การศึกษาต้องสร้างทั้ง ‘คนเก่ง’ และ ‘คนปรับตัวได้’ : เติมทักษะอย่างไรให้สังคมพร้อมตั้งรับกับทุกความท้าทาย

หุ่นยนต์ เอไอ ดิจิทัล วิกฤตโรคระบาด – ท่ามกลางยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาก้าวกระโดด ท่ามกลางความท้าทายของโลกที่ไม่อาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ โจทย์สำคัญคือ ‘ระบบการศึกษา’ จะสร้างสังคมที่ประชากรแข็งแรง ยืดหยุ่น และมีความสามารถในการตั้งรับปรับตัว (resilient) ได้อย่างไร

การศึกษาจึงไม่ใช่เพียงการเรียนการสอนให้นักเรียนมีความรู้ตามตำรา แต่จำเป็นต้องมอบโอกาสให้นักเรียน ‘ทุกคน’ ได้เพิ่มเติมทักษะใหม่ (reskill) และพัฒนาทักษะเดิม (upskill) ควบคู่กับการเรียนการสอนแบบพื้นฐาน เพื่อติดอาวุธให้นักเรียนเพียบพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง และสร้างสังคมที่ประชากรมีความสามารถในการปรับตัวตั้งรับกับทุกสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต (resilient societies)

อย่างไรก็ตาม สังคมที่ยืดหยุ่นพร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เพียงสังคมที่ผู้คนมีทักษะเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสังคมที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและมีโอกาสอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การพัฒนาการฝึกทักษะ reskill และ upskill จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางร่วมด้วย

เหล่านักนโยบายและนักการศึกษาออกแบบนวัตกรรมที่เหมาะสำหรับความต้องการของนักเรียน ภายใต้เป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสามารถในการปรับตัวตั้งรับโดยทุกคนมีส่วนร่วมได้อย่างไร 101 เก็บความบางส่วนจากงานเสวนาจินตภาพใหม่การศึกษา : ร่วมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน ภายใต้หัวข้อการเพิ่มและสร้างทักษะใหม่เพื่อยกระดับทักษะที่เหมาะสมกับสังคมที่มีความยืดหยุ่นสูง ร่วมแลกเปลี่ยนโดย แอร์เว มอแร็ง หัวหน้าโครงการ UPSHIFT องค์การยูนิเซฟภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ปฏิมา จงเจริญธนาวัฒน์ ผู้อำนวยการกองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคาเทีย มาลาเกียส ผู้ก่อตั้งร่วมกลุ่มพันธมิตร Australian Alliance for Inclusive Education

หมายเหตุ: เก็บความบางส่วนจากงานเสวนาจินตภาพใหม่การศึกษา : ร่วมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน ในหัวข้อการเพิ่มและสร้างทักษะใหม่เพื่อยกระดับทักษะที่เหมาะสมกับสังคมที่มีความยืดหยุ่นสูง จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567


พัฒนาทักษะด้วยโครงการ UPSHIFT – แอร์เว มอแร็ง


ท่ามกลางวิกฤตการเรียนรู้ทั่วโลก โครงการ UPSHIFT คือโครงการพัฒนาทักษะของคนหนุ่มสาวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยโครงการนี้มีเป้าหมายในการสร้างนักนวัตกรรมทางสังคมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงรูปธรรมทั้งในระดับปัจเจกและสังคม

ทักษะที่ว่าคือทักษะจำเป็นแห่งยุคสมัย กล่าวคือทักษะการแก้ปัญหา ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะความเป็นผู้นำ ทักษะการสื่อสาร เป็นต้น

แอร์เว มอแร็ง (Herve Morin) หัวหน้าโครงการ UPSHIFT องค์การยูนิเซฟภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเล่าว่าโครงการนี้พยายามสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ให้เยาวชนและระบบการศึกษาของหลายประเทศ โดยโครงการดำเนินมาแล้ว 10 ปี และทำงานร่วมกับ 51 ประเทศทั่วโลก ดังนั้น เขาจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างพัฒนาโครงการ โดยเล่าบทเรียนสำคัญจาก UPSHIFT ที่มีทั้งหมด 5 ประเด็น ดังนี้

หนึ่ง ความสามารถในการปรับตัว (adaptability and modularity facilitates adoption) : แอร์เวระบุว่าโมเดลพัฒนาการศึกษามีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่โมเดลเหล่านี้กลับยังไม่ถูกนำไปขยายผลในระดับชาติหรือระดับโลก ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรายังขาดการปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศ

แอร์เวหยิบงานวิจัยมาอธิบาย โดยงานวิจัยระบุว่าการปรับใช้นวัตกรรมในระบบการศึกษามักขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศนั้นๆ เพราะฉะนั้น นวัตกรรมการศึกษาที่ดีจึงไม่ใช่แค่ระบบแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามแต่ละบริบทของแต่ละประเทศ ตั้งแต่หลักสูตร วิธีการสอน ตลอดจนการออกแบบบทเรียน 

สอง การมีนโยบายที่เหมาะสม (the right policy environment) : แอร์เวชี้ว่าการผลักดันเชิงนโยบายก็เป็นเรื่องสำคัญ ผู้บริหารระดับสูงต้องสนับสนุนให้ระบบการศึกษาสามารถปรับได้และมีความยืดหยุ่น จึงจะสามารถพัฒนาทักษะของเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ 

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน แอร์เวยกตัวอย่างถึงประเทศอินเดียและภูฏานที่มีการดำเนินโครงการ UPSHIFT โดยใช้แพลตฟอร์มและเนื้อหาที่เหมือนกัน แต่กลับจุดประสงค์ทางนโยบายที่แตกต่างกัน

แอร์เวเล่าว่าประเทศอินเดียมีนโยบายมุ่งสร้างนักนวัตกรรมและต้องการเฟ้นหา ‘ช้างเผือก’ กล่าวคือนักเรียนที่โดดเด่นและมากความสามารถ เพื่อสนับสนุนศักยภาพของนักเรียนเหล่านั้นให้เติบโตและสามารถสร้างรายได้ต่อไป ขณะที่ประเทศภูฏานจะเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและต้องการให้เนื้อหาไม่เพียงเข้าถึงนักเรียน แต่เข้าถึงครอบครัวและชุมชนวงกว้างด้วย

จะเห็นได้ว่าแม้เนื้อหาการเรียนการสอนจะเหมือนกัน แต่เมื่อมีเป้าหมายเชิงนโยบายแตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ทั้งสองประเทศได้จากโครงการจึงแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้น การเตรียมสภาพแวดล้อมทางนโยบายที่เหมาะสมกับการพัฒนาทักษะจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

สาม ครูเป็นกุญแจสำคัญ (teachers and educators are key partners) : เมื่อปรับให้มีวิธีการเรียนที่หลากหลายแล้ว วิธีการสอนก็ต้องหลากหลายเช่นกัน แอร์เวชี้ว่าฝ่ายครูก็ต้องเรียนรู้วิธีการสอนที่หลากหลายเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ สำหรับนักเรียน

ในประเด็นนี้ แอร์เวระบุว่าต้องมีการพัฒนาและอบรมให้ครูสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี และควรฝึกอบรมเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ครูล้าสมัย นอกจากนี้ การฝึกอบรมด้านการสอนอาจต้องจัดให้มีสำหรับบุคลากรการศึกษาหลายระดับ ตั้งแต่ระดับครู นักการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ไปจนถึงกลุ่มคนระดับที่ฝึกสอนอาจารย์อีกที เช่น คณะครุศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น 

สี่ สร้างแรงจูงใจสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (align incentive for all stakeholders: the challenge oppotunity) : แอร์เวเล่าว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ สิ่งสำคัญคือการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนา

แอร์เวยกตัวอย่างว่าโครงการ UPSHIFT เปิดโอกาสให้นักเรียนเสนอไอเดียเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน ซึ่งหากไอเดียผ่านการพิจารณา ทางโครงการจะสนับสนุนนักเรียนด้วยการให้งบประมาณและคำปรึกษา ซึ่งนอกเหนือจากงบประมาณและทรัพยากร อีกแรงจูงใจสำคัญในมุมมองของเขาคือการสร้างประสบการณ์และความรู้สึก ‘มีคุณค่า’ ของนักเรียน กล่าวคือความรู้สึกมีคุณค่าเมื่อนักเรียนได้ทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองและร่วมแก้ไขปัญหาระดับชุมชนและระดับโลก 

ห้า ดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่อาจแทนที่การปฏิสัมพันธ์กันต่อหน้าได้ (digital can be a powerful enabler but does not replace face to face) : แอร์เวเล่าว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษา กล่าวคือสามารถสนับสนุนการเรียนการสอน รวมถึงลดภาระเวลาและค่าใช้จ่ายของครูได้ แต่เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่ทางรอดเดียวของมนุษย์ 

ท้ายที่สุด แอร์เวย้ำว่าประสบการณ์การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการพบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริง ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี

“การเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาต้องใช้เวลามหาศาล ซึ่งบางครั้งก็คุ้มค่าที่จะลงทุนในทางออกซึ่งมีอยู่แล้วและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง” แอร์เวกล่าว


ถอดบทเรียนโครงการคืนเยาวชน NEETs สู่การศึกษาและการจ้างงาน – ปฏิมา จงเจริญธนาวัฒน์


“เมื่อพูดถึงการสร้างสังคมที่มีความยืดหยุ่นอันส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลักการของมันคือการเปิดเส้นทางให้ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง” ปฏิมา จงเจริญธนาวัฒน์ ผู้อำนวยการกองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าว

ประเทศไทยเองก็มีโครงการพัฒนาทักษะสำหรับกลุ่มเปราะบาง หนึ่งในนั้นคือโครงการ ‘เสริมสร้างศักยภาพและสมรรถนะเด็กและเยาวชนกลุ่ม NEETs’ โครงการนำร่องช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้กลับคืนสู่ระบบการศึกษาและการจ้างงานผ่านการฝึกอบรมเสริมทักษะ ที่ตำบลนาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี – จังหวัดที่มีประชากร NEETs มากที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศไทย 

อธิบายก่อนว่า NEETs (Youth Not in Employment, Education, or Training) หมายถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้ทำงานและไม่ได้เรียน ความหมายครอบคลุมทั้งกลุ่มคนว่างงานและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยประเทศไทยมีเป้าหมายลดจำนวนเด็กและเยาวชน NEETs ให้เหลือน้อยกว่า 140,000 คนภายในปี 2027 

อย่างไรก็ตาม สถิติจำนวนเด็กและเยาวชน NEETs ปัจจุบันกลับสะท้อนให้ปฏิมาเห็นว่า “ประเทศไทยยังอยู่ห่างจากเป้าหมาย” และเมื่อแยกข้อมูลอัตราเด็กและเยาวชน NEETs ตามระดับการศึกษาจะพบว่าเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้มักได้รับการศึกษาสูงสุดเพียงระดับมัธยมต้น ซึ่งด้วยระดับทักษะนี้ หากพวกเขาตัดสินใจริเริ่มหางานทำ การหางานก็ยังถือเป็นเรื่องยาก

โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างสภาพัฒน์ฯ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) กระทรวงแรงงาน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ โดยปฏิมาเล่าว่าโครงการนี้เริ่มจากการกำหนดขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือในการช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายมาก กล่าวคือคณะทำงานในพื้นที่เป็นกำลังหลักในการระบุว่าใครในชุมชนเป็นเด็กและเยาวชน NEETs รวมถึงเด็กและเยาวชนที่เสี่ยงจะกลายเป็น NEETs 

จากนั้นคือกระบวนการติดต่อโน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ ซึ่งปฏิมาระบุว่าเป็นขั้นตอนการสร้างความเชื่อใจที่สำคัญมากและจำเป็นต้องทำงานร่วมกับผู้ปกครองด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กและเยาวชน NEETs ในไทยจำนวนมากอยู่ในสภาวะที่ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่ว่าจะฝึกวิชาชีพหรือเรียนหนังสือ ทั้งนี้ เธอเผยว่าจากจำนวนกลุ่มเป้าหมาย 120 คน มีเด็กและเยาวชน NEETs เพียง 38 คนที่เข้าร่วมโครงการ 

เมื่อโน้มน้าวสำเร็จ ปฏิมาเล่าว่าขั้นตอนถัดมาคือกระบวนการเตรียมความพร้อมโดยการฝึกอบรมวิชาชีพเพื่อให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ต่อไป ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากสถานประกอบการในพื้นที่เช่นกัน 

ขั้นตอนสุดท้ายคือขั้นตอนหลังการฝึกอบรม ปฏิมาชี้ว่าขั้นตอนนี้คือกระบวนการผลักดันเด็กและเยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือตลาดแรงงาน ซึ่งเธอระบุด้วยว่าโอกาสทางอาชีพของเยาวชนกลุ่ม NEETs มักจะเป็นงานวิชาชีพ เช่น ช่างไฟ ช่างซ่อม หรืองานอื่นๆ ที่สร้างรายได้อย่างมั่นคง

“เราแสดงให้เยาวชนกลุ่มนี้เห็นว่าคุณจะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าหากเริ่มทำอะไรสักอย่างในวันนี้” ปฏิมากล่าว อย่างไรก็ดี มีนักเรียนเพียง 28 คนเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ จากเดิมที่มีผู้เข้าร่วมโครงการแรกเริ่ม 38 คน

เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย กล่าวคือขั้นตอนของการปูทางให้เยาวชนกลับคืนสู่ระบบการศึกษาหรือตลอดแรงงาน ปฏิมาเล่าว่ามีเยาวชน 25 จาก 28 คนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือหางานตามทักษะที่ผ่านการฝึกอบรมได้ โดยชี้ว่ามีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยังทำไม่สำเร็จ โดยทางโครงการก็กำลังพยายามแก้ไข 

อีกบทเรียนสำคัญที่ปฏิมาได้จากโครงการ คือการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เธอเล่าว่าความร่วมมือของหลายภาคส่วนในพื้นที่ให้มีส่วนผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะองค์การบริหารส่วนตำบลนาพู่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี สถานศึกษา และสถานประกอบการในชุมชน

หากถามว่าอะไรคือความท้าทายของโครงการ ปฏิมาอธิบายว่าเมื่อระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดไม่มีคุณภาพ ก็ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายจำนวนมากเข้าไม่ถึงโครงการนี้ เนื่องจากตำบลนาพู่ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่กลุ่มเป้าหมายจำเป็นต้องเดินทางเข้าใจกลางเมืองเพื่อฝึกอบรมทักษะ

“สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจปัญหาในพื้นที่และต้องทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อมั่นในโครงการของเรา ส่วนการเตรียมความพร้อมก็ควรต้องเตรียมให้เหมาะสมกับความต้องการของบุคคล” 

“ประชากร NEETs มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย เป็นเหตุว่าทำไมเราถึงต้องออกแบบโครงการที่ตอบสนองต่อความต้องการอันหลากหลายของพวกเขาให้ได้” ปฏิมาทิ้งท้าย


ออกแบบการเติมทักษะที่เหมาะสำหรับ ‘ทุกคน’ – คาเทีย มาลาเกียส


“สิ่งสำคัญคือการศึกษาสำหรับทุกคน เราต้องไม่ลืมคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม ซึ่งกลุ่มที่มักเผชิญปัญหา ขาดโอกาสด้านการศึกษาและการทำงาน คือกลุ่มผู้พิการหรือผู้บกพร่องรูปแบบต่างๆ” คือข้อความจากคาเทีย มาลาเกียส (Catia Malaquias) ผู้ก่อตั้งร่วมกลุ่มพันธมิตร Australian Alliance for Inclusive Education

คาเทียยืนยันว่าสังคมต้องสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและที่เอื้อให้ทุกคนมีส่วนร่วม (inclusive) โดยเฉพาะการให้โอกาสผู้พิการให้เข้าถึงโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะโอกาสด้านการศึกษา การเรียนรู้ หรือการทำงาน เฉกเช่นเดียวกับบุคคลอื่น

การให้สิทธิผู้พิการเข้าถึงระบบการศึกษาถือเป็นสิทธิที่ถูกให้ความสำคัญในระดับโลก คาเทียอธิบายถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการข้อ 24 อันระบุว่าผู้พิการต้องมีสิทธิเข้าถึงระบบการศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติ ขณะเดียวกัน ต้องมีระบบการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อผู้พิการในทุกระดับการเรียนรู้ ไม่ว่าจะการศึกษาภาคบังคับ สายวิชาชีพ อุดมศึกษา ตลอดจนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาความสามารถของผู้พิการให้มีส่วนร่วมกับสังคมได้อย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ เธอยังอธิบายถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อ 4 อันระบุว่าการศึกษาควรต้องมีคุณภาพและเข้าถึงทุกคน

“วิธีการออกแบบโปรแกรมเพิ่มเติมทักษะใหม่ (reskill) และพัฒนาทักษะเดิม (upskill) จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเรากำลังจะสร้างสังคมที่เอื้อให้ทุกคนมีส่วนร่วม หรือจะยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ … ถ้าเราออกแบบโปรแกรมไม่ดี ผู้พิการก็จะถูกกัดกันและกลายเป็นชายขอบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” คาเทียกล่าว

วิกฤตโควิด-19 ทำให้โรงเรียนจำนวนมากต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอน ในแง่หนึ่งจึงสร้างผลกระทบต่อผู้พิการบางคนที่ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรการเรียนและสื่อการเรียน อย่างไรก็ตาม คาเทียชี้ว่าโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้สังคมได้ขบคิดถึงวิธีออกแบบการเรียนการสอนโดยคำนึงถึง universal design principle หรือการออกแบบที่คำถึงความเหมาะสมสำหรับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการออกแบบการเรียนการสอนออนไลน์ที่เหมาะสำหรับนักเรียนทุกประเภท

ทั้งนี้ สำหรับนักเรียนบางคนเพียงแค่ universal design ก็อาจยังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น การออกแบบการเรียนการสอนและการสนับสนุนที่เหมาะสำหรับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ (customised) ก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน 

คาเทียยกตัวอย่างกรณีศึกษาโรงเรียน Bob Hawke College ในประเทศออสเตรเลีย เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาด โรงเรียนแห่งนี้ใช้วิธี blended learning กล่าวคือการเรียนการสอนที่ผสมระหว่างการสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ต่อหน้า (face to face) และการเรียนออนไลน์ แน่นอนว่าเส้นทางช่วงแรกไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะนักเรียนพิการจำนวนมากเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีและตามบทเรียนไม่ทัน 

โรงเรียนจึงพัฒนาการเรียนการสอน blended learning โดยยึดหลัก universal design เพื่อให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้ และสร้างการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นและมีหลายแนวทางสำหรับนักเรียนแต่ละคน เช่น นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้จะเข้าถึงรูปแบบเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา เช่น สื่อการสอนวิดีโอ เทคโนโลยีอ่านให้ฟัง (text to speech) หรือสื่อการเรียนรู้อื่นๆ ที่ถูกออกแบบให้เข้ากับความต้องการที่หลากหลาย

“การ blended learning จะให้ความยืดหยุ่นแก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมกับเนื้อหาในย่างก้าวที่ตนเองถนัด” 

“ประโยชน์จาก blended learning มีมากกว่าภายในห้องเรียน สิ่งนี้มีบทบาทสำคัญในการเตรียมตัวนักเรียนพิการสำหรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ตลาดแรงงาน และด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการเรียนรู้เช่นนี้ นักเรียนพิการจะมีโอกาสในการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่มีประโยชน์ต่อการประสบความสำเร็จในตลาดแรงงานยุคปัจจุบัน” คาเทียระบุ

คาเทียกล่าวว่ารูปแบบการเรียนการสอน blended learning เช่นนี้ ยังสามารถเป็นรูปแบบการออกแบบโปรแกรม reskill และ upskill ได้ด้วย โจทย์คือทำอย่างไรให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและเข้าถึงได้ พร้อมกับออกแบบโปรแกรมให้เหมาะสมและรองรับความต้องการของแต่ละบุคคล เปิดโอกาสให้ปัจเจกสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้ในระดับที่ตนเองถนัด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์กับผู้พิการ แต่ต้องเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย เช่น แรงงานทักษะต่ำ แรงงานที่ใช้ภาษาที่สองในการทำงาน เป็นต้น

และหากอยากให้เกิดการจ้างงานอย่างยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะในหมู่ผู้บกพร่องทางการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนการสอนเพิ่มทักษะที่มีส่วนร่วมได้ทุกคนอาจยังไม่เพียงพอ คาเทียจึงเสนอแนวทาง customised employment ร่วมด้วย กล่าวคือแนวทางการปรับงานให้เหมาะสมกับทักษะและความสามารถของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างจากการจ้างงานทั่วไปที่มักหาคนที่ทักษะสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่มี

คาเทียอธิบายว่า customised employment จะสร้างความยืดหยุ่นในการออกแบบอาชีพ แรงงานจะสามารถทำงานสอดคล้องกับทักษะที่มี จนกระทั่งสร้างคุณค่าและความหมายกับงาน ขณะที่นายจ้างก็ได้ผลประโยชน์ตามความคาดหวัง

“ความร่วมมือระหว่างนักการศึกษา นายจ้าง และนักนโยบาย จะเป็นแกนสำคัญที่ทำให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริง นักนโยบายและรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม รวมถึงการพัฒนาตลาดแรงงานด้วยการสร้างนโยบาย และโครงสร้างการสนับสนุน” คาเทียระบุ 

ทั้งนี้ คาเทียเห็นว่าการ reskill และ upskill ไม่ใช่แค่ทางเลือกเพื่อยกระดับอาชีพ แต่เป็นทางรอดในการแข่งขันท่ามกลางเศรษฐกิจและสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอเน้นย้ำว่าผู้พิการจำเป็นต้องอยู่ในความเคลื่อนไหวนี้และเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม 

“นี่หมายถึงการขยับขยายให้กว้างกว่าวิธีการ one size fits all (วิธีการเดียวสำหรับทุกคน) การเรียนการสอนไม่ควรเป็นรูปแบบเดียว และเราควรสนับสนุนความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ การปรับการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับปัจเจก โดยเอาความหลากหลายของมนุษย์เป็นใจกลางของการเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษา”

“เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและมีส่วนร่วมสำหรับ ‘ทุกคน’ อย่างแท้จริง” คาเทียระบุ


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save