ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีข่าวไหนที่คนจะพูดถึงเยอะไปกว่าข่าวน้ำท่วมในประเทศไทยที่สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ และแน่นอน เมื่อพูดถึงน้ำท่วมคราใด สิ่งที่มักจะถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบซ้ำๆ คือวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่สาหัสสากรรจ์และลากยาวกินระยะเวลาหลายเดือน ทำให้กิจการงานหลายอย่างหยุดชะงักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะที่หลายคนกำลังกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยมหาอุทกภัย คำถามสำคัญอาจจะอยู่ที่ว่าเราเข้าใจน้ำท่วมเพียงพอแล้วหรือไม่? บทเรียนในปี 2554 สอนอะไรเรา? และที่สำคัญไปกว่านั้น คือรัฐและผู้กำหนดนโยบายจะแก้ปัญหาอย่างไรในวันที่ภาวะโลกเดือดยิ่งซ้ำเติมความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น
101 สนทนากับ ภาณุ ตรัยเวช อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไล่เรียงตั้งแต่การถอดมายาคติน้ำท่วมปี 2554 ไปจนถึงการหาแนวทางรับมือวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้น
หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจากรายการ 101 One-on-One Ep.339 – ถอดมายาคติน้ำท่วมใหญ่ มองไปให้ไกลกว่าปี 54 กับ ภาณุ ตรัยเวช ออกอากาศในวันที่ 2 กันยายน 2567
ตอนนี้ข่าวน้ำท่วมกำลังเป็นที่สนใจของคนไทยอย่างมาก ซึ่งเราจะเห็นว่าหลายคนมักพูดถึงหรือนำเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554 มาเปรียบเทียบกับน้ำท่วมในปีนี้ แต่คุณเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า สังคมไทยต้องเลิกนำเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 มาเป็นมาตรฐานได้แล้ว อยากให้ขยายความประโยคนี้หน่อยได้ไหม
ปี 2554 เป็นปีที่พิเศษมาก เพราะฝนตกเยอะแบบผิดปกติจริงๆ คืออยู่ที่ 16 พันล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ปี 2565 ซึ่งสูงรองลงมาจะอยู่ที่ 8 พันล้านลูกบาศก์เมตร ปีนี้ก็ใกล้เคียงปี 2565 แต่น้อยกว่า จะเห็นว่าต่างกันครึ่งๆ เลย ดังนั้น ถ้าพูดในเชิงข้อเท็จจริง การที่เกิดน้ำท่วมในปี 2554 เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
พอมาถึงปีนี้ คนชอบถามผมว่า น้ำจะท่วมไหม ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า น้ำท่วมมีหลายรูปแบบ แบบแรก คือ น้ำระบายไม่ทัน ซึ่งเราจะเห็นในกรุงเทพฯ บ่อยมาก ผมยกตัวอย่างปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ฝนตกเยอะมากในรอบ 10-20 ปี ปีนั้นกรุงเทพฯ จึงเจอปัญหาน้ำท่วมบ่อยมาก พอฝนตกทีน้ำก็ทะลักขึ้นมา ทำให้รถติดอีก อันนี้เป็นน้ำระบายไม่ทัน ซึ่งเราจะเจอบ่อยมากในเมือง ปัญหาเกิดจากการที่ถนนในเมืองเป็นคอนกรีตไม่ซับน้ำ พอฝนตกน้ำก็จะไหลไปที่ท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งท่อก็มีข้อจำกัดในการรับน้ำว่ารับน้ำเร็วขนาดนั้นไม่ได้ แต่การท่วมในลักษณะนี้จะกินเวลาแปบเดียว มากสุด 6 ชั่วโมง ส่วนมากก็จะ 2-3 ชั่วโมง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจะเสียทั้งความรู้สึกและทรัพย์สิน
แบบที่สอง คือ น้ำท่วมแบบที่ไม่มีที่ระบาย พูดง่ายๆ คือแม่น้ำเต็มหรือส่วนกักเก็บน้ำไม่มีแล้ว กรณีสุดโต่งก็คือปี 2554 ที่ทุกที่เต็มหมด ไม่รู้จะระบายไปไหน พอน้ำมาก็จะค้างอยู่แบบนั้น เท่าที่อ่านตัวเลขต่างๆ ผมคิดว่าเชียงรายเป็นลักษณะนี้
แบบสุดท้าย คือ พื้นที่ติดน้ำ ซึ่งท่วมทุกปีถ้าเป็นหน้าฝน ต่อให้ไม่มีฝนก็ท่วมอยู่ดี เช่น อยุธยา เพราะเป็นบริเวณที่น้ำถูกรวมลงมาจากแม่น้ำสายเล็กสายน้อย ตรงนี้จะเป็นเรื่องการบริหารจัดการด้วยว่า เขื่อนเจ้าพระยาจะปล่อยน้ำมาเร็วหรือช้าแค่ไหน หรือจะพยายามกันไม่ให้กรุงเทพฯ ท่วมแบบปี 2554 จนไปล้นตลิ่งที่อื่นหรือไม่
กลับมาที่คำถามว่าจะท่วมไหม จริงๆ ต้องบอกว่าท่วม แต่ไม่ได้ท่วมแบบปี 2554 เพราะนั่นเป็นตัวอย่างที่สุดโต่งมากๆ ของน้ำท่วม และเกิดจากสาเหตุเดียวคือน้ำเยอะเกินไป เพราะฉะนั้น ถ้าเรานำน้ำท่วมปี 2554 มาเป็นมาตรฐานมันจะไม่ครอบคลุมถึงกรณีอื่น เช่น น้ำระบายไม่ทันหรือน้ำล้นตลิ่ง
ถ้าเจาะไปที่ภาคเหนือ สถานการณ์น้ำท่วมตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เขื่อนใหญ่ๆ ของภาคเหนือจะมี 2 เขื่อน คือเขื่อนภูมิพลที่รับน้ำปิง และเขื่อนเขื่อนสิริกิต์ที่รับน้ำน่าน
ตอนนี้เขื่อนภูมิพลยังมีที่ค่อนข้างเยอะ เมื่อเช้า (2 กันยายน) ยังมีประมาณ 40% คือพร่องน้ำไว้ค่อนข้างเยอะเลย แต่น้ำน่านจะน่ากลัวกว่า คือมีประมาณ 70-80% แล้ว
แต่อย่างที่ผมบอกไปว่า ปีนี้ไม่เทียบเท่าปี 2554 เพราะน้ำน้อยกว่าเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ฤดูฝนก็ยังเหลืออีกประมาณเดือนเศษๆ ซึ่งไม่รู้ว่าฝนจะมาเยอะแค่ไหน ถ้าอิงตามสถิติแล้วไม่น่าเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอุทกภัยเลยนะครับ แค่ถ้ายังไม่มีฝนลูกใหญ่เข้ามา ก็ยังไม่มีอะไรมาเติมให้ท่วม
จริงๆ ฝนตกประมาณนี้ทุกปี เราก็อยู่กับพื้นที่แบบนี้มานาน แล้วเราจะคาดการณ์ไม่ได้เลยหรอว่าน้ำจะท่วม ตรงนี้เรารับมือล่วงหน้าได้ไหม หรือติดขัดอะไรบ้าง
ถ้าถามว่าเราพอจะรู้ล่วงหน้าไหม เราพอรู้ล่วงหน้าเรื่องความแรงของฝนในแต่ละปี แต่รู้ในภาพรวม ถ้าพูดในทางทฤษฎี ผมสอนอุตุนิยมวิทยาและสมุทรศาสตร์ เราจะรู้จากดัชนีค่าดัชนี Oceanic Nino Index (ONI) ที่วัดอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพอจะบอกได้ว่า ปีนี้ฝนจะตกเยอะหรือน้อย แต่ต่อให้ฝนตกน้อยก็ไม่ได้ตกแบบกระจายเท่ากันทั้งประเทศ บางทีมันไปตกกระจุกตัวกัน
เราสังเกตได้อย่างหนึ่งว่าน้ำท่วมจะไม่ค่อยท่วมซ้ำ บางทีเราเฝ้าระวังตรงนี้เพราะน้ำเคยท่วม มันกลับไปท่วมที่อื่นแทน เพราะเมื่อหยดน้ำมารวมตัวกันเป็นฝนแล้วมักจะไม่ไปเกิดที่อื่น ความชื้นก็ไม่ไปตรงอื่น ตรงนี้เราอาจจะรู้ล่วงหน้าได้ 3-4 วัน แต่ถ้าเป็นเดือน ปี ยังไม่ได้ นี่เป็นขีดจำกัดของการพยากรณ์ พอเราไม่รู้ว่ามันจะตกตรงไหนกันแน่ การรับมือเฉพาะที่ก็ทำได้ยาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากให้น้ำท่วมก็ต้องเตรียมรับมือไว้ทุกที่ ถ้าไม่ท่วมก็เตรียมตัวไว้สำหรับรับมือในปีต่อๆ ไป
อีกข้อจำกัดหนึ่งคือ เรื่องการกระจายอำนาจ ผมเชื่อว่าคนในพื้นที่มี know how และรู้วิธีรับมือ อาจจะไม่ต้องเป็นความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยาหรอก แต่เป็นความรู้ที่เขาสะสมมาตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ เราอาจจะเสริมพลัง (empower) ให้เขาสามารถจัดการความรู้ท้องถิ่นตรงนี้เพื่อหนุนเสริมให้เขาทำงานได้เต็มที่ด้วย
ทว่าถ้าจะกระจายอำนาจก็ต้องกระจายงบด้วย ถ้าเขามีเครื่องมือที่ผันน้ำได้และมีศักยภาพที่พร้อมรับมือ ผมว่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง อันนี้พูดในแง่ของพื้นที่ที่ท่วมไม่ซ้ำกันในแต่ละปี แต่ที่กระจายอำนาจไม่ช่วยคือแม่น้ำสายใหญ่ที่ยังไงต้องท่วมทุกปี ข้อนี้เป็นเรื่องเชิงนโยบายแล้วเพราะไม่ใช่ปัญหาที่อำเภอเดียวจะรับมือได้
บางคนคิดว่าน้ำท่วมเพราะเราไม่มีฝายหรือเขื่อน ประโยคนี้จริงไหม
ผมบอกก่อนว่าในบรรดาที่กักเก็บน้ำทั้งหมด ผมชอบอ่างเก็บน้ำ ที่มีขนาดเล็กกว่าและเป็นของประจำในพื้นที่ แต่นั่นแหละ มันกลับมาที่การกระจายอำนาจอยู่ดี และก็ไม่ใช่ว่าทุกอำเภอจะต้องมีอำนาจแยกขาดจากกันเสมอไป แต่อาจหาตรงกลางที่เป็นโซนความร่วมมือกัน
กลับมาที่คำถาม ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องฝายมาก แต่ถ้าเป็นเขื่อน สมมติว่าเรารู้ล่วงหน้าว่าฝนจะตกมากหรือตกน้อย รู้ว่าฝนจะตกตรงไหน เราจะรู้เลยว่าจะต้องปล่อยน้ำในเขื่อนตอนไหน ตรงไหน แต่คือเราไม่รู้ไง เราไม่รู้ว่าถ้าปล่อยน้ำไปแล้วจะทำให้น้ำท่วมไหม เพราะเราไม่สามารถทำนายได้เพอร์เฟกต์ 100% เพราะฉะนั้น ผมว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก

คุณบอกว่าเราไม่มีทางทำนายเรื่องฝนฟ้าอากาศได้ 100% จริงๆ แล้วศักยภาพด้านการพยากรณ์อากาศของไทยเป็นอย่างไร
การพยากรณ์อากาศมีหลายแบบ ทั้งดูสถิติ ดูอุณหภูมิ ดูพยากรณ์ หรือเส้นทางพายุ แต่ที่พูดถึงกันบ่อยๆ อย่างโมเดลอากาศที่ส่งข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ เอาเป็นของโลกเลยก็ได้ ไม่เกิน 1 สัปดาห์ครับ ผมจะไม่ดูพยากรณ์อากาศที่เกินกว่า 3 วัน ที่ดีสุดก็คือ 24-48 ชั่วโมงล่วงหน้า
จริงๆ พื้นที่ก็อยู่ตรงนั้นของมันมานานก่อนจะมีการสร้างเขื่อนด้วยซ้ำ แต่ทำไมพอเกิดเขื่อนขึ้นมาแล้วดูไม่ช่วยแก้ปัญหาได้เท่าไหร่เลย
ฟังดูเป็นคำถามเชิงปรัชญานะครับ (หัวเราะ)
ที่พูดแบบนี้เพราะสรุปแล้ว เราคิดว่าโลกดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะ ผมอยู่ฝ่ายที่คิดว่ามันดีขึ้นนะ คือไม่ใช่ว่าปัญหาจะหมดไป แต่ผมว่าเรามีวิธีการจัดการน้ำได้บ้าง ซึ่งดีกว่าไม่มี ตอนนี้เราก็มีเทคโนโลยี มี know how ความรู้ความสามารถในการจัดการของมนุษย์ที่ทำให้โลกดีขึ้น ผมเชื่อในสิ่งเหล่านี้
แต่บางคนเชื่อว่าธรรมชาติดีหมด เพอร์เฟกต์ไปหมด ให้อยู่กับธรรมชาติและปรับวิธีการ ก็มี ตรงนี้มันอยู่ที่ว่าเราเชื่อทางไหนมากกว่า
ตอนนี้เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงภาวะโลกร้อน เรื่องนี้ส่งผลต่อประเด็นน้ำท่วมอย่างไร แล้วเราจะเตรียมรับมือได้อย่างไรบ้าง
ส่งผลมากครับ ต้องบอกก่อนว่าพอเราใช้คำว่าภาวะโลกร้อน เราเลยคิดว่าโลกจะต้องร้อนขึ้น อย่างต้นปีที่อากาศแล้งมากๆ ก็มีคนพูดเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นด้วย
ถ้าให้สรุปง่ายๆ เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนคือ ที่ไหนแห้งจะยิ่งแล้ง ที่ไหนชื้นจะยิ่งชื้น และประเทศไทยเป็นประเทศที่ชื้น เพราะฉะนั้นผลจากภาวะโลกร้อนคือฝนตกเยอะขึ้นและชื้นขึ้น เอาง่ายๆ อย่างปีนี้ถือว่าปริมาณน้ำเยอะพอสมควร อยู่ที่ 8 พันล้านลูกบาศก์เมตร ถ้าดูตามอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกจะเห็นว่าปีนี้เป็นปีกลางๆ ไม่ใช่ปีที่ฝนจะตกเยอะขนาดนี้ แต่ฝนกลับตกเยอะเพราะโลกร้อน ซึ่งผมว่าน่าเป็นห่วง
ถามว่าจะรับมือยังไง จริงๆ ก็มีทั้งการรับมือระยะใกล้และระยะไกล ในฐานะอาจารย์สอนหนังสือ ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าเราต้องเรียนรู้จากข้อมูล ดูปริมาณฝนและลักษณะน้ำที่ไหลเข้ามา ทำให้ไม่ตื่นตระหนกและพอรับมือได้ ส่วนตัวผมชื่นชมหน่วยงานภาครัฐนะ อย่างกรมชลประทานหรือหน่วยงานด้านน้ำต่างๆ ทำฐานข้อมูลไว้ได้ค่อนข้างดีและเป็นมาตรฐานเลย ประชาชนก็เข้าถึงได้ด้วย สมมติดูรูปดาวเทียมหรือเรดาร์อากาศได้ ก็จะเห็นว่าฝนอยู่ตรงไหนบ้างและจะต้องเตรียมตัวยังไง

ในฐานะอาจารย์หรือนักวิทยาศาสตร์ คุณมองว่าข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้ามองในแง่โครงสร้าง นโยบาย หรือข้อมูลในท้องที่ มีคำแนะนำไหมว่าเราควรจัดการกับข้อมูลเหล่านี้อย่างไร
เวลาเราพูดถึงเรื่องอากาศ ผมว่าคนรับรู้ผ่านทางข้อมูล หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือดราม่าต่างๆ อย่างปี 2554 จริงๆ น้ำไม่ได้ท่วมทุกที่ แต่กลับอยู่ในความทรงจำของคนเพราะมีเรื่องราวหรือดราม่าต่างๆ เยอะมาก ในมุมหนึ่ง ดราม่าพวกนี้ก็มีประโยชน์คือทำให้เรารู้ว่าคนลำบากอยู่ตรงไหน เราจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ข้อเสียคือ ดราม่าทำให้เรารู้ข้อมูลไม่รอบด้าน เช่น น้ำขึ้นน้ำลงอย่างไร สถานการณ์ในเชียงรายเป็นอย่างไรบ้าง ผมว่าข้อมูลพวกนี้สำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้และเห็นสถานการณ์จริงๆ ของน้ำ
แล้วถ้าเป็นในแง่นโยบาย เราควรมีนโยบายอย่างไรที่จัดการแล้วจะทำให้แต่ละพื้นที่มีพลัง มีอำนาจในการดูแลเรื่องน้ำในพื้นที่ของตนเองได้
ยากมากเลยนะครับ (หัวเราะ) อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า เราต้องกระจายอำนาจ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ข้อจำกัดของการกระจายอำนาจด้วย
ผมว่าการกระจายอำนาจจะดีในแง่ว่าท้องถิ่นสามารถรับมือสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าฝนตกลงมาหนัก เราก็สามารถผันน้ำไปได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องทางเศรษฐกิจด้วย เช่น ถ้าเราเห็นว่ามีพื้นที่บริเวณหนึ่งสามารถใช้เป็นแก้มลิงเพื่อผันน้ำไปได้ทำให้น้ำจะไม่ท่วมหนักมาก แต่พื้นที่ตรงนั้นถูกใช้เป็นพื้นที่ทำไร่ทำนาอยู่ก่อนแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรล่ะ ต้องมีเรื่องเงินชดเชยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เวลาเราพยายามถอดบทเรียนปี 2554 จริงๆ บทเรียนที่ได้คือการทำทุกอย่างไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ อันนี้ถ้าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็เข้าใจได้ แต่มันไม่ควรเป็นเป้าหมายในทุกปีว่าห้ามกรุงเทพฯ น้ำท่วมเป็นอันขาด เราควรมีวิธีปล่อยน้ำมากกว่า เพราะอย่างที่ผมบอกว่า สิ่งที่เขื่อนทำได้และทำดีคือการควบคุมการไหลของน้ำให้ลงมาในจังหวะที่ควรลง หรือไม่ลงในจังหวะที่ไม่ควรจะลง
บางทีเราจะได้ยินว่า กรุงเทพฯ น้ำไม่ท่วมหรอก เพราะน้ำเหนือไม่มา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ท่วมนะครับ
คำถามที่หลายคนอยากรู้ ปีนี้กรุงเทพฯ จะน้ำท่วมไหม
ผมไม่ห่วงน้ำเหนือนะ ผมว่าปริมาณมันไกลจากปี 2554 มาก แต่ถ้าใช้ปี 2565 ที่น้ำเยอะรองลงมาแต่ห่างกันครึ่งต่อครึ่งเป็นเกณฑ์ ตอบแบบเซฟๆ คือที่ไหนที่ปี 2565 ท่วม ปีนี้ก็มีโอกาสท่วมครับ
ถ้ามองภาพเชิงนโยบาย กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่เป็นพื้นคอนกรีตทำให้น้ำไม่มีที่ไปจนต้องรอการระบาย ซึ่งกรุงเทพฯ มีพื้นคอนกรีตเยอะมาก เราจะมีวิธีจัดการประเด็นนี้อย่างไร
คอนเซปต์หนึ่งที่ผมทำนายว่าจะดังมากในอีกสิบปีข้างหน้า คือเมืองฟองน้ำ (sponge city) เป็นการพยายามทำให้พื้นที่ในเมืองชะลอน้ำได้มากที่สุด ให้เมืองซับน้ำได้มากขึ้น คือถ้าคอนกรีตซับน้ำไม่ได้ก็พยายามทำให้มันเป็นพื้นดินมากขึ้น อาจจะลองปลูกต้นไม้บนหลังคาให้น้ำไหลช้าลง ไม่ใช่ว่าไหลลงมาแล้วไหลลงท่อไปเลย ผมเข้าใจว่าทางวัสดุศาสตร์ก็พยายามศึกษาคอนกรีตที่ซับน้ำได้อยู่ ให้น้ำลงมาและซึมลงไปบ้าง ตอนนี้หลายเมืองในจีนก็ทำเรื่องเมืองฟองน้ำอยู่เช่นกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่เรามักพบได้ในเมืองร้อน คือคอนกรีตรับความร้อนไว้ได้เยอะและปล่อยความร้อนคืนยาก แต่ถ้ามันชื้น น้ำจะเป็นตัวคืนความร้อนเข้าไปทำให้เมืองเย็นลง นอกจากนี้ น้ำที่รับไว้ยังสามารถถูกกรองและนำกลับมารีไซเคิลได้ด้วย ตรงนี้ก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ เราอาจต้องดูถึงแรงจูงใจบางอย่างในการร่วมกันทำเรื่องนี้ควบคู่ไปด้วย อย่างตอนที่ผมไปต่างจังหวัดหรือพูดคุยกับชาวบ้าน จะได้ยินบ่อยมากว่าเขาอยากได้คาร์บอนเครดิต เพราะเขามีป่า มีสวน ที่สามารถนำมาขึ้นคาร์บอนเครดิตขายเอาเงินคืนได้ ตรงนี้ก็เป็นแง่ดีนะครับที่คนตื่นตัวและเห็นโอกาส เพราะจริงๆ ผมว่าคนที่พร้อมจะลงมือแก้ปัญหามีเยอะนะ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าจะเสริมพลังให้พวกเขาได้ยังไง

ในระยะยาว ประเทศเราต้องเจอน้ำท่วมหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก เราควรวางแผนอะไรบ้างเพื่อให้เรารับมือได้ดีขึ้น
ตอนนี้ถ้าคนเข้าถึงมือถือได้ก็เข้าถึงข้อมูลได้แล้ว กรมชลประทานก็ทำข้อมูลไว้ดีมาก แต่ผมคิดว่าถ้าจะขยับขึ้นไปอีกนิดหนึ่งคือทำให้เป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ จะได้ดูเข้าใจง่ายว่าระดับน้ำตรงนี้ขึ้นหรือลงยังไงบ้าง หรือปริมาณน้ำฝน ลุ่มน้ำ ไหลมายังไง น้ำขึ้นน้ำลงอย่างไร ถ้าตรงนี้ทำได้และทำให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จะดีมาก และจะช่วยให้เราสามารถถอดบทเรียนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
แต่แน่นอน ต้องบอกว่านี่คือมุมมองจากนักวิชาการ สำหรับผม ผมก็อยากจะรู้นะว่าทำไมน้ำท่วมเชียงราย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงจะมีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกใดๆ มาเกี่ยวข้อง ผมก็มองว่าถ้าเรารู้เท่าทันก็จะไม่ได้ดราม่าไปกับมันมาก แม้จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราก็รู้สถานการณ์ของตัวเอง ส่วนภาคนโยบายก็ต้องมีนโยบายต่างๆ ด้วย เช่น จะสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนเพิ่มไหม จะชดเชยให้ผู้ประสบอุทกภัยอย่างไร โดยเฉพาะคนที่เสียสละยอมรับน้ำ
คุณบอกว่าเรามีข้อจำกัด 1 สัปดาห์ในการพยากรณ์ฝนฟ้าอากาศ จริงๆ แล้วเราสามารถไปต่อมากกว่านี้ได้ไหม
ตอนนี้ยังไม่มีครับ คือส่วนของการทำโมเดลทางคณิตศาสตร์อาจจะมีแหละ แต่ส่วนอุตุนิยมวิทยายังไม่ได้เยอะขนาดนั้น
ความยากของเรื่องอากาศคือ เราอยากรู้อะไรที่ใหญ่มากๆ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นเล็กขนาดหยดน้ำ ถ้าเรามีคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังถึงขนาดสามารถประมวลผลหรือคำนวณหยดน้ำทุกหยดในก้อนเมฆได้ก็ทำได้ แต่เราไม่ได้มีแบบนั้นไง เราจะประมาณได้แค่ว่านี่คือเมฆนะ และเมฆเปลี่ยนแปลงไปยังไง เรายังตามเช็กหยดน้ำทุกหยดในก้อนเมฆไม่ได้
ทุกอย่างยังมีลิมิตของมัน วิธีการทำนายที่ดีขึ้นคือเราเข้าใจธรรมชาติของฝนฟ้าอากาศมากขึ้น ก็จะช่วยให้การทำนายแม่นขึ้น เรายังเช็กหยดน้ำทุกหยดไม่ได้ แต่เราทำให้การประเมินสถานการณ์ดีขึ้นได้
คำถามสุดท้าย คุณมองว่าวิธีแก้ปัญหาที่ควรจะทำต่อไปเป็นอย่างไร
ในฐานะของทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิทยาศาสตร์ ผมว่าถ้าเรารู้เรื่องทั้งทฤษฎีและข้อมูลจะดีที่สุด อย่างน้อยในระยะสั้นถึงระยะกลาง ถ้าเรามีความรู้ตรงนั้นและมีภาษาที่พูดคุยถึงความรู้นั้นได้ดีขึ้นก็จะดีมาก
อีกเรื่องคือ เราควรเลิกใช้ปี 2554 เป็นมาตรฐานเวลาพูดถึงน้ำท่วมได้แล้วครับ พูดถึงปี 2565 แทนก็ได้ เพราะมันน่าจะช่วยให้เราสนทนาและแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ดีขึ้นมากกว่า