เปิด 5 เทรนด์จาก Global Prison Trends โลกหลังม่านลูกกรงเป็นอย่างไรในปี 2024

Key Highlight จากรายงาน Global Prison Trends 2024

  • สถานการณ์ผู้ต้องขังล้นเรือนจำทวีความรุนแรงมากขึ้น มีเรือนจำใน 59 ประเทศที่ต้องรองรับผู้ต้องขังเกินกว่าศักยภาพของเรือนจำไปถึงร้อยละ 150
  • ปัญหาเรือนจำล้นยังคงเรื้อรังและมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสาเหตุที่ฟังดูเรียบง่ายและเป็นมาตลอด คือ ‘ความยากจน’ ที่คนจำนวนมากถูกตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำเพื่อเอาตัวรอดหรือเพื่อดำรงชีวิต
  • ระบบเรือนจำต้องเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งสงครามและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การทุจริตคอร์รัปชัน การขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ และองค์กรอาชญากรรม
  • ประเด็นด้านสุขภาพในเรือนจำยังคงน่าเป็นห่วง โดยผู้ต้องขังในเรือนจำมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าคนทั่วไป และผู้หญิงจะได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัสกว่าผู้ชาย

หากให้สรุปแบบสั้นและย่นย่อที่สุดเกี่ยวกับเทรนด์เรือนจำและระบบยุติธรรมในปี 2024 เราคงสรุปได้แต่เพียงว่า เรือนจำยังคงแออัด ผู้ต้องขังยังคงล้นเรือนจำ และยาเสพติดยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนต้องเข้าสู่เรือนจำ

นี่ไม่ใช่การฉายภาพซ้ำของเทรนด์ปีที่แล้วหรือปีก่อนๆ หน้า แต่ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ระบบยุติธรรมและระบบเรือนจำของโลกยังคงเหมือนเดิมในหลายด้าน และอาจทวีความรุนแรงและน่าเป็นห่วงมากขึ้นในหลายประเด็น 

แต่ในขณะเดียวกัน เราเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เมื่อเริ่มมีการพูดถึงและบรรจุเอา ‘ความยั่งยืน’ ซึ่งเป็นวาระหลักของโลกตอนนี้เข้ามาประยุกต์ใช้ในวิถีการทำงานและการบริหารจัดการเรือนจำ

ในปี 2024 ที่โลกของเราฟื้นฟูจากโรคระบาดอย่างเต็มที่และเริ่มเดินหน้าแสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ระบบยุติธรรมอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ใบนี้ – วันโอวันชวนมองทะลุกำแพงสูงหนาของเรือนจำ สำรวจ 5 เทรนด์จากบางส่วนของรายงาน Global Prison Trends 2024 จัดทำโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) และ องค์การปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI)

เทรนด์ที่ 1: เรือนจำยังคงแออัด ผู้ต้องขังยังคงล้นเรือนจำ

ในปี 2024 หากประชากรโลกทั้งหมดมีประมาณ 8.2 พันล้านคน มีคนกว่า 11.5 ล้านคนต้องอยู่ในเรือนจำ และมากกว่าครึ่งอยู่ในประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ จีน และอินเดีย 

นี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะหากไล่เรียงกลับไปตั้งแต่ปี 2000 จำนวนผู้ต้องขังถือว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรทั่วไป และแม้วิกฤตโรคระบาดอย่างโควิด-19 จะทำให้จำนวนผู้ต้องขังลดลงบ้าง แต่เรือนจำส่วนใหญ่ยังคงต้องรองรับผู้ต้องขังเกินกว่าศักยภาพของตนเอง

หากขยับมาดูข้อมูลรายทวีป เราพบว่ายุโรปเป็นทวีปที่ประชากรผู้ต้องขังในภาพรวมลดลงราวร้อยละ 26 ตั้งแต่ปี 2000 และมีแนวโน้มลดลงอีกในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอีกสองทศวรรษถัดมา กลับกันกับทวีปอเมริกา ลาตินอเมริกา เอเชียและโอเชียเนีย ที่มีจำนวนผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีการประมาณการถึงขั้นว่า ลำพังผู้ต้องขังในประเทศอินเดียเพียงประเทศเดียว ก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ต่อปี เพราะระบบประกันตัวที่ไม่มีประสิทธิภาพและการจับกุมที่มักนำไปสู่การคุมขังก่อนตัดสินคดี

แม้คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ต้องขังไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรขนาดนั้น แต่ผลจากสภาวะเรือนจำล้นนี้อาจมีนัยสำคัญมากกว่าที่เราคิด โดยรายงานฯ พบว่า สภาวะเรือนจำล้นทำให้เกิดความรุนแรงเนื่องจากมีจำนวนเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจตราและควบคุมไม่เพียงพอ ที่สำคัญคือการมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอและเรือนจำทำงานเกินศักยภาพจะส่งผลต่อกระบวนการกลับคืนสู่สังคม (rehabilitation) ของผู้ต้องขังอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้ต้องขังจะถูกลดชั่วโมงเยี่ยมและการทำกิจกรรมต่างๆ ลงไปด้วย

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าปัญหานี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขใดๆ เพราะหลายประเทศต่างเร่งออกมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาเรือนจำล้นในหลายวิธี โดยวิธีที่ใช้กันทั่วไปคือการสร้างเรือนจำเพิ่ม การปรับปรุงสถานที่อื่นๆ เพื่อใช้เป็นเรือนจำ หรือแม้กระทั่งการสร้างพื้นที่ชั่วคราวเพื่อคุมขัง และอีกวิธีหนึ่งคือการเจรจาต่อรองเพื่อรับสารภาพ (plea bargain) ก็เป็นวิธีที่หลายประเทศนิยมใช้ 

นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการใช้ทางเลือกอื่นแทนการคุมขังเพื่อบรรเทาเบาบางปัญหาดังกล่าวลง เช่น การทำทัณฑ์บน (probation) หรือการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronics Monitoring: EM)

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ ด้วยอัตราผู้ต้องขังหญิงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก ทำให้หลายประเทศเริ่มหาทางปฏิรูปโดยมุ่งไปที่ผู้ต้องขังหญิงโดยเฉพาะ เช่น ประเทศจีนอนุญาตให้ผู้หญิงที่จำเป็นต้องให้นมบุตรสามารถรับโทษในชุมชนภายใต้การตรวจตราเป็นเวลาสองปี ขณะที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างมาเลเซียวางแผนเกี่ยวกับการกักบริเวณในบ้านสำหรับกลุ่มเปราะบางแทน เช่น สตรีมีครรภ์และมารดา

อย่างไรก็ดี แม้จะมีความพยายามในการแก้ปัญหาสักแค่ไหน ปัญหาเรือนจำล้นยังคงเรื้อรังและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสาเหตุที่ฟังดูเรียบง่ายและเป็นมาตลอด คือ ‘ความยากจน’ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาน้อย เช่น ในกลุ่มแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) ที่คนจำนวนมากถูกตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำเพื่อเอาตัวรอดหรือเพื่อดำรงชีวิต

อีกหนึ่งปัจจัยที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นคือการใช้การคุมขังก่อนการพิจารณาคดีโดยไม่ได้พิจารณาทางเลือกอื่นประกอบ ซ้ำร้ายในบางที กลุ่มเปราะบางและกลุ่มชายขอบมีแนวโน้มที่จะถูกตัดสินให้คุมขังอย่างไม่เป็นธรรม เช่น ในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ที่การปฏิรูปในช่วงที่ผ่านมาทำให้จำนวนคนพื้นเมืองชนเผ่าอะบอริจินในเรือนจำหรือสถานกักกันสำหรับเยาวชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าพูดให้ถึงที่สุด ในช่วงปี 2009-2019 จำนวนชาวอะบอริจินเพศชายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 598 และเพศหญิงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 475

หากพิจารณาในภาพรวม กลุ่มที่มีแนวโน้มถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดีมากที่สุดคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด (แม้จะเป็นปริมาณที่เล็กน้อย) และนโยบายยาเสพติดหรือสงครามปราบปรามยาเสพติด (War on Drugs) จนเรียกได้ว่ายาเสพติดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักไสให้คนต้องเข้าสู่เรือนจำ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drug and Crime: UNODC) ประมาณการว่า คนจำนวนกว่า 3.1 ล้านคนทั่วโลกถูกจับในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 61) ถูกจับในข้อหาครอบครองยาเสพติด ซึ่งหลายประเทศไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างการครอบครองส่วนตัวกับการครอบครองเพื่อแจกจ่ายและทำกำไร

แน่นอน เราไม่ได้กำลังจะชี้ว่า การข้องเกี่ยวกับยาเสพติดไม่ใช่เรื่องผิด แต่ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนคือการลงโทษหรือตั้งข้อหาโดยเหมารวมคนทุกกลุ่มเข้าด้วยกันและใช้มาตรการเดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ ในเมื่อปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำส่งผลกระทบกับหลายคนและเป็นวงกว้างมากกว่าที่เราคิด

เทรนด์ที่ 2: ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ยังคงเป็น ‘ผู้ชาย’

คงไม่ผิดไปจากที่หลายคนคาดการณ์ เมื่อรายงานฯ ชี้ว่า ประชากรส่วนใหญ่ในเรือนจำเป็นเพศชาย (ประมาณ 10,500,000 คน) อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ต้องขังเพศหญิงกลับเป็นฝ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปี 2000-2022 จำนวนผู้ต้องขังเพศหญิงเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 60 ขณะที่เพศชายเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 โดยมีสาเหตุหลักมาจากทั้งนโยบายการลงโทษที่เกี่ยวกับยาเสพติด การก่ออาชญากรรมเพราะความยากจนและสถานะทางสังคม หรือแม้กระทั่งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

นอกจากเพศหญิงแล้ว อีกหนึ่งกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในเรือนจำคือผู้สูงอายุ โดยประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นมีอัตราผู้ต้องขังที่เป็นผู้สูงอายุอยู่ที่ราวร้อยละ 35 ขณะที่ในภาพรวม แนวโน้มผู้ต้องขังที่เป็นผู้สูงอายุดูจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเราต่างรู้กันดีว่า ผู้สูงอายุมีความเปราะบางและความอ่อนไหวด้านสุขภาพเป็นพิเศษ สวนทางกับระบบดูแลสุขภาพของเรือนจำที่อาจไม่มีศักยภาพในการรองรับความต้องการเฉพาะตรงนี้

เด็กและเยาวชนคืออีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วง โดยในปี 2024 มีเด็กและเยาวชนที่ถูกคุมขังทั้งสิ้น 261,200 คน ในจำนวนนี้มีเกือบสองหมื่นคนที่ต้องอยู่ในเรือนจำกับผู้ดูแล ซึ่งส่วนมากคือแม่ของเด็ก และแม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่รายงานฯ ชี้ว่า อายุเฉลี่ยของเด็กที่ต้องรับผิดชอบในอาชญากรรมที่ก่อคือ 11.3 ปี

อีกกลุ่มที่น่าสนใจแต่กลับไม่ค่อยได้รับการพูดถึงคือกลุ่มคนข้ามเพศ (transgender) ในเรือนจำ ซึ่งมาจากทั้งแนวปฏิบัติในการเก็บข้อมูล และ ‘อคติ’ ที่เจ้าหน้าที่เรือนจำมีต่อกลุ่มคนข้ามเพศ ที่ผลีผลามตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา อย่างไรก็ดีมีบางประเทศที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคนข้ามเพศในเรือนจำเปิดเผยออกมา เช่น สหราชอาณาจักร ที่ระบุว่า จำนวนคนข้ามเพศในเรือนจำเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 17 ในปี 2023 และมีกลุ่มคนข้ามเพศที่ถูกบันทึกไว้จำนวน 268 คน ซึ่งส่วนมากเป็นเพศชายในทางกฎหมาย และถูกคุมขังในเรือนจำสำหรับผู้ชาย

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ จากหลักฐานที่บันทึกไว้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ต้องขังข้ามเพศมักก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพศเดียวกัน การขายบริการทางเพศ การครอบครองและใช้ยาเสพติด นอกจากนี้งานวิจัยจากอาร์เจนตินาในปี 2022 ยังทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นจากข้อค้นพบว่า กลุ่มคนข้ามเพศในเรือนจำมักจะมาจากกลุ่มที่มีเศรษฐสถานะทางสังคมไม่ค่อยดี และต้องเจอกับการว่างงานและการเลือกปฏิบัติ เช่นเดียวกับในเปรูที่พบว่า คนข้ามเพศส่วนใหญ่ในเรือนจำเรียนไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ทำให้เริ่มมีความพยายามในระดับนานาชาติเพื่อบังคับใช้แนวนำทาง/แนวปฏิบัติเพื่อปกป้องคนข้ามเพศในเรือนจำ เช่น ในสกอตแลนด์ ที่มีการทบทวนนโยบายในปี 2023 และนำมาสู่การใช้นโยบายใหม่ในปีถัดมาที่ระบุคนข้ามเพศผู้หญิงว่าเป็นเพศหญิง หรือในประเทศไทย ที่อนุญาตให้คนข้ามเพศนอนในห้องพยาบาลหรือนอนในห้องขังแยกตอนกลางคืน

เทรนด์ที่ 3: ระบบสุขภาพในเรือนจำ ความท้าทายที่ระบบยุติธรรมไม่อาจข้ามผ่าน

แต่ไหนแต่ไรมา เราคงรู้กันดีว่า เรือนจำไม่ใช่ที่ที่สามารถให้บริการด้านสุขภาพดีอยู่แต่เดิมแล้ว ยิ่งเมื่อในระยะหลัง เรือนจำต้องเจอกับภาวะแออัดยัดเยียดขนาดหนักจากการที่ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ซึ่งนำไปสู่สภาพแวดล้อมและสุขอนามัยที่ไม่ดี ยิ่งผนวกกับเรื่องการขาดแคลนเจ้าหน้าที่และเงินทุน ทำให้การจัดการด้านสุขภาพในเรือนจำกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ระบบยุติธรรมยังไม่อาจข้ามผ่าน 

ทั้งนี้ แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มทำให้ประชาคมโลกสนใจการปรับปรุงระบบสุขภาพในเรือนจำให้มีความพร้อมรับปรับตัวมากขึ้น แต่ความพยายามและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นก็เหมือนไม่ได้ช่วยทำให้การให้บริการสุขภาพในเรือนจำดีขึ้น ในทางกลับกันงานวิจัยต่างชี้ว่า เรือนจำหันกลับไปดำเนินการตามปกติเหมือนที่เคยทำมา ซ้ำร้าย บางที่เหมือนจะทำงานแย่ลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถให้บริการด้านสุขภาพที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ต้องขัง สะท้อนผ่านอัตราการติดเชื้อ HIV ที่สูง รวมถึงการเป็นตับอักเสบ วัณโรค และโรคติดต่ออื่นๆ

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่ปัจจัยภายในเรือนจำที่มีผลต่อระบบสุขภาพ แต่ปัจจัยภายนอกก็ส่งผลต่อความเปราะบางหลังม่านลูกกรงเช่นกัน เช่น ในเลบานอน ที่ตัวเลขการเสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นของผู้ต้องขังถูกเชื่อมโยงกับวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือระบบสุขภาพในเรือนจำของปากีสถานที่ย่ำแย่อยู่แต่เดิมแล้วยิ่งถูกทำให้ทรุดหนักลงจากวิกฤตการเงินในประเทศและน้ำท่วมในปี 2022 

ไม่ใช่แค่เพียงโรคทางกาย แต่สุขภาพจิตเป็นอีกหนึ่งความน่ากังวลที่ซุกซ่อนอยู่หลังกำแพงหนาสูงของเรือนจำ แม้จะไม่มีข้อมูลยืนยันแน่นอนว่า มีผู้ต้องขังเท่าไรกันแน่ที่กำลังประสบกับปัญหาสุขภาพจิต แต่มีการคาดการณ์ว่า จำนวนอาจสูงถึงร้อยละ 91 และมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ ใช่ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบการดูแลสุขภาพจิตที่ครอบคลุมตามไปด้วย เพราะแม้กระทั่งประเทศอย่างไอร์แลนด์ยังถูกรายงานว่า จำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในเรือนจำ ‘ต่ำมากในบางครั้ง’ อีกทั้งประเทศในทวีปยุโรปยังประสบปัญหาการคัดกรองด้านสุขภาพจิตไม่เพียงพอ และไม่ได้ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกซ้ำเติมด้วยการขาดความตระหนักรู้และความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตของสาธารณชน อย่างในปากีสถานมีรายงานว่า ผู้ต้องขังที่ร้องขอบริการด้านสุขภาพจิตจะถูกล้อเลียน ถูกสงสัย หรือแม้กระทั่งถูกปฏิเสธคำขอ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือกลุ่มผู้หญิงที่เป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้วในเรือนจำ ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้หนักหนาพอสมควร ดังเช่นการศึกษาในประเทศไทยที่เปิดเผยว่า ผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำที่ถูกจับในข้อหาที่เกี่ยวกับยาเสพติดมีภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าสูง ขณะที่ในอังกฤษและเวลส์ อัตราผู้ต้องขังหญิงที่ทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 38 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

เพราะปัญหาด้านสุขภาพทั้งทางกายและทางใจเป็นเรื่องที่น่ากังวล จึงมีหลายประเทศพยายามจะริเริ่มหรือหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ในรัฐแอริโซนาของสหรัฐฯ ระบบสุขภาพในเรือนจำถูกโอนมาให้เป็นของเอกชน (privatised) นอกจากนี้ หลายประเทศยังเริ่มมองหาวิธีที่ครอบคลุมและเป็นเชิงป้องกันมากขึ้น เช่น เยอรมนีที่ศึกษาและพบว่ากีฬาสามารถช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพในกลุ่มผู้ต้องขังได้ รวมไปถึงการศึกษาที่ค้นพบว่าการรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจะช่วยลดความรุนแรง ช่วยในเรื่องทางกายและทางสุขภาพจิต และเป็นการสนับสนุนการกลับสู่สังคมต่อไป 

เทรนด์ที่ 4: เมื่อเรือนจำเริ่มหันเข้าหา ‘ความยั่งยืน’

แม้ภาพกำแพงสูงเทียมฟ้าและระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอาจทำให้หลายคนคิดว่า เรือนจำเป็นหนึ่งในที่ที่ปลอดภัย แต่ภาพมายาคตินั้นอาจไม่จริงเสมอไป เพราะหลายครั้งที่เรือนจำตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มอาชญากรต่างๆ หรือโดนเพ่งเล็งเวลาเกิดความวุ่นวายทางการเมือง

ตัวอย่างเช่นในประเทศเฮติ ที่มีการบุกเข้าเรือนจำที่ใหญ่ที่สุดในเดือนมีนาคม 2024 จนทำให้ผู้ต้องขังกว่า 4,000 คนหลบหนีออกมาได้ หรือในฮอนดูรัสที่มีผู้ต้องขังหญิงอย่างน้อย 48 คน เสียชีวิตระหว่างความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างสองแก๊งในเรือนจำ

ถ้าพูดให้ถึงที่สุด ภาพความรุนแรงเป็นเพียงฉากหน้าที่ฉายให้เห็นสถานการณ์ในเรือนจำเท่านั้น เพราะเรือนจำหลายที่ตั้งกลุ่มแก๊งของตัวเองขึ้นมาจนนำไปสู่ความรุนแรงหรือการที่แก๊งใดแก๊งหนึ่งกลายเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ในเรือนจำ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาความรุนแรงในเรือนจำที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว

ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาหรือมีรายได้ต่ำ แต่ในทวีปรายได้สูงและพัฒนาแล้วอย่างยุโรปก็เจอปัญหาหนักเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่ององค์กรอาชญากรรม โดยสำนักงานตำรวจยุโรป (Europol) รายงานว่า ผู้นำเครือข่ายอาชญากรรมมักจะชักใยหรือบงการปฏิบัติการต่างๆ จากเรือนจำ เช่น การลักลอบขนยาเสพติดและอาวุธไปยังบอลข่านตะวันตกเกิดจากการชักใยจากเรือนจำในอิตาลีและอีกหลายประเทศในยุโรป

สถานการณ์ที่เรากล่าวไปเบื้องต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดจากปัจจัยภายในเรือนจำเท่านั้น เพราะอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กันคือปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความรุนแรงหรือความขัดแย้ง รวมไปถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมือง เพราะเรือนจำแต่เดิมประสบปัญหาทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมที่แออัด ทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ และสาธารณูปโภคที่ถดถอย จนทำให้คุณภาพชีวิตตกต่ำและเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัจจัยภายนอกทั้งหลายที่ว่ามาจึงจะยิ่งทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยอ่อนแอลงสวนทางกับความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น

สภาวะโลกรวนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบกับทุกคน ทุกสังคม และยิ่งสร้างความเปราะบางให้เรือนจำหนักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อผู้ต้องขังไม่สามารถย้ายตนเองหนีจากสภาวะอากาศที่รุนแรงหรือภัยธรรมชาติ ณ ขณะนั้นได้ 

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เรือนจำหลายแห่งเริ่มมองไปถึงเรื่องของความยั่งยืนมากขึ้น เช่น เรือนจำในไอร์แลนด์มีแผนที่นำทาง (roadmap) รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวมถึงการลดการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงฟอสซิล เรือนจำในอินเดียที่มีการวางแผนสร้าง ‘เรือนจำสีเขียว’ ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ในรัฐโอดิชา (Odisha) หรือการมองไปถึงการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อสร้างความยั่งยืนในด้านต่างๆ เช่น การผลิตอาหาร หรือการทำเกษตรยั่งยืนในเรือนจำ ที่จะเป็นทั้งการสนับสนุนความยั่งยืน สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสในการจ้างงานให้กับผู้ต้องขังในเวลาเดียวกัน

เทรนด์ทื่ 5: ‘เทคโนโลยี’ ความเป็นไปได้ใหม่ในการพัฒนาระบบยุติธรรม

ดังที่หลายคนรู้กันดี เทคโนโลยีนั้นไร้พรมแดน แม้กระทั่งในเรือนจำเองก็ตาม และนี่อาจเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการแผ่ขยายพรมแดนความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา จัดการความท้าทาย และทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนในเรือนจำดีขึ้น

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม อาทิ การใช้วิดีโอในการตรวจตราและป้องกันการทรมานหรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องขังในประเทศเติร์กเมนิสถาน นอกจากนี้ ระบบยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ (biometric) อย่างการใช้ลายนิ้วมือ การสแกนม่านตาและใบหน้า รวมถึงระบบจดจำเสียง ยังถูกมองว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการรักษาความปลอดภัยในเรือนจำ ที่จะช่วยควบคุมการเข้า-ออก ป้องกันและตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัย ไปจนถึงการเชื่อมระบบเหล่านี้กับปฏิทินของเรือนจำเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายผู้ต้องขังโดยไม่ต้องใช้ผู้คุมหรือเจ้าหน้าที่ ขณะที่ในบางประเทศยังได้นำเทคโนโลยีจำลองสภาพเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) มาทดแทนการเยี่ยมผู้ต้องขังทางกายภาพแทน

เมื่อมองให้ไกลจนถึงเกือบถึงปลายทาง เทคโนโลยียังถูกนำมาใช้เพื่อการบำบัดฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคมอีกด้วย อาทิ ในประเทศไทย ที่มีคอร์สเรียนออนไลน์ที่ปลูกฝังความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล หรือในฝรั่งเศสและสเปนที่มีการใช้ VR เพื่อฝึกฝนผู้ต้องขัง 

นอกจากนี้ ระบบสุขภาพเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบแพทย์ทางไกลหรือการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตทางไกล รวมไปถึงการจัดการด้านการแพทย์ด้วยระบบไบโอเมตริกซ์ที่กำลังถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในฮ่องกง ที่มีการพัฒนาเรือนจำอัจฉริยะ (smart prison) ที่มีระบบเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับสภาวะทางร่างกายต่างๆ อาทิ อัตราการเต้นของหัวใจหรืออัตราการหายใจของผู้ต้องขัง

ใช่ว่าเทคโนโลยีในเรือนจำจะเกี่ยวพันกับเฉพาะคนในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น เพราะสิ่งนี้กลายเป็นขุมทรัพย์หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจจากภาคเอกชนได้ชะงัดนัก คาดการณ์ว่าลำพังแค่ในสหรัฐฯ การลงทุนด้านเทคโนโลยีการสื่อสารในเรือนจำสามารถสร้างมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านแค่ในส่วนของรายได้ที่เกิดจากการโทรศัพท์

อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในเรือนจำดีขึ้นตามลำดับ แต่เราไม่ควรลืมว่า นี่ไม่ใช่แค่การลงทุนหรือการทำกำไร แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของผู้คนอย่างหนาแน่นและแยกไม่ออก จึงยังจำเป็นต้องควบคุมการลงทุนด้านเทคโนโลยีในเรือนจำอย่างเข้มงวด เช่นที่สภายุโรป (Council of Europe) กำหนดให้ผู้มีอำนาจรัฐต้องรับผิดชอบตรวจตราการออกแบบและใช้เทคโนโลยีของบริษัท อีกทั้งยังต้องปรับใช้คำแนะนำด้านจริยธรรมและด้านองค์กรหากจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในเรือนจำหรือการทำทัณฑ์บนด้วย

และอย่างที่เราทราบกันดี เทคโนโลยีเป็นเสมือนดาบสองคม โดยเฉพาะในด้านสิทธิมนุษยชน ความเคารพในชีวิตส่วนตัว และการปกป้องข้อมูลของผู้ต้องขัง ขณะเดียวกัน ผู้ต้องขังเองก็รู้สึกว่า ตนเองรู้สึกถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ (dehumanised) และไม่ได้รับการเคารพจากการถูกตรวจตราและขาดความเป็นส่วนตัว

เช่นเดียวกับทุกเรื่องที่ผ่านมา เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนความเข้าใจในประเด็นที่อ่อนไหว การรับมือกับบาดแผลในอดีต ปัญหาสุขภาพจิต ความโดดเดี่ยวทางสังคม และที่แน่นอนคือไม่สามารถทดแทนการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันได้ 

เมื่อเป็นเช่นนี้ การใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องท้าทายและแหลมคม โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องระมัดระวังและเลือกใช้เทคโนโลยีในด้านที่ก่อประโยชน์ พร้อมๆ ไปกับการตรวจตราและป้องกันไม่ให้แง่แหลมคมของเทคโนโลยีทิ่มแทงผู้ใด

เพื่อที่เทคโนโลยีจะได้มีไว้เพื่อสร้างและหล่อเลี้ยงความยุติธรรม เป็นเทคโนโลยีที่ยุติธรรมในตัวเองและนำไปสู่ระบบยุติธรรมที่เที่ยงธรรมและเป็นของทุกคนอย่างแท้จริง


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save