จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้พัดพากระแสน้ำและดินโคลนถล่มพื้นที่จังหวัดเชียงรายภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากไร้หนทางสำหรับการรับมือวิกฤต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเทศไทยยังไม่มีระบบซการแจ้งเตือนอย่างเป็นระบบ จนกล่าวได้ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้กำลังส่งสัญญาณถึงความผิดปกติของธรรมชาติและระบบการทำงานของภาครัฐ
แม้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การถอดบทเรียนของภาครัฐก็เป็นเรื่องจำเป็น 101 สนทนากับ เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) เพื่อวิเคราะห์และสะท้อนปัญหาการจัดการภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติของรัฐบาลไทย และแนวทางการบริหารจัดการน้ำภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศควรเป็นเช่นไร
หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจากรายการ 101 One-on-One Ep.344: ฟังเสียงเตือนจากแม่น้ำ-อ่านวิกฤตสิ่งแวดล้อม กับ เพียรพร ดีเทศน์ ออกอากาศวันที่ 14 ตุลาคม 2567
นอกจากที่คุณมีบทบาทเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับแม่น้ำและสิ่งแวดล้อม คุณยังเป็นผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมเชียงรายครั้งนี้ด้วย สถานการณ์เป็นอย่างไร
ช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนสิงหาคม ทุกคนได้ยินข่าวว่ามีฝนตกหนักทางภาคเหนือ จนกระทั่งช่วงปลายเดือนสิงหาคมก็เกิดน้ำท่วมหลากและดินถล่มลงมาที่อำเภอเทิง ช่วงเวลานั้นเราเห็นถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติแล้วจากการประมวลผลข้อมูลที่ได้รับในกลุ่มสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ จึงตัดสินใจนำรถตู้และเอกสารของมูลนิธิในปีปัจจุบันขึ้นไปเก็บที่ดอย จากนั้นไม่นานน้ำก็ไหลเข้ามาจริงๆ
หลังจากนั้นไม่นานนัก โรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ก็เริ่มทยอยประกาศปิดโรงเรียน อีกทั้งสะพานทั้งสี่แห่งที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ก็น้ำท่วมหมด ส่งผลให้สถานการณ์ในพื้นที่เริ่มโกลาหล เราเห็นภาพที่รถยนต์ รถเมล์ และรถทัวร์ติดอยู่กลางน้ำ และน้ำก็ไหลท่วมมาเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้เมื่อผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมงน้ำจึงค่อยลดระดับลง สิ่งเดียวที่เหลือทิ้งไว้คือโคลนปริมาณมหาศาล
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ภาครัฐควรมีมาตรการในการจัดการสองขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นแรกคือ การเตรียมพร้อมภัยพิบัติและการแจ้งเตือนประชาชน หากทางจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าสถานการณ์น้ำจะรุนแรงมากขึ้น ก็ควรส่งข้อความเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทราบ อีกทั้งหน่วยงานต่างๆ ก็จะได้ตอบรับและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อย่างที่ควรจะเป็น เช่น สถานที่ราชการปิดทำการ โรงเรียนปิดทำการ เป็นต้น
ขั้นที่สองคือ การจัดการสถานการณ์หลังภัยพิบัติ เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ทำให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐยังไม่มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอย่างชัดเจน เพราะเมื่อน้ำลดระดับลงแล้วจะพบโคลนเกาะตามตรอกซอกซอยต่างๆ ประชาชนยังไม่ทราบถึงวิธีการจัดการที่ถูกต้อง
แม้ว่าที่ผ่านมาประชาชนจะเข้าใจเรื่องภาวะโลกรวนที่ทำให้เกิดสภาพภูมิอาศสุดขั้วได้ แต่รัฐบาลต้องมีมาตรการสำหรับการเผชิญเหตุภัยพิบัติ และคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ปัญหาที่ผ่านมาคือการแจ้งเตือนและการช่วยเหลือเกิดขึ้นจากมูลนิธิกับหน่วยกู้ภัยต่างๆ กล่าวคือประชาชนต้องช่วยเหลือกันเอง
การแจ้งเตือนภัยพิบัติอาจเกิดขึ้นจากราชการส่วนกลาง แล้วการใช้กลไกของระบบราชการท้องถิ่นที่สื่อสารโดยตรงกับประชาชนในพื้นที่โดยตรง เช่น การประกาศออกลำโพง หรือ การตัดสินใจหยุดเรียน กลไกเหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพหรือไม่
แล้วแต่บางพื้นที่ หากยกกรณีของเราที่มีลูกสองคน โรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่งที่ลูกคนแรกเรียนส่งข้อความแจ้งเตือนมาตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้าว่างดการเรียนการสอน แต่โรงเรียนของลูกคนที่สองไม่ได้ประกาศงดการเรียนการสอน ผู้ปกครองต้องตัดสินใจเอง จนสุดท้ายโรงเรียนก็ต้องประกาศให้หยุดเรียน
เราไม่ได้บอกว่าหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลไม่ทำงาน แต่ความกระตือรือร้นในการปกป้องประชาชนและป้องกันการสูญเสียยังน้อยเกินไป เนื่องจากหลายหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐพยายามทำตัวให้อยู่ในกรอบของระเบียบ ทั้งที่หลายอย่างสามารถทำได้ คิดนอกกรอบได้ หากเป็นการทำตามหน้าของรัฐที่ปกป้องประชาชนของตนเอง
แนวทางในการป้องกันและดูแลสถานการณ์ ‘อุทกภัย’ ของหน่วยงานรัฐที่ควรเป็น คืออะไร
ในประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนสูง ระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบการแจ้งเตือนที่ส่งตรงมาที่หน้าจอโทรศัพท์โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถกดไปหน้าอื่นได้ กล่าวคือระบบการแจ้งเตือนอาจไม่ต้องเป็น SMS เสียด้วยซ้ำ เราเชื่อว่าประเทศไทยมีนักวิชาการ นักไอที และคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากมาย สามารถทำระบบการแจ้งเตือนที่มีมาตรฐานได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ การเตรียมตัวรับมือก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากภัยพิบัติสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นภาครัฐควรมีแผนการรับมือหลายแผน บางทีเราอาจกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติซ้ำซ้อน หากภาครัฐมีงบประมาณมากเพียงพอที่เตรียมการรับมือ อีกทั้งเมื่อภัยพิบัติสิ้นสุดลงก็ต้องมีแผนการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัย เพราะผลจากความเสียหายจากภัยพิบัติอาจนำไปสู่ปัญหารูปแบบอื่นๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นต้น รัฐบาลต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะสุดท้ายเราทุกคนต้องการสังคมที่สงบสุขและได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่

ทุกครั้งที่ประเทศไทยเกิดภัยพิบัติ มักมีคำอธิบายว่า “เพราะประเทศไทยไม่ค่อยได้เจอเรื่องพวกนี้บ่อย ๆ” คุณมองว่าต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติก่อนเป็นอย่างแรกหรือไม่
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากภัยพิบัติครั้งนี้คือ ประเทศไทยไม่มีระบบการรับมือและระบบการเผชิญเหตุ กล่าวคือแม้ว่าเรามีแผนเผชิญเหตุเป็นรูปเล่ม แต่เราไม่เคยเห็นว่ากระบวนการจะเป็นเช่นไรอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้เมื่อเกิดเหตุที่รุนแรง ทุกอย่างจึงพังไปหมด หากในวันนี้ผู้นำหรือผู้บริหาร ถ้าไม่ลงมาเดินอยู่ข้างถนน พวกเขาจะไม่มีทางเห็นว่าสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาคืออะไร ปัญหามันอาจจะลึกซึ้งกว่าที่เกิดขึ้นกับคนที่มีฐานะก็ได้
ภัยพิบัติบ่อยครั้งมากขึ้น สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมหรือไม่
ใช่ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นผู้ประสบภัย เราไม่ได้กำลังพูดถึงน้ำแข็งขั้วโลกละลาย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาและกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สักพักน้ำจากเชียงใหม่ ลำพูนก็จะไหลลงเขื่อนภูมิพล แล้วอาจมาถึงกรุงเทพหรือภาคกลางเช่นเดียวกัน สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องของทุกคน แต่อาจไม่ใช่เรื่องของคนมีเงินหรือมีอำนาจที่สามารถย้ายไปนอนโรงแรมอื่นได้ คำถามสำคัญคือ ภาครัฐจะดูแลและปกป้องเขาอย่างไร เพราะประชาชนทุกคนกำลังเผชิญกับ climate change แต่คนที่ลำบากที่สุดคือคนที่จนที่สุด หรือคนที่มีอำนาจน้อยที่สุด
หากประเทศไทยมีระบบการจัดการน้ำที่ดีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่
งบประมาณจำนวนมากลงไปที่การก่อสร้างพนังกั้นน้ำ พนังกั้นตลิ่งพัง หรือกำแพงกั้นน้ำเพื่อล้อมน้ำเอาไว้ในคอก โดยเชื่อว่าน้ำจะอยู่ในนั้นและไม่ทะลักออกมา ข้อสังเกตที่เห็นจากสถานการณ์ที่เชียงรายกับแม่สาย คือ ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายเก่าย้อนไปประมาณ 70-80 ปี พบว่า เมื่อก่อนแม่น้ำนั้นกว้างใหญ่มาก แต่มนุษย์เข้าไปตั้งถิ่นฐานและสร้างสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ของลำน้ำ หากกล่าวจากมุมของนักสิ่งแวดล้อมและนักสิทธิของแม่น้ำอาจกล่าวได้ว่า ‘น้ำมาทวงคืน’ โดยเฉพาะอำเภอแม่สายนั้นชัดเจนมาก เพราะจากภาพถ่ายในอดีตพบว่าสะพานมิตรภาพอยู่ห่างและไกลกันและมีลำน้ำที่กว้างมาก แต่ว่าในปัจจุบัน ตึกของทั้งสองประเทศแทบจะมาชนกันอยู่แล้ว เพราะไม่มีการควบคุมและตกลงร่วมกันว่าเราจะใช้แม่น้ำสายนี้อย่างไร
อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองรายเล็ก หรือการเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรให้เป็นเกษตรขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดการชะล้างหน้าดินอย่างมหาศาล ทั้งนี้ภาครัฐต้องออกกำหนดว่าบริเวณใดสามารถอาศัยได้ อาศัยไม่ได้ โดยพื้นที่ที่อาศัยได้ควรจะออกแบบอาคารหรือรูปแบบการก่อสร้างอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับนิเวศนั้น และภาครัฐต้องมองว่าการจัดการควบคุมน้ำไม่ใช่การควบคุมแบบขังเขาไว้อยู่ในท่อน้ำ แต่เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างปกติ
ประเทศไทย แม่น้ำก็เสมือนเส้นเลือดที่แตกแขนงไปในทุกๆ ที่ และหนีกันไม่พ้น?
ใช่ เราต้องคิดว่าทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ กล่าวคือเราต้องเข้าใจนิเวศและสิทธิของแม่น้ำโดยไม่ควบคุมเขา หรือที่เรียกว่า Nature-based Solution คือ การนำธรรมชาติมารับมือกับภัยพิบัติจากธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะคุมเขาไว้ แล้วสุดท้ายพอสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นพังลงมาก็สร้างเสียหายที่รุนแรง
‘สิทธิของแม่น้ำ’ (Rights of Rivers) คืออะไร
ที่ผ่านมาเราอาจได้ยินเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือสิทธิของประชาชนมาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงในวงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระดับสากล คือ ‘สิทธิของแม่น้ำ’ (Rights of Rivers) โดยอธิบายว่าแม่น้ำมีสิทธิของตัวเอง เพราะว่าแม่น้ำเป็นสิ่งที่พัดพาความอุดมสมบูรณ์มาหล่อเลี้ยงพื้นดินแล้วไหลลงสู่ทะเล พัดพาตะกอนเข้าสู่มหาสมุทร และทำให้สรรพชีวิตได้มีคุณค่าของตนเอง
ข้อเสนอคือ เราจะทำทำอย่างไรให้แม่น้ำได้รับการปกป้องเช่นเดียวกับมนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถตัดสินสิ่งมีชีวิตที่เหลือในโลกได้ โดยมีหลายประเทศที่ออกกฎหมายดูแลสิทธิของแม่น้ำแล้ว เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ หรือประเทศในแถบอเมริกาใต้ เป็นต้น

ถ้าเป็นเรื่องของ ‘ลุ่มแม่น้ำโขง’ ที่มีหลายประเทศเกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายนี้ สำหรับคุณมองวิกฤตลุ่มแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้น มีประเด็นอะไรที่สังคมควรจับตาบ้าง?
แม่น้ำโขงมีที่มาที่บริสุทธิ์มาก โดยมาจากหิมะละลายที่เชิงเขาหิมาลัย แล้วจึงค่อยไหลลงมารวมกับลำธารสาขาอื่น ไหลผ่านมณฑลยูนนานของประเทศจีน แล้วผ่านพรมแดนไทย-ลาว-พม่าที่สามเหลี่ยมทองคำ จากนั้นไหลเข้าสู่ลาว ผ่าน 7 จังหวัดของภาคอีสาน ผ่านกัมพูชาและออกสู่ทะเลจีนใต้ที่เวียดนาม ตลอดสายของแม่น้ำโขงได้ดูแลหล่อเลี้ยงอารยธรรมมนุษย์และดูแลสรรพชีวิตในภูมิภาคต่างๆ มาอย่างยาวนานนับหลายล้านปี
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อประมาณสักสามสิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสร้างเขื่อนในมณฑลยูนนานของประเทศจีน โดยปัจจุบันมีเขื่อนเหล่านี้ก่อสร้างแล้วถึง 12 เขื่อน ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่และควบคุมลำน้ำได้ ทำให้ชุมชนที่อยู่ทางภาคเหนือของไทยต้องเผชิญปัญหาและได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากแม่น้ำโขงจะมีวงจรที่ไม่เหมือนที่อื่น ในหน้าฝนปลาทางตอนล่างจะว่ายขึ้นมาสู่ตอนบน เข้าสู่ป่าชุ่มน้ำต่างๆ เพื่อออกลูกออกหลานและพากันว่ายกลับไปข้างล่าง แต่เมื่อมีเขื่อนจีนมาควบคุมลำน้ำ น้ำจึงขึ้นลงผิดธรรมชาติ จนทำให้นิเวศบริเวณแม่น้ำโขงจึงพังทลาย
อีกทั้งในช่วงเวลาต่อมา ทางตอนล่างก็ได้มีการสร้างเขื่อนขึ้นอีกสองแห่งคือ ‘เขื่อนไซยะบุรี’ กับ ‘เขื่องดอนสะโฮง’ อีกทั้งปัจจุบันกำลังก่อสร้างเขื่อนปากแบง ปากลาย และสะนะคาม ซึ่งเป็นเขื่อนที่สร้างเพื่อการผลิตไฟฟ้าที่ทำให้ระบบแม่น้ำเสียหาย กลายเป็นการควบคุมแม่น้ำเพื่อจะใช้ประโยชน์ของมนุษย์บางคนที่มีอำนาจและมีเงิน โดยที่ผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลแม่น้ำอย่างรัฐบาลของหกประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลสี่ประเทศตอนล่างคือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่มีข้อตกลงแม่น้ำโขงร่วมกัน กลับไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องแม่น้ำให้ถูกใช้อย่างยั่งยืนตามข้อตกลงแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง เราจึงเห็นภาพในวันที่น้ำท่วมที่เชียงราย แม่น้ำสาขาระบายลงช้ามาก เนื่องจากแม่น้ำโขงสูงเป็นประวัติการณ์เพราะทางตอนบนก็ระบายน้ำลงมาเช่นกัน ซึ่งไม่ได้มีการพูดคุยและมองแม่น้ำโขงในฐานะที่เป็นแม่น้ำนานาชาติที่ใช้ร่วมกัน
สิ่งที่เราต้องการคือ การจัดการหรือการบริหารร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ หากรัฐบาลมองเห็นว่าคือนี่ปัญหาของภูมิภาค ปัญหาของประชาชนของเรา รัฐบาลต้องใช้ทรัพยากรแม่น้ำโขงโดยคำนึงถึงประชาชนที่พึ่งพาทรัพยากรเหล่านี้ร่วมกัน
เวลาที่เราบอกว่ามีข้อตกลงแม่น้ำโขง หลายคนมองว่าเป็นแค่เสือกระดาษ เพราะสุดท้ายไม่เคยป้องกันหรือแก้ไขอะไรได้ อยากทราบว่าแก่นแกนของปัญหาคืออะไรกันแน่
เรามีข้อตกลงแม่น้ำโขง (PNPCA) ที่ว่าหากมีการจะก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง จะต้องมีกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (Procedures for Notification, Prior Consultation and Agreement: PNPCA) ทั้งมีการจัดเวทีรับฟังชาวบ้าน ให้ชาวบ้านถามคำถามและตั้งข้อสงสัย และมีการทำรายงานบันทึกไว้ที่กองเลขากรมทรัพยากรน้ำ สำนักงานเลขาธิการแม่น้ำโขงแห่งประเทศไทย
ทุกอย่างได้รับการบันทึกหมดแต่ไม่มีผลในทางบังคับใช้ ไม่มีอำนาจในการตอบโต้หรือคัดค้านได้ แต่เราเชื่อว่าถ้ารัฐบาลมองเห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่างไรแล้วต้องสามารถถามและคัดค้านได้ เขื่อนที่อยู่ในลาวผู้ลงทุนมาจากประเทศไทยทั้งนั้น เงินลงทุนก็มาจากธนาคารพาณิชย์ของไทย เราพยายามพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งมีการทำจดหมายถึงธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ขอให้พิจารณาทบทวนให้รอบด้านว่า หากมีการลงทุนในโครงการเหล่านี้ จะเป็นการซ้ำเติมปัญหาแม่น้ำโขงที่มีอยู่และอาจจะผิดกฎสัญญาที่ไปลงไว้ อย่าง Equator Principles (EP) หรือไม่ ประเทศไทยเรามีกฎหมายที่ดีพอในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าขาดความจริงจังและจริงใจในการบังคับใช้
คุณจะสื่อสารให้คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำ รู้สึกว่าเรื่องวิกฤตแม่น้ำโขงเป็นเรื่องสำคัญอย่างไร
คุณจ่ายค่าไฟแพงและเดือดร้อนจากราคาค่าไฟหรือไม่ เพราะสาเหตุหนึ่งก็มาจากการสร้างเขื่อนที่แม่น้ำโขง ทั้งที่เรามีทางเลือกพลังงานอีกมากมาย เช่น ระบบหลังคาโซลาร์ หรือการกระจายอำนาจในการจัดการพลังงานให้รอบด้านขึ้น แต่เขายังจะสร้างเพิ่มไปเรื่อยๆ ด้วย
นอกจากนี้เขื่อนอาจสร้างความเสียหายต่อมรดกโลก เพราะว่ามรดกโลกที่หลวงพระบางไม่ใช่มีแค่เมืองเก่าหรือวัด แต่หมายถึงความเป็นเมืองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมและอาหาร ทั้งหมดนี้คือคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ที่สร้างมาจากแม่น้ำโขง และกำลังจะสูญหาย
แม่น้ำโขงเป็นเรื่องระหว่างประเทศ หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาว ประเด็นเหล่านี้จัดการยากหรือไม่
การศึกษาของผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ หรือ UN Special Rapporteur on Extreme Poverty ที่ศึกษาเรื่องความยากจนขีดสุดของลาวพบว่า การพัฒนาไฟฟ้ากับพลังงานน้ำจากเขื่อนทั้งหลายที่ก่อสร้างในลาวเพื่อการพัฒนาประเทศ สุดท้ายเป็นการผลักให้ประชาชนเข้าสู่ความยากจนยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ผลประโยชน์กลับตกสู่ชนชั้นนำบางกลุ่มเท่านั้น
แม้จะเป็นเรื่องระหว่างประเทศก็ตาม แต่ประเทศไทยในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้า ผู้ลงทุน ผู้พัฒนาโครงการ ผู้ปล่อยสินเชื่อ หากรัฐบาลควบคุมการลงทุนข้ามพรมแดนโดยใช้กฎหมายของไทยอย่างเคร่งครัด จะสามารถป้องกันปัญหาได้อีกจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าไปอยู่ในประเทศที่กฎหมายต่ำกว่าแล้วจะปล่อยให้ทำอะไรได้ตามใจชอบ

หลายฝ่ายมองว่าแม้ว่าทุกอย่างมีหลักการอธิบาย แต่การสร้างเขื่อนก็เกิดขึ้นอยู่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคประชาชนก็ยังไม่แข็งแรงมากพอ คุณมองประเด็นนี้อย่างไร
เราพยายามสร้างความเข้าใจให้กับคนมากขึ้น ไม่ว่าจะกับคนทั่วไปหรือสภาองค์กรผู้บริโภค ให้รู้สึกว่าความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดแค่กับคนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นเรื่องส่งฟ้องศาลปกครอง ยื่นข้อร้องเรียนแก่กรรมาธิการรัฐสภา ยื่นข้อร้องเรียนแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะประเทศไทยยังมีพื้นที่ที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐอย่างสร้างสรรค์ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำโขงแล้ว พื้นที่ของเรานั้นเปิดที่สุด แม้จะไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
ในฐานะที่คุณเป็นคนทำงานและเห็นปัญหา ภาครัฐสามารถทำได้เลยหรือไม่
ภาครัฐสามารถทำได้ทันที แต่ว่าทุกวันนี้ยังมีกระบวนการและพิธีกรรมเยอะเกินไป ซึ่งต้องไม่ใช่การทำเพื่อรายงานอย่างเดียว แต่คุณต้องทำเพราะอยากแก้ไขปัญหาจริงๆ ที่ผ่านมาพวกเราคุ้นชินกับอะไรที่เป็นพิธีกรรมมากเกินไป เพียงคุณจริงจังและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณทำเป็นประโยชน์กับสาธารณะ คุณก็สามารถทำได้เลย
ส่วนหนึ่งมองว่าการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องใช้กลไกทางเศรษฐกิจมาร่วม คุณมองประเด็นนี้คุณมองว่าอย่างไร
หากฟังโดยหลักการแล้วก็น่าจะดี แต่กระบวนการดังกล่าวต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะอาจกลายเป็นใบอนุญาตในการทำผิดอย่างหนึ่ง หรือเป็นการนำตั๋วบุญกับตั๋วบาปมาชดเชยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เช่น กรณีการพัฒนาเขื่อนลุ่มแม่น้ำโขงถูกติดฉลากไว้ว่าเป็นพลังงานสะอาด กล่าวคือบริษัทที่ทำต่างได้รับรางวัลมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วต้นทุนที่แท้จริงมันมีอะไรบ้าง มีปลากี่ชนิดที่สูญหายไป มีกี่ล้านครอบครัวที่สูญเสียวิถีชีวิตหรือแหล่งรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ต้นทุนเหล่านี้ควรจะถูกเอามานับและมองเห็นอย่างจริงจัง
ในทางกลับกันปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เกิดจากเอกชน เรื่องนี้นั้นซับซ้อนเกินกว่าที่กลไกรัฐจะเข้าไปจัดการหรือไม่
ประเด็นดังกล่าวไม่ควรจะซับซ้อน กล่าวคือ หากรัฐเข้มแข็งพอและมีพันธสัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่โดยไม่รับผลประโยชน์อื่น กลไกรัฐควรจะจัดการได้หมด เช่น กรณีมีหมอกควันที่ภาคใต้ที่มาจากอินโดนีเซียผ่านสิงคโปร์จนมาถึงภาคใต้ของไทย เมื่อเกิดเหตุนี้ขึ้นรัฐบาลของสิงคโปร์ได้ดำเนินการจัดการทันทีและทำสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยควรดำเนินนโยบายอะไร ที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ?
ประเทศไทยดีขึ้นกว่านี้ได้ หากรัฐบาล หน่วยงานรัฐ และประชาชนทุกคนตระหนักว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงและกำลังเข้าสู่สภาวะโลกเดือดขึ้นจริงๆ โดยเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมและร่วมมือกันอย่างมีความหมาย เอาความจริงออกมาพูดคุยกัน ปรึกษาหารือ และนำความเชี่ยวชาญ ความรู้ และเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยที่เคารพซึ่งกันและกัน
ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง เราทำอะไรได้บ้าง?
ถ้าเราเชื่อว่าเราตื่นรู้และทราบว่าเกิดปัญหา เราควรพูดถึงประเด็นเหล่านั้นให้มาก ในวันหนึ่งผู้มีอำนาจเขาก็ต้องฟัง ถ้าเราเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยกัน เชื่อว่าอย่างไรผู้มีอำนาจก็ต้องทำตามในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในระดับที่ทำให้เห็นหรือในระดับที่ทำจริงๆ
ประเทศของเรามีความอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมนุษย์ที่กำลังเติบโตอีกมากมาย ถ้ามีเด็กที่รู้เรื่องนิเวศ รู้เรื่อง climate change มากขึ้น ในอนาคตข้างหน้าสัก 20 ปีเราอาจจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หมดเลยก็ได้ กล่าวคือเราควรเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบายรัฐ และให้ความสนใจกับความเสียหายของเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้
