีกฎเรื่องการนำเข้า-ส่งออกผลผลิตที่มีกระบวนการผลิตส่งผลกระทบต่อการทำลายป่าไม้หรือการปล่อยคาร์บอน ซึ่งกระทบต่อผลิตภัณฑ์อาหารเหมือนกัน โดยต้องเข้าใจว่าระบบอาหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงมากถึงหนึ่งในสาม สูงกว่าภาคการขนส่งด้วยซ้ำ ทำให้เป็นปัจจัยที่ผลักให้เกิดการปรับเรื่องนี้ และถ้าประเทศไทยปรับตัวกับมาตรการการค้าใหม่นี้ไม่ได้ เกษตรกรไทยจะประสบความยากลำบากแน่

อีกส่วนหนึ่งมาจากฝั่งผู้บริโภค เทรนด์หนึ่งที่เรากำลังเห็นได้ชัดเจนในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเห็นในประเทศอื่นๆ บ้างเหมือนกัน คือเรื่องความห่วงใยในสุขภาพ ในยุคที่คนมี life span (อายุขัย) ยืนยาวขึ้น แต่ health span (ระยะเวลาที่มนุษย์มีสุขภาพแข็งแรง) ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามในสัดส่วนเดียวกัน คือเราจะมีช่วงเวลาที่ต้องทรมานจากสุขภาพที่ไม่ดีนานขึ้น และยิ่งกว่านั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้ามา มันก็ส่งผลให้มีโรคภัยเพิ่มขึ้นมาด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้คนหันมามองเรื่องสุขภาพมากขึ้น เพราะฉะนั้นเทรนด์ระบบอาหารที่ตอบโจทย์สุขภาพเป็นอะไรที่น่าจับตามอง เช่น คนอ่านฉลากอาหารเพื่อมองหาอาหารที่ไม่เติมน้ำตาลหรืออาหารที่ความเค็มต่ำมากขึ้น และกำลังขยายไปสู่การเพิ่มอาหารที่มีไฟเบอร์สูง รวมถึงหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นอกจากนี้ในต่างประเทศเราก็เริ่มเห็นการปรับ dietary guidelines (แนวทางการรับประทานอาหาร) จากภาครัฐ ที่กำหนดว่าไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปและเนื้อสัตว์ทั่วไปเกินกี่กรัมต่อสัปดาห์เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูง

จักรชัย โฉมทองดี

ถ้าพูดถึงแง่เนื้อสัตว์ การผลิตในภาคปศุสัตว์โดยสัดส่วนแล้วหากเพิ่มไปกว่านี้อีกจะมีต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพสูงมาก เพราะปัจจุบันพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตปศุสัตว์คิดเป็นเกือบ 80% ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมดของโลกแล้ว ทำให้เราแทบไม่มีพื้นที่บนโลกให้ทำปศุสัตว์เพิ่มได้อีก ขณะเดียวกันประชากรของโลกก็จะเพิ่มขึ้นจาก 7,900 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 1 หมื่นล้านคนในปี 2050 และต้องอย่าลืมว่าปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะมีเทนสูง จึงเป็นสภาพบังคับให้เราต้องรีบปรับตัวเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน เพราะฉะนั้นเราอาจต้องเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากพืชและแหล่งทางเลือกอื่นๆ เพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เลิกบริโภคสัตว์ แต่เป็นการเพิ่มความหลากหลายของโปรตีน เช่น ครึ่งหนึ่งมาจากสัตว์ ครึ่งหนึ่งมาจากพืช ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าย้อนไปในรุ่นปู่ย่าหรือลุงป้าของเราก็มีที่มาของโปรตีนแบบนี้ มันเพิ่งมาเปลี่ยนไม่นานนี้เอง 

นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ของโปรตีนทางเลือก ซึ่งแบ่งออกได้เป็นสามส่วน ส่วนแรกคือ plant-based protein หรือโปรตีนที่มาจากพืชซึ่งเราคุ้นเคยอยู่แล้ว สองคือ fermentation หรือโปรตีนที่มาจากกระบวนการหมัก และสามคือ cultured meat หรือ cell-based meat เป็นการเอาเซลล์ของเนื้อมาเพาะเลี้ยง ซึ่งใช้พื้นที่ในการผลิตน้อยลงกว่าปศุสัตว์แบบเดิมมาก และมีสัดส่วนอัตราการแลกโปรตีนในประสิทธิภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก พูดง่ายๆ คือถ้าเป็นการเลี้ยงสัตว์แบบเดิม เราต้องผลิตโปรตีนจำนวนมากไปเลี้ยงสัตว์ อย่างถ้าเป็นไก่ เราต้องเอาโปรตีนไปเลี้ยงถึง 5 ส่วนเพื่อให้ได้โปรตีนจากเนื้อไก่มาแค่ 1 ส่วน แปลว่าเราต้องปลูกพืชโปรตีนมากถึง 5 เท่าเพื่อเลี้ยงไก่ ซึ่งก็เท่ากับการใช้น้ำหรือใช้พื้นที่มากขึ้น 5 เท่า นำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่โปรตีนทางเลือกเช่นบริโภคโปรตีนจากพืชจะมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก การปรับเพิ่มความหลากหลายของแหล่งโปรตีนเช่นนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะช่วยเรื่องโลกร้อนอย่างมาก และเนื่องจากไม่ใช่การเลิกบริโภคสัตว์แต่เป็นการปรับลดโดยทดแทนด้วยพืชพันธุ์ต่างๆ จึงตอบโจทย์ใหญ่ทางสุขภาพในส่วนของกลุ่มโรคไม่ติดต่อทั้งหลาย โดยไม่ต้องห่วงเรื่องขาดโปรตีน แนวโน้มนี้จึงมีมิติเสริมกันระหว่างด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน

เวลาเราพูดถึงอาหารแห่งอนาคต (Future Food) หรืออาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หลายคนมักจะนึกถึงอาหารประเภท novel food หรืออาหารที่ใช้นวัตกรรมสูง แต่จริงๆ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังมีอาหารแบบอื่นๆ เช่น อาหารออร์แกนิก หรืออาจเป็นอาหารที่มีความประณีต มีแหล่งที่มาเฉพาะ มีอัตลักษณ์ทางรสชาติ รวมถึงมีคุณค่าทางโภชนาการที่ตอบโจทย์สุขภาพ อย่างพวกสมุนไพรหรือเครื่องเทศต่างๆ ในประเทศไทยเองล่าสุดมันก็มีการพูดถึงไข่ผำ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนนี้กำลังเป็นเทรนด์ ต่อไปนี้เราจะได้เห็นอะไรแบบนี้เยอะขึ้น และถ้ามีการวางแผนออกแบบนโยบายกันดีๆ มันจะเป็นโอกาสของไทย ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้ประโยชน์ และผู้บริโภคได้เข้าถึงอาหารดีต่อสุขภาพมากขึ้น มันมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา แม้ภาครัฐไทยอาจจะให้ความสำคัญกับอาหารอนาคตเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารนวัตกรรมสูงหรืออาหารออร์แกนิกก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เราอาจถือว่าช้า และในไม่กี่ปี ประเทศอื่นในอาเซียนอย่างเวียดนามก็อาจแซงเรา

สุดท้ายนี้ต้องบอกว่าเรื่องอาหารคือทางรอดเดียว ณ ขณะนี้ ที่พูดอย่างนี้เพราะเมื่อมองในมิติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถ้าเป็นการที่เราเลิกใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งเป็นปัจจัยหลักของโลกร้อน มันจะยังไม่เห็นผลในวันนี้ แต่จะเห็นผลในอีกร้อยกว่าปี เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยขึ้นไปอยู่ในชั้นบรรยากาศได้เกินร้อยปี เพราะฉะนั้นการที่เราเลิกใช้มันวันนี้ก็เพื่อช่วยหลานหรือเหลนของเรา ถึงตัวเราจะไม่เห็นผลของมัน แต่เราก็ต้องทำ และขณะเดียวกันมันยังมีก๊าซมีเทนจำนวนมากจากภาคการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งมีเทนมีศักยภาพทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่าตัว แต่มันอยู่ในชั้นบรรยากาศแค่ 10 กว่าปีเท่านั้นเอง น้อยกว่าคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ ดังนั้นถ้าเราจะทําให้โลกไม่ร้อนเกิน 1.5 องศา ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ให้แตะเกิน 2 องศา วิธีการเดียวคือเราต้องลดมีเทนวันนี้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้มนุษยชาติอยู่รอดไปถึงวันที่คาร์บอนไดออกไซด์ลดในร้อยกว่าปีข้างหน้าได้ด้วย

เสื้อผ้าคนอาจหวนสู่ภูมิปัญญาเดิม ไม่ก็พึ่งเทคโนโลยี หรือดาร์กสุดคือแต่งตัวเหมือนเรื่อง DUNE – กมลนาถ องค์วรรณดี

มันมีหลายซีนมากๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซีนแรกสุดคือการที่คนหวนกลับไปสู่ธรรมชาติหรือพยายามฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งดูจะยูโทเปียนิดหนึ่ง หลังจากที่ในยุคปัจจุบัน เราผลิตเสื้อผ้ากันด้วยใยสังเคราะห์อย่างโพลีเอสเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเส้นใยที่มาจากปิโตรเคมี เป็นตัวเดียวกับขวดน้ำพลาสติก เลยใช้พลังงานเยอะในการผลิต รวมถึงปล่อยมลพิษไปในธรรมชาติด้วย และที่สำคัญคือน้ำมันก็ค่อยๆ หมดลง ทำให้อนาคตอาจจะผลิตโพลีเอสเตอร์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในอนาคตคนน่าจะหันกลับไปหาการผลิตเสื้อผ้าด้วยเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ใยกัญชง หรือขนสัตว์ เหมือนว่าเรากลับไปหาภูมิปัญญาในการผลิตแบบดั้งเดิมและลดการปล่อยคาร์บอนลง

อีกแง่หนึ่งมันคือการที่คนอาจจะให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตแบบสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศมากขึ้น โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ที่ปัญหาสภาพภูมิอากาศยังไม่รุนแรงมาก อย่างในเมืองร้อนฝั่งเอเชียในอดีตเราอาจไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรมากนักเพราะอากาศร้อน ใช้แค่ผ้าไม่กี่ชิ้นมามัดหรือห่อตัว ก่อนที่ทุกวันนี้เราใส่เสื้อเชิ้ตหรือสูทแล้วนั่งห้องแอร์ แต่อนาคตคิดว่าเราจะหวนกลับไปใส่เสื้อสอดคล้องกับสภาพอากาศเหมือนเดิมเพื่อช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศ หรืออาจจะเน้นรูปแบบรีสอร์ตแวร์ (เสื้อผ้าสวมใส่สบายเหมาะกับการตากอากาศ) มากขึ้น ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หรือใส่สูทเหมือนอย่างตอนนี้มากนัก

นอกจากนี้วิธีคิดในเรื่องการแต่งตัวของคนก็น่าจะมีความเป็นมินิมอลมากขึ้นเพื่อลดการใช้ทรัพยากร คนจะพยายามใช้เสื้อผ้าน้อยลง มีความเป็นเจ้าของมันน้อยลง อาจจะมีเทรนด์ของการแบ่งปันกันสวมใส่ระหว่างเพื่อนหรือคนในครอบครัว ไปจนถึงการเช่าใส่เป็นรายครั้ง หรือการมีห้องสมุดเสื้อผ้าที่คนแบ่งกันใส่ แต่ถ้าเป็นเจ้าของเสื้อผ้า ก็อาจเป็นเจ้าของในระยะเวลาที่นานขึ้น

ซีนที่สองคือการหันไปใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ซูเปอร์เอไอที่ทำให้สามารถผลิตได้เร็วขึ้น หรือการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ เพราะฉะนั้นจากเดิมที่เราเคยผลิตเสื้อผ้าด้วยแรงงาน ด้วยทรัพยากรจากผืนดินหรือการเกษตร มันจะย้ายไปผลิตในห้องแลปหรือเน้นการสร้างวัสดุจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือตัดต่อพันธุกรรมแทน ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีแล้วเช่นบริษัท Spiber ที่ใช้การเพาะเลี้ยงดีเอ็นเอของใยแมงมุมทำให้เราได้เส้นใยมาใช้ทำเสื้อแจ็กเกตได้ หรือการเอาน้ำตาลอ้อยมาเพาะเลี้ยงดีเอ็นเอให้เกิดเส้นใยชีวภาพ และที่น่าสนใจมากอีกอันหนึ่งคือการเอาโมเลกุลของสีครามออกจากพืชให้ออกมาเป็นผงเพื่อนำไปย้อมในระบบอุตสาหกรรมได้ แทนที่จะเป็นแบบปัจจุบันที่ต้องเลี้ยงพืชแล้วมาต้มหม้อซึ่งใช้เวลานาน ทั้งหมดนี้ถือเป็นทางออกจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้วัสดุเดิมขาดแคลน เพียงแต่ซีนนี้หันไปใช้เทคโนโลยีแทน รวมถึงอาจจะมีการใช้พลังงานหมุนเวียนเข้ามาในการผลิตแทนมากขึ้น

อีกแง่หนึ่งในฝั่งผู้สวมใส่ก็อาจหันไปแต่งตัวบนดิจิทัลมากขึ้นด้วย เป็นการนำเสนอแฟชั่นของตัวเองบนโลกออนไลน์ เช่นในเกม หรืออินสตาแกรม คือไม่ใช่เสื้อผ้าจริง แต่เป็นเสื้อผ้า AR (Augmented Reality) เป็นการแต่งตัวบนโลกเสมือนไปเลย เนื่องจากโลกภายนอกอาจจะมีอากาศร้อนขึ้นหรือมีฝุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนออกไปใช้ชีวิตหรือแต่งตัวข้างนอกยากขึ้น คิดว่าเทรนด์นี้น่าจะมาในกลุ่มเจนอัลฟ่าหรือเบตาเยอะอยู่

แต่ขณะเดียวกันก็มีการแต่งตัวออกมาพื้นที่สาธารณะอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจเป็นเครื่องแต่งกายที่เน้นการสวมใส่เชิงป้องกัน โดยเฉพาะป้องกันมลพิษมากขึ้น เช่น เสื้อผ้ากันฝุ่นควัน อาจมีฮู้ดหรือหน้ากากเป็นส่วนประกอบมากขึ้น มีความคล้ายเสื้อผ้ากีฬาหรือเสื้อผ้าเอาต์ดอร์มากขึ้น

กมลนาถ องค์วรรณดี

นอกจากนี้อาจจะมีการใส่เทคโนโลยีฝังเข้าไปในเสื้อผ้ามากขึ้น ซึ่งตอนนี้เริ่มนำเทรนด์โดยกลุ่มเสื้อผ้ากีฬาบ้างแล้ว เช่น เสื้อที่สามารถระบายเหงื่อออกได้เองจากการใช้เทคโนโลยีตรวจจับข้อมูลในร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำ การเต้นของหัวใจ หรือปริมาณเหงื่อ ในปัจจุบันเทคโนโลยีเก็บข้อมูลสุขภาพแบบนี้เห็นได้ในรูปแบบนาฬิกา แต่อนาคตมันอาจจะอยู่ในเครื่องแต่งกายที่ติดผิวหนังของเราเลย อีกอย่างที่น่าสนใจคือเสื้อผ้ากักเก็บน้ำหรือความชื้นในร่างกาย โดยอาจใช้เส้นใยที่ผสมคอลลาเจนเข้าไปเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือต่อไปก็อาจจะมีชุดในลักษณะบอดี้สูท หรือมีรองเท้าและเครื่องประดับต่างๆ ที่มีส่วนช่วยเพิ่มความเย็นหรือความชุ่มชื้น

และที่น่าสนใจที่ส่วนตัวเพิ่งได้เห็นในช่วงหลังมานี้คือการเอาขยะอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นองค์ประกอบของเสื้อผ้าหรือเป็นเครื่องประดับด้วยเพื่อแก้ปัญหาขยะล้น คล้ายกับเทรนด์ในปัจจุบันที่เด็กยุคนี้เอาเสื้อยุค Y2K มาใส่ แต่ว่าในอีก 20 กว่าปีข้างหน้า คนก็อาจแต่งตัวย้อนยุคด้วยการเอาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มาจากยุคของเรามาใส่

และซีนสุดท้ายเป็นซีนแบบดาร์กจัดเลย คือเราน่าจะแต่งตัวเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Dune คือเป็นสถานการณ์ที่เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรยืดเยื้อ มีการลุกฮือของประชาชน เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะทำให้คนต้องใช้ชีวิตแบบนอร์มาดิก (ชนเผ่าเร่ร่อน) มากขึ้น ต้องคอยอพยพย้ายถิ่นฐาน โดยเกิดจากอีกปัจจัยหนึ่งด้วยคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงจนบีบให้คนอพยพเรื่อยๆ ทำให้เสื้อผ้าแฟชั่นจะกลายเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยไปเลย และคนจะหันมาใส่เสื้อผ้าที่เน้นความทนแดดทนฝนทนฝุ่นเพราะต้องเดินทางอพยพไปเจอสภาพอากาศสุดขั้วเรื่อยๆ แต่เสื้อผ้าน่าจะไม่ใช่ลักษณะแจ็กเกตเหมือนที่ใส่ในเมืองกันทุกวันนี้ แต่มีสไตล์กึ่งความเป็นทหาร กึ่งความเป็นทะเลทราย และกึ่งความเป็นกบฏ ผสมผสานกัน

สถาปัตยกรรมต้องปรับตัวกับความแปรปรวนของอากาศได้และใช้พลังงานน้อยลง – รชพร ชูช่วย

ประเด็นของเรื่องนี้ซ้อนกันอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือจะทำอย่างไรให้อาคารบ้านเรือนสามารถปรับตัวกับความแปรปรวนของสภาพอากาศได้ และชั้นที่สองคือต้องหาวิธีทำให้มันใช้พลังงานน้อยลง

ปัญหาของโลกร้อนคือไม่ใช่ว่าอากาศร้อนขึ้นอย่างเดียว แต่มันแปรปรวน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก เงื่อนไขด้านสภาพอากาศเยอะขึ้นมาก แต่โดยมากแล้วอาคารที่เราออกแบบกันมักตอบรับสภาพแวดล้อมที่เฉพาะประมาณหนึ่ง เช่นอาคารในพื้นที่ร้อนชื้นก็ตอบรับสภาพแวดล้อมที่ร้อนและฝนตก ส่วนอาคารในพื้นที่ร้อนแห้งก็จะไม่คิดเรื่องฝนเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ๆ ก็เกิดอาเพศ อย่างต้นปีที่ผ่านมาก็มีน้ำท่วมที่ดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เพราะฝนตกหนัก ซึ่งทุกคนก็ไม่เคยเจอมาก่อน หรือเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ดิฉันไปทำงานที่ฝรั่งเศส เขาก็บอกว่าปัญหาหลักคือไม่รู้การรับมือแดดร้อน เพราะไม่เคยร้อนขนาดนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นสถาปัตยกรรมต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนสูงขึ้น

สมมติถ้าเป็นกรุงเทพฯ ที่ฝนตกหนักขึ้นและน้ำท่วมมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ใช่น้ำท่วมแช่ แต่เป็นน้ำท่วมแบบมาแล้วไป เพียงแต่มาบ่อยขึ้นและปริมาณน้ำเยอะขึ้นเรื่อยๆ สถาปัตยกรรมที่ต้องปรับเปลี่ยนอย่างแรกคือต้องสะเทิ้นน้ำ ทำให้อยู่ได้ในภาวะน้ำท่วม เช่น ถ้าเรามีพื้นไม้ชั้นล่างของอาคารก็อาจไม่เวิร์ก รวมไปถึงการมีปลั๊กหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่เตี้ยๆ ก็คงไม่ดีเหมือนกัน ส่วนถ้าเป็นเรื่องฝน เราจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ตกทีละนิดแต่ตกโครมใหญ่หลายชั่วโมงรวด สิ่งหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบมากคือรางน้ำ เพราะที่ผ่านมาเราใช้สูตรคำนวณรางน้ำแบบปริมาณน้ำฝนปกติอยู่ แต่เท่าที่ทำงานมาเดี๋ยวนี้เห็นว่ารางน้ำเริ่มล้นและรั่วในหลายบ้านแล้ว เพราะฉะนั้นสรุปคือเราต้องคิดว่าจะทำให้สถาปัตยกรรมรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นได้อย่างไร 

นอกจากนี้เรายังต้องปรับให้อยู่กับอากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวได้มากขึ้นเรื่อยๆ มันก็เหมือนการใส่เสื้อ ที่พอร้อนเราก็ใส่เสื้อบาง และพอหนาวก็ใส่เสื้อหลายชั้น สถาปัตยกรรมในอนาคตก็ต้องไปทางนั้นเหมือนกัน เช่น เราอาจต้องมีผนังหลายชั้น กันแดดได้ และพอไม่มีแดดก็เอาออกได้ รวมถึงกันฝนได้ และอาจมีประตูหรือหน้าต่างที่เปิดปิดไปตามการเปลี่ยนแปลงของการอากาศได้มากขึ้น เพราะสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยมีหน้าต่างและใช้วิธีการเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลาเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เป็นไปตามที่ต้องการไม่ว่าอากาศข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่อย่าลืมว่ามันต้องใช้พลังงานมหาศาล มันเป็นนวัตกรรมที่ทำให้โลกร้อนโดยเฉพาะ

รชพร ชูช่วย

ต้องย้อนไปพูดด้วยว่าในการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกนี้ มีตัวการคือสถาปัตยกรรมคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% โดยในนี้ 10% มาจากการก่อสร้าง และอีก 30% มาจากการทำอาคารให้ร้อนหรือเย็น ซึ่งก็คือการใช้เครื่องปรับอากาศ เพราะฉะนั้นในอนาคตเราต้องคิดเรื่องการใช้พลังงานที่เป็น passive cooling มากขึ้น เช่น คิดว่าทำอย่างไรไม่ให้ผนังโดนแดดเยอะหรือดูดซับความร้อนเยอะ ทำอย่างไรให้มีการระบายอากาศโดยธรรมชาติเยอะขึ้น อาจใช้เทคนิคการออกแบบรูปทรงสถาปัตยกรรมที่กันความร้อนออกไปไม่ให้โดนตัวคน จริงๆ แล้ว ก่อนหน้าที่เครื่องปรับอากาศจะเป็นของถูกจนใช้กันแพร่หลาย ประเทศแถบนี้ก็อยู่มาได้ด้วยการที่สถาปนิกออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อจัดการความร้อนให้ออกจากอาคารให้ได้เยอะที่สุด แต่พอมีเครื่องปรับอากาศ สถาปนิกก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยลง

ส่วนในเรื่องวัสดุการสร้างบ้าน ที่ผ่านมาเราใช้วัสดุที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง เช่น คอนกรีตและเหล็ก แต่ข้อดีคือมันมีความแข็งแรง ถ้าเราทำอาคารใหญ่ๆ ที่รองรับคนเยอะถึงอย่างไรเราก็หนีมันไม่พ้น เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่าเรื่องการเลือกใช้วัสดุคือการเลือกให้เหมาะสมกับหน้าที่ของอาคาร ไม่ใช่ว่าใช้คอนกรีตหรือเหล็กกับอาคารทุกประเภท ถ้าเป็นอาคารที่ไม่ได้ต้องการความแข็งแรงมากขนาดนั้น เราอาจใช้วัสดุอื่นที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่านี้ ซึ่งตอนนี้มีงานวิจัยมากมายที่พูดถึงการใช้วัสดุที่เป็น biomaterial (วัสดุชีวภาพ) หรือ non-extractive material (วัสดุที่ไม่ได้มาจากการขุดหรือสกัดทรัพยากรธรรมชาติ) คือไม่ได้ขุดออกมาจากภูเขาหรือดิน แต่มาจากสิ่งที่ปลูกขึ้นมาได้อย่างพืช จึงเป็นวัสดุที่ย่อยสลายง่าย แต่ปัญหาคือมันอยู่ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดกันมากขึ้นคือเราต้องการให้ส่วนประกอบนี้ของอาคารอยู่นานแค่ไหน กี่ปีถึงเปลี่ยน แต่การเลือกใช้วัสดุประเภทนี้ก็ต้องมีสติเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าของทุกอย่างที่เป็นไบโอจะดีหมด เช่นตอนนี้มีเทรนด์ของการใช้ไม้ลามิเนตมาเป็นโครงสร้างอาคาร แต่จริงๆ ก็มีงานวิจัยพบว่ามันปล่อยคาร์บอนไม่ต่างจากเหล็กเลย เพราะมันก็ต้องผ่านกระบวนการทำให้ไม้แข็งแรง เหมือนทำไม้ให้เป็นเหล็ก ซึ่งก็ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทำสีทาผนัง เพราะจริงๆ สีไม่ได้มีหน้าที่แค่ให้อาคารสวย แต่มันเป็นเหมือนฟิล์มที่ช่วยรักษาผิววัสดุไม่ให้แตกร่อน และช่วยให้ไม่ดูดซับความร้อนเข้าไปในตัวอาคารมาก ซึ่งต่อไปเราก็ต้องคิดเรื่องการทาสีผนังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการดูดซับความร้อนมากขึ้นเหมือนกัน มันจะช่วยให้เครื่องปรับอากาศในอาคารทำงานน้อยลงได้

สุดท้ายแล้วที่ดิฉันพูดมาทั้งหมดอาจดูเหมือนกำลังโทษสถาปนิก (ที่ออกแบบสถาปัตยกรรมเอื้อต่อการเกิดโลกร้อน) แต่จริงๆ แล้วสถาปนิกตัวเล็กมาก เราต้องดูภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมการก่อสร้างทั้งหมด คือต่อให้สถาปนิกอยากใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ แต่มันไม่มีของให้ใช้เพราะบริษัทวัสดุก่อสร้างไม่ทำ แล้วเราจะไปเอามาจากไหน เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งหมดต้องมีเป้าหมายเดียวกันว่าเราจะลงมือคิดเรื่องการใช้วัสดุการออกแบบที่สัมพันธ์กับภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องดูคือเรื่องกฎหมายความปลอดภัยของอาคารที่ควบคุมการใช้วัสดุของเราอยู่ ทำให้เราใช้วัสดุทางเลือกอื่นได้ไม่มากนัก เพราะกว่าที่วัสดุประเภทหนึ่งจะได้รับการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยเป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นอุตสาหกรรมก่อสร้างจึงเป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างอุ้ยอ้ายในการปรับตัวต่อโลกร้อนประมาณหนึ่ง ทั้งที่มันเป็นตัวการหลักของโลกร้อน

สถานพยาบาลต้องประเมินความพร้อมและความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง – Sarin K C

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อเรื่องสุขภาพของมนุษย์อยู่ในสองระดับ

ระดับแรกคือระดับปัจเจกบุคคล เนื่องจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลให้เกิดหลายปรากฏการณ์ เช่น อากาศที่ร้อนแบบสุดขั้ว อากาศที่เย็นแบบสุดขั้ว มลภาวะทางอากาศที่พุ่งสูง และอุทกภัยที่หนักขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้แน่นอนว่ากระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการนำมาสู่โรคระบาดและปัญหาสุขภาพที่มากขึ้นและหลากหลายขึ้น อย่างการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้อากาศที่ร้อนหรือเย็นเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย ขณะเดียวกัน จำนวนครั้งที่มากขึ้นของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วหรือภาวะน้ำท่วม ก็มีผลให้เชื้อโรคหรือไวรัสต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ไข้เลือดออกและมาลาเรีย เป็นต้น เพราะฉะนั้นมันทำให้เราทุกคนต้องพยายามดูแลป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของตัวเอง เช่น พยายามดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นฮีตสโตรก (โรคลมแดด) และใส่หน้ากากให้ถูกประเภทเพื่อป้องกันมลพิษ

ระดับต่อมาคือผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลให้มีคนเจ็บป่วยมากขึ้นและต้องเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล ซึ่งก็จะเป็นความท้าทายต่อระบบสาธารณสุข หากสถานพยาบาลไม่ได้มีทรัพยากรรองรับที่เพียงพอ เช่น จำนวนแพทย์และพยาบาลที่เพียงพอ ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องรอเข้ารับบริการนานขึ้น และเมื่อพวกเขาไม่อาจเข้ารับการรักษาได้อย่างทันเวลาก็ทำให้สุขภาพย่ำแย่ลง และในอีกแง่หนึ่ง ภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถส่งผลต่อการดำเนินงานของสถานพยาบาลเช่นกัน เช่น เกิดน้ำท่วมจนทำให้คนเดินทางเข้าไปโรงพยาบาลไม่ได้

ทั้งหมดนี้ทำให้บรรดาสถานพยาบาลในอนาคตต้องมีการประเมินความพร้อมและความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงประเมินความสามารถในการรองรับจำนวนผู้ป่วยที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถยกระดับขีดความสามารถของตัวเองในการรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ได้

นอกจากนี้แวดวงสาธารณสุขในอนาคตจะมีนวัตกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายสำหรับผู้ป่วยฮีตสโตรก ซึ่งสามารถลดอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็วและส่งผลเสียต่ำ อีกทั้งยังมีนวัตกรรมที่ช่วยทดสอบความเสี่ยงในการเป็นฮีตสโตรก คล้ายคลึงกับเครื่อง PCR ที่ใช้ตรวจโควิด-19 โดยใช้วิธีการ swab (เก็บตัวอย่างส่งตรวจ) ถ้าตรวจแล้วขึ้นสองขีด แปลว่ามีความเสี่ยงเป็นฮีตสโตรกหรือโรคอื่นที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ตรวจพบสามารถเข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันโรคได้อย่างทันท่วงที

ขณะเดียวกันแวดวงสาธารณสุขก็ต้องปรับตัวเพื่อบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน ซึ่งก็สามารถทำได้หลายทาง ในประเทศไทย วิธีหนึ่งที่เราทำอยู่คือการสร้างระบบจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงพยาบาล หรือ ระบบ THEMS (THai Hospital Emissions Management System) ซึ่ง HITAP พัฒนาร่วมกับกองพัฒนาบริการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยระบบนี้ทำให้โรงพยาบาลตรวจสอบและประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของโรงพยาบาล นำไปสู่การสร้างมาตรการจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด เช่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด

Sarin K C
ภาพถ่ายจาก HITAP

นอกจากนี้โรงพยาบาลยังต้องปรับเปลี่ยนเรื่องแนวปฏิบัติทางการแพทย์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตเราอาจจะต้องให้ข้อมูลผู้ป่วยด้วยว่ายาหรือวิธีการรักษาแบบไหนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด มากไปกว่าการให้ข้อมูลแค่ในแง่ราคาและประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้ป่วยในการเลือกใช้ยาหรือวิธีการรักษา เช่น การใช้ยาพาราเซตามอลระงับอาการปวด ซึ่งปัจจุบันมันมีทั้งวิธีการให้รับประทานยาและการฉีดเข้าไปในเส้นเลือด โดยมีงานวิจัยจากสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ที่เปรียบเทียบการรักษาสองวิธีนี้ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ ต้นทุน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พบว่าในเชิงประสิทธิภาพไม่ได้ต่างกัน ในขณะที่ในแง่ต้นทุนนั้นการฉีดแพงกว่ามาก และถ้ามองในมิติสิ่งแวดล้อมก็พบว่ากระบวนการผลิตยาแบบฉีดปล่อยคาร์บอนสูงกว่ายาแบบรับประทาน

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการฟอกไต ซึ่งปัจจุบันมีสองแบบคือการล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) และการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) โดยจากงานวิจัยเดิมพบว่าการล้างไตทางช่องท้องประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด และต่อมาเราก็ได้ศึกษาในแง่ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วย พบว่าวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมนั้นต้องใช้พลังงานมาก เพราะต้องใช้ทั้งน้ำและไฟฟ้าในการทำงานของเครื่องอย่างมากมาย ขณะที่การล้างไตทางช่องท้องไม่ต้องใช้น้ำและไฟฟ้ามากนัก แต่ก็ใช้พลาสติกมาก ท้ายสุดมันก็ต้องมาศึกษาประเมินชั่งน้ำหนักระหว่างแต่ละวิธีในทุกมิติว่าวิธีไหนจะดีที่สุดในการรักษาผู้ป่วยและดีต่อโลกไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับระบบสาธารณสุขยังมีความท้าทายอยู่มาก อย่างประเทศไทยเองที่แม้จะมีการศึกษาวิจัยเชิงการแพทย์อยู่มากมาย แต่พอเป็นเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องใหม่ ทำให้เรายังไม่มีข้อมูลมากนักในการศึกษาทำความเข้าใจ

สุดท้าย ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้เป็นอะไรที่ภาคสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งระดับประเทศและระดับโลกในการลดการพึ่งพาสิ่งที่ทำให้สภาพภูมิอากาศของเราย่ำแย่ลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบด้านสุขภาพของผู้คนได้ในทางอ้อมด้วย  

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save