‘คนมีความสามารถ’ หรือ ‘คนของใคร’? : ‘บอร์ดรัฐวิสาหกิจ’ กับโจทย์เก่าและใหม่ในการกำกับดูแล

 [หมายเหตุผู้เขียน: บทความชิ้นนี้ปรับปรุงจากเนื้อหาที่เขียนเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “มรดกทางความคิดและการทำงานของ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์” พฤศจิกายน 2567 ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ TDRI]

หากพูดถึง ‘หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี’ (good governance) ของรัฐวิสาหกิจ คนทั่วไปอาจนึกไม่ค่อยออกว่าคำศัพท์ที่ฟังดูเป็นนามธรรมคำนี้หมายถึงอะไร แต่ถ้าถามว่า ท่านคิดว่ารัฐวิสาหกิจทำเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเงินในกระเป๋าสตางค์ของกลุ่มบุคคลมากกว่ากัน คงมีคนไม่น้อยที่ตอบว่า รัฐวิสาหกิจบางแห่งดูเหมือนจะสนใจจ่ายค่าตอบแทนสูงๆ ให้กับพนักงานและผู้บริหาร มากกว่ามุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ส่วนคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เมื่อกวาดตาอ่านรายชื่อแล้ว หลายคนก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่า ตำแหน่งเหล่านี้อาจเป็น ‘สมบัติผลัดกันชม’ หรือ ‘ตำแหน่งต่างตอบแทน’ ของนักการเมืองในอำนาจ มากกว่าจะเน้นความรู้ความสามารถของบุคคลที่ตั้งมาเป็นกรรมการ ใช่หรือไม่

รัฐวิสาหกิจนับเป็นส่วนสำคัญของระบอบเศรษฐกิจ มีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาสังคมและขับเคลื่อนนโยบายรัฐ ดังนั้นจึงได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ จากรัฐมากมาย แต่หลายแห่งก็แข่งขันกับภาคเอกชน (อย่างไม่ค่อยเป็นธรรมกับเอกชนนัก) และการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจบ่อยครั้งก็มักถูกสาธารณะเพ่งเล็งและมองอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า คนคนนี้ได้รับตำแหน่งเพราะมีความรู้คู่ควรกับงาน หรือเพราะมีนักการเมืองส่งมาแทรกแซงเพื่อหาช่องฉวยประโยชน์ หรือมอบตำแหน่งเป็นรางวัลตอบแทน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และนักวิชาการที่เห็นแก่ประโยชน์สาธารณะจำนวนไม่น้อยพยายามเสนอกลไกเชิงสถาบันเพื่อช่วยพัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีความเข้มแข็งและดำเนินงานภายใต้หลักการกำกับกิจการที่ดี ปลอดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองให้ได้มากที่สุด กลไกล่าสุดที่เป็นความหวังในประเด็นนี้คือพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 (“พ.ร.บ. การกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ”) ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ คนร. จะแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ ขึ้นมาดำเนินการคัดเลือกบุคคลที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งในการประชุม คนร. ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ก็ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ และมีมติเห็นชอบสมรรถนะหลัก (Skill Matrix) และแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้ในการพิจารณาสรรหาบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ โดยได้กำหนดสมรรถนะหลักสำหรับตำแหน่งดังกล่าวจำนวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านการบัญชี ด้านกฎหมาย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และสมรรถนะด้านอื่น

สำหรับการกำหนดสาขาความรู้ความเชี่ยวชาญ ‘ด้านอื่น’ นั้น ให้ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจพิจารณากำหนดเท่าที่จำเป็นหรือเท่าที่รัฐวิสาหกิจต้องการ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับบทบาทและภารกิจขององค์กร กฎหมายจัดตั้ง แผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ และแผนต่างๆ ขององค์กร เพื่อเสนอกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมถึงให้รัฐวิสาหกิจมีการทบทวนการกำหนดสมรรถนะหลัก ‘ด้านอื่น’ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ถ้าทบทวนแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุง ก็ให้เสนอกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเสนอ คนร. ต่อไป

พ.ร.บ. การกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความพยายามที่จะยกระดับการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น โปร่งใสยิ่งขึ้น และปลอดการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2551 มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 กำหนดเป็นครั้งแรกให้รัฐวิสาหกิจต้องมีกรรมการจากบัญชีรายชื่อกรรมการที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้น (director’s pool) ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าแม้กลไกต่างๆ รวมถึง พ.ร.บ. การกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 จะช่วยสร้างความก้าวหน้าในบางระดับ แต่ในทางปฏิบัติ ณ สิ้นปี 2567 กลไกเหล่านี้ยังไม่สามารถ ‘ปฏิรูป’ กระบวนการแต่งตั้ง การจ่ายค่าตอบแทน และการประเมินผลงานของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ในทางที่ขจัดความกังวลและกังขาของสาธารณะได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้เขียนอยากยกตัวอย่าง 3 กรณี ดังต่อไปนี้

กรณีแรก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 หรือ 10 ปี หลังรัฐประหาร 2557 พบว่าจากจำนวนรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 52 แห่งนั้น มีอยู่ 12 แห่ง (คิดเป็นร้อยละ 23 ของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด) ที่มีสัดส่วนกรรมการรัฐวิสาหกิจที่รับราชการทหารหรือตำรวจในปัจจุบันค่อนข้างสูง โดยมีสัดส่วนอยู่ที่อย่างน้อย 1 ใน 5 (20% ขึ้นไป) ของกรรมการทั้งหมด (ดูตารางด้านล่างประกอบ) และมีรัฐวิสาหกิจอีก 19 แห่ง ที่มีกรรมการเป็นทหารหรือตำรวจอย่างน้อย 1 คน (ร้อยละ 36.5) ส่วนรัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก 21 แห่ง ไม่มีกรรมการเป็นทหารหรือตำรวจเลย คิดเป็นส่วนน้อยคือร้อยละ 40 ของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด

ลำดับที่ชื่อรัฐวิสาหกิจ/กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่จำนวนกรรมการจำนวนกรรมการ-ตำรวจจำนวนกรรมการ-ทหารสัดส่วนตำรวจ-ทหาร
1โรงพิมพ์ตำรวจ116054.55%
2บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด110654.55%
3สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล112236.36%
4บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)30133.33%
5องค์การสะพานปลา61133.33%
6การกีฬาแห่งประเทศไทย151433.33%
7องค์การสวนพฤกษศาสตร์102130.00%
8การยาสูบแห่งประเทศไทย71128.57%
9โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต110327.27%
10บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)153126.67%
11การประปานครหลวง132123.08%
12การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค151220.00%
13การทางพิเศษแห่งประเทศไทย111118.18%
14การประปาส่วนภูมิภาค110218.18%
15องค์การสุรา กรมสรรพสามิต110218.18%
16บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)130215.38%
17บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)150213.33%
18บริษัท ขนส่ง จำกัด101010.00%
19บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด101010.00%
20องค์การคลังสินค้า101010.00%
21การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย11019.09%
22การท่าเรือแห่งประเทศไทย11109.09%
23การเคหะแห่งชาติ11019.09%
24องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร11109.09%
25บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)12108.33%
26การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย12018.33%
27บมจ.ธนาคารกรุงไทย12018.33%
28การไฟฟ้านครหลวง13107.69%
29องค์การจัดการน้ำเสีย15016.67%
30องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย15016.67%
31การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย15016.67%
32องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ9000.00%
33การรถไฟแห่งประเทศไทย8000.00%
34การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย15000.00%
35บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด11000.00%
36บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด4000.00%
37บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด11000.00%
38องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย11000.00%
39การยางแห่งประเทศไทย15000.00%
40องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้11000.00%
41องค์การสวนสัตว์10000.00%
42องค์การเภสัชกรรม15000.00%
43สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย8000.00%
44องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ11000.00%
45สำนักงานธนานุเคราะห์11000.00%
46ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร15000.00%
47ธนาคารออมสิน12000.00%
48ธนาคารอาคารสงเคราะห์10000.00%
49ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย11000.00%
50ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย10000.00%
51ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย9000.00%
52บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม11000.00%

หมายเหตุ:  ข้อมูลรวบรวมโดยผู้เขียนจากเว็บไซต์ทางการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ณ 31 สิงหาคม 2567

ผู้เขียนเห็นว่า การที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งมีทหารหรือตำรวจเป็นสัดส่วนสูงนั้น ดู ‘มีเหตุมีผล’ เมื่อคำนึงว่าพันธกิจของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือกองทัพ เช่น โรงพิมพ์ตำรวจ (มีตำรวจเป็นกรรมการร้อยละ 54.5 ของกรรมการทั้งหมด) หรือบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (มีทหารเป็นกรรมการร้อยละ 54.5) อย่างไรก็ดี เหตุผลดังกล่าวใช้ไม่ได้กับรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่พันธกิจไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจหรือกองทัพ แต่ยังมีกรรมการเป็นตำรวจหรือทหารในสัดส่วนที่สูง อาทิ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (มีตำรวจและทหารเป็นกรรมการร้อยละ 36.3) องค์การสะพานปลา (ร้อยละ 33.3) องค์การสวนพฤกษศาสตร์ (ร้อยละ 33.3) การยาสูบแห่งประเทศไทย (ร้อยละ 28.6) และการประปานครหลวง (ร้อยละ 23.1) เป็นต้น

นอกจากนี้ กรรมการรัฐวิสาหกิจบางรายที่รับราชการเป็นทหารหรือตำรวจในเวลาเดียวกัน ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ หรือมาในฐานะผู้แทนองค์กรที่ดูไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหน้าที่ความรับผิดชอบหลักในฐานะทหารหรือตำรวจ ยกตัวอย่างเช่น พ.ต.อ.พัฒน์เชษฐ์ อุ่นอนันต์ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ในฐานะ “ผู้แทนสถาบันเกษตรกร” และ พ.ต.อ.อดิศร บุญประทีป ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า เป็นต้น

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่า คนร. ควรมีการประเมินกระบวนการแต่งตั้งทหารหรือตำรวจมาดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ว่าสอดคล้องกับสมรรถนะหลัก (Skill Matrix) และแนวทางที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร รวมถึงควรมีการทบทวนองค์ประกอบและคุณสมบัติของ ‘กรรมการโดยตำแหน่ง’ ของรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง (ไม่อยู่ในเงื่อนไข director pool และสมรรถนะหลัก ซึ่งใช้กับกรรมการคนนอกเท่านั้น) ว่ายังมีความเหมาะสมกับพันธกิจและสภาพแวดล้อมการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ อยู่หรือไม่

กรณีที่สอง การแต่งตั้ง ‘กรรมการอิสระ’ ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ผ่านกระบวนการตรวจสอบแต่เพียงว่า กรรมการรายนั้นๆ ไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม แต่ขาดกระบวนการพิจารณาอย่างจริงจังว่า กรรมการรายนั้นจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ จริงหรือไม่

ตัวอย่างกรณีนี้ที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจคือการแต่งตั้ง ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย เป็นกรรมการอิสระ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น ประธานกรรมการการสรรหา ปตท. เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง ในเดือนตุลาคม 2566

ทั้งสองหน่วยงานในข่าวคือ ธนาคารกรุงไทย และ บมจ. ปตท. เป็นหน่วยงานที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งคู่ (แม้ว่าธนาคารกรุงไทยจะได้รับการวินิจฉัยจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี 2563 ว่าพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ

คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้บริหารระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารขนาดใหญ่ จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ ประธานกรรมการสรรหา (แน่นอนว่ารวมถึงการสรรหาผู้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดด้วย) ของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของธนาคาร ได้อย่างเป็น ‘อิสระ’ และปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง

ผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้สะท้อน ‘ช่องว่าง’ ของกลไกการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจว่า กลไกต่างๆ เน้นการประเมินความรู้ความสามารถหรือการกำหนดคุณสมบัติของกรรมการ โดยขาดกระบวนการประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ระหว่าง ‘สถานะ’ ต่างๆ ของผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบไม่แพ้การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน กับประโยชน์ส่วนรวม

กรณีที่สามและสุดท้าย กลไกและแนวปฏิบัติต่างๆ ในการกำกับดูแลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจโดยรวมยังไม่ครอบคลุมไปถึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น หรือบริษัทที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นใหญ่สุด จึงยังเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากภาคการเมือง ส่งคนไปรับตำแหน่งกรรมการในลักษณะ ‘ต่างตอบแทน’ ได้

ตัวอย่างที่อาจเข้าข่ายกรณีนี้คือ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 45) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติแต่งตั้งกรรมการทดแทนตำแหน่งที่ว่างและกรรมการที่ลาออก รวดเดียว 5 คน

ในบรรดากรรมการใหม่ 5 คนนี้ มี 2 คนที่สาธารณชนตั้งข้อสังเกต คือ 1) พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ โดย พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ โด่งดังในหน้าสื่อในฐานะ ‘แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ’ ที่คอยอธิบายและแถลงเรื่องอาการป่วยของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ย้ายจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์มารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นานถึง 6 เดือน ต่อสื่อเป็นระยะๆ และ 2) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอิสระและกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน นายเสกสกลโด่งดังในสมญา ‘แรมโบ้อีสาน’ และผู้ประพันธ์เพลง ‘กตัญญูทักษิณ’ จากนั้นกลายเป็น ‘องครักษ์ลุงตู่’ ผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนที่ล่าสุดจะลาออกจากพรรคในเดือนตุลาคม 2566

หลังจากที่ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ นายเสกสกลก็ลาออกจากตำแหน่งนี้ มีผลวันที่ 9 กันยายน 2567 เท่ากับเป็นกรรมการอิสระของบริษัทได้ไม่ถึง 1 เดือน

ทั้งสามกรณีที่ผู้เขียนยกตัวอย่างสะท้อนว่า การกำกับดูแลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจให้ได้มาตรฐาน มีความเป็นมืออาชีพ และขจัดข้อครหาจากสังคมนั้น ปัจจุบันยังคงมีทั้งโจทย์เก่าและโจทย์ใหม่ให้เราขบคิด หาทางปิดช่องว่าง รวมถึงคิดค้นกลไกใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพลังภาคประชาชนและผู้ถือหุ้นรายย่อย ในการเรียกร้องความเป็นมืออาชีพของกรรมการรัฐวิสาหกิจไทย และขจัดการใช้ตำแหน่งเหล่านี้เป็นช่องทาง ‘ต่างตอบแทน’ ของนักการเมืองในอำนาจ

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save