จากตระบัดสัตย์ ถึงเหยียดชาติพันธุ์ ภาพจำอัศวินหลงยุค (ลุง)

ก่อนทักษิณจะกลับคืนสู่ไทยอย่างเป็นทางการมีวาทกรรมหนึ่งที่ฝ่ายทักษิณชอบยกมาปกป้องทักษิณและเครือข่ายทางการเมือง จนถึงลดทอนน้ำหนักความน่าเชื่อถือการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม คือวาทกรรม ‘ก้าวไม่ข้ามทักษิณ’

แต่สถานการณ์วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่านี่คือวาทกรรม ‘กลวงๆ’ และไม่มีใครอ้างหรือยกมาพูดถึงอีกเลย เพราะบทบาทที่ทักษิณขับเคลื่อนหลังได้รับอิสรภาพจากโทษคุมขังอย่างเป็นทางการ หลายครั้งแทบจะเรียกได้ว่า ‘เหาะเกินลงกา’  

ตั้งแต่แสดงวิสัยทัศน์ชี้นำนายกฯ แพทองธาร ผู้เป็นลูกสาวและรัฐบาลเพื่อไทยให้เดินตาม โดยเฉพาะแนวคิดด้านนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การทยอยแจกเงินหมื่นเป็นเฟสๆ, ผลักดันนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์, การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (หลังถูกคัดค้านหนักจึงชะลอไว้ก่อน) และล่าสุดเตรียมทดลองใช้คริปโตเคอร์เรนซีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 

นอกจากนั้นยังรุกแสดงบทบาทสั่งการ (อย่างไม่เป็นทางการ) ต่อปัญหาและสถานการณ์รายวัน เช่น การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์, การลดค่าไฟฟ้า, การปราบยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล

การแสดงบทบาทจนถูกวิจารณ์ว่า ‘เหาะเกินลงกา’ นี้สามารถอธิบายและสรุปถึงเหตุผลความจำเป็นได้ด้วยคำพูดของทักษิณเองที่กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนที่ว่า “ผมต้องเสือกทุกเรื่อง เพราะถ้าไม่เสือกก็ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพแก้ปัญหา”

หลังรัฐประหาร 2549 ผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปี ความพยายามของฝ่ายตรงข้ามทักษิณ (ซึ่งปัจจุบันเกือบทั้งหมดกลายเป็นฝ่ายเดียวกันไปแล้ว) ที่ต้องการให้สังคมไทย ‘ก้าวข้ามทักษิณ’ และความพยายามของฝ่ายทักษิณที่สร้างวาทกรรมดิสเครดิตฝ่ายใดก็ตามที่โจมตีทักษิณว่า ‘ก้าวไม่ข้ามทักษิณ’ จึงล้มเหลวโดยสมบูรณ์ด้วยน้ำมือของทักษิณเอง เพราะด้วยข้อเท็จจริงที่ลำดับมาสะท้อนให้เห็นว่า ทักษิณไม่ได้ต้องการให้ใคร ‘ก้าวข้าม’ ตัวเองแม้แต่น้อย

หลายครั้งหากมีใครคิดก้าวข้ามจริงๆ เช่น กรณีพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน เขายังจงใจนอนขวางและทำทุกวิถีทาง ทั้งยื่นแขนขามือไม้มาฉุดรั้งให้สะดุด

ทักษิณมีบทบาทอย่างไม่เป็นทางการมาตลอด และพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับมามีบทบาทอย่างเป็นทางการและเปิดเผยเต็มตัว เช่น ณ ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้

ย้อนยุคต้นแบบ ‘รักษาคำพูด’

ถ้าวัดความสำเร็จทางการเมืองคือการกระชับอำนาจรัฐไว้ในมือ ทักษิณผู้เคยได้รับฉายาตั้งแต่ครั้งประสบผลสำเร็จทางธุรกิจว่า ‘อัศวินคลื่นลูกที่สาม’ ก่อนจะได้อีกฉายาหลังประสบผลสำเร็จทางการเมืองในยุครัฐบาลไทยรักไทยว่า ‘นายกฯ ขวัญใจคนรากหญ้า’ ผู้สร้างประชาธิปไตยกินได้

การยอมพลิกลิ้น ‘ตระบัดสัตย์’ จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วหลังเลือกตั้ง พ.ค. 2566 ก็นับว่าเขาและเครือข่ายสำเร็จกับเป้าหมายดังกล่าว แต่โลกใหม่ สังคมใหม่ คนรุ่นใหม่ที่เชื่อในอารยะ ยึดถือให้ความสำคัญกับค่านิยมหรือคุณค่าที่สำคัญคือ ‘การรักษาคำพูด’

ในเชิงปัจเจกไม่มีใครอยากคบเพื่อนหรือให้ความไว้วางใจเรื่องสำคัญกับเพื่อนที่ไม่ค่อยรักษาคำพูด

ในเชิงธุรกิจไม่มีเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารคนไหนอยากร่วมงาน ร่วมลงทุน ค้าขายกับคู่ค้าที่ไม่รักษาคำพูด คำสัญญามีข้ออ้างเล่ห์เหลี่ยม เพื่อหลีกเลี่ยงทำตามข้อตกลงที่เจรจาไว้เสมอๆ

ในเชิงเครดิตทางการเงินไม่ว่าจะปัจเจกหรือองค์กร การไม่รักษาคำพูดตามข้อตกลงเมื่อมีสัญญากู้ยืมเงิน สถานะความน่าเชื่อถือของบุคคลหรือองค์กรนั้นจะถูกลดความน่าเชื่อถือมีประวัติเสียในระบบเครดิตบูโร

เฉกเช่นเดียวกัน ในทางการเมืองแม้ไม่มี ‘เครดิตบูโร’ อย่างเป็นทางการเช่นทางการเงิน แต่ ‘เครดิตบูโร’ เหล่านั้นฝังอยู่ในจิตใจและความทรงจำของประชาชนระดับความเข้มข้นมากน้อยขึ้นอยู่กับประเด็น คุณค่าที่ยึดถือ และยุคสมัย

บริบทการเมืองไทยก่อนปี 2540 เรื่องการยึดถือคุณค่าการรักษาคำพูด ไม่ตระบัดสัตย์ ทำตามสัญญาประชาคมนั้นอาจไม่เข้มข้นนัก การหาเสียงทางการเมืองแล้วไม่ทำตามที่พูดหรือสัญญาในยุคดังกล่าวจึงไม่ค่อยถูกลงโทษจากประชาชนเท่าที่ควร หลายเรื่องก็ถูกลืมในเวลาอันรวดเร็ว

นักการเมืองสายพันธุ์ ‘ปลาไหลใส่สเก็ต’ หรือ ‘มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก’ จึงยังยืนอยู่บนเวทีการเมืองได้แทบเป็นเรื่องปกติและกลายเป็นการสร้างภาพจำในทางเลวร้ายให้กับคำว่า ‘นักการเมือง’ ว่าคือคนกะล่อน ปลิ้นปล้อน เชื่อถือหรือไว้วางใจไม่ค่อยได้ เข้าทางฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดความเข้มแข็ง

แต่หลังชัยชนะของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 2544 เพียงสมัยแรกของรัฐบาลไทยรักไทยที่มีทักษิณเป็นนายกฯ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและยกระดับการยึดถือคุณค่า ‘การรักษาคำพูด’ จากที่หาเสียงไว้ ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าการเมืองไทย เพราะทักษิณและรัฐบาลไทยรักไทยทำเรื่องหลักๆ ตามที่พูดได้แทบทุกเรื่องและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อคนส่วนใหญ่ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์, พัฒนาเอสเอ็มอี, พักหนี้เกษตรกร, ปฏิรูประบบราชการ ฯลฯ

ทำให้การเลือกตั้งครั้งถัดมาในปี 2548 พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเด็ดขาดถล่มทลาย 377 เสียง จาก 500 เสียง เป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ความสำเร็จดังกล่าวสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการทำงานการเมืองนับจากนั้นเป็นต้นมา นักการเมืองทุกพรรคทุกคนพยายามสร้างภาพใหม่ว่า พวกเขา ‘พูดแล้วทำ’ ด้วยตระหนักแล้วว่านี้คือคุณค่าสำคัญในการสร้างความเชื่อถือต่อประชาชนอย่างได้ผลและยั่งยืน

ความท้าทายของ ‘อัศวินหลงยุค’

ความสำเร็จจากการกลับมามีอำนาจรัฐรอบล่าสุด หลังห่างหายไปตั้งแต่ถูกรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 เป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งสำหรับทักษิณและพรรคเพื่อไทยในยุคนี้ เพราะการบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีการ ‘ตระบัดสัตย์’ ย้อนแย้งกับบรรทัดฐานใหม่ทางการเมืองที่พวกเขาร่วมกันสร้างไว้จนกลายเป็นค่านิยมที่ผู้คนยึดถือ

ขณะที่ความพยายามชดเชยเยียวยา (เพราะพวกเขาก็รู้ดีว่าการตระบัดสัตย์คือความเลวร้ายทางการเมือง) ด้วยผลงานผ่านนโยบายต่างๆ ไม่ประสบผลสำเร็จในระดับที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าคุ้มค่าการตระบัดสัตย์

ประเด็นล่าสุดที่เหมือนจะช่วยตอกย้ำว่า ‘ทักษิณ’ กำลังกลายเป็น ‘คนหลงยุค’ (outdated) จากบรรทัดฐานใหม่ของสังคมคือการพูดถึงคนแอฟริกาที่หลายคนฟังแล้วเข้าข่ายเหยียดชาติพันธุ์ มีการกล่าวถึงความสวยงามตามธรรมชาติของคนอีสานและต่อต้านการทำศัลยกรรมว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะควร

ทักษิณไม่ได้พูดถึงประเด็นเหล่านี้เป็นครั้งแรกระหว่างลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกนายกฯ อบจ. ที่เชียงราย แต่ก่อนหน้านี้เขาพูดมาแล้วสองครั้ง ผ่านเวทีแสดงวิสัยทัศน์ของเครือเนชั่น ส.ค. 2567 และเวทีอีสานเน็กซ์ของเครือมติชน ธ.ค. 2567

คำถามสำคัญคือคนอย่างทักษิณซึ่งใช้ชีวิตในประเทศเจริญแล้วมาหลายสิบปี มีประสบการณ์พบเห็นความเปลี่ยนแปลงแตกต่างหลากหลายมาแทบทุกด้าน คนแวดล้อมใกล้ชิดจำนวนมากก็เหมือนจะ ‘ก้าวหน้า’ ทางความคิดอ่าน แต่ทำไมมาตกม้าตายกับประเด็นที่กลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่โลกยุคใหม่ยึดถือ

ในประเด็นตระบัดสัตย์-ไม่รักษาคำพูด ผมมองว่าแรงขับสำคัญที่ทำให้ทักษิณล้ำเส้นละเมิด ชัดเจนว่าเป็นแรงจูงใจทางการเมือง เป็นการตกผลึกทางอุดมการณ์ส่วนตัวว่า ณ วันนี้ การเมืองสำหรับทักษิณและเครือข่ายเพื่อไทยเห็น ‘อำนาจสูงสุด’ อยู่ที่ประชาชนแค่วันเลือกตั้ง

ประชาธิปไตยของปลอมจึงเหมาะสมสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าประชาธิปไตยของจริง (ที่ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะถึงเวลาเมื่อไหร่)

ส่วนประเด็นเหยียดชาติพันธุ์หรือการมองว่าความสวยงามตามธรรมชาติมีคุณค่าเหนือกว่าสวยงามเพราะศัลยกรรมนั้นเป็นความหลงยุคตามวัย (ลุง) ล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับแรงจูงใจและความเชื่อทางการเมือง

ทั้งสองประเด็นเป็นความท้าทายทั้งต่อตัวทักษิณ พรรคเพื่อไทย และสังคมไทยว่า ยังยึดถือให้คุณค่าต่อทั้งสองประเด็นนั้นมากน้อยเพียงใด

โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ โลกยุคเอไอ ไม่ใช่ยุคที่สามที่ทักษิณเคยเป็นอัศวิน  

เลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไปจะเป็นคำตอบว่า อัศวินคลื่นลูกที่สามเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วกำลังจะแปลงกายจบบั้นปลายชีวิตทางการเมืองด้วยภาพและฉายาใหม่ ‘อัศวินหลงยุค (ลุง)’ หรือไม่ ?

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save