หมายเหตุ – งานวิจัยที่กล่าวถึงในบทความนี้คือ ‘ระบบสวัสดิการเด็กเล็กเพื่ออนาคต’ โดย ผศ.ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ, ดร.สัณห์สิรี โฆษินทร์เดชา คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และณปภัช สิริเกษมชัย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ ในโครงการศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คลิกอ่านรายงานได้ที่นี่)
อีกครั้งหนึ่งที่มีงานวิจัยดีๆ เรื่องเด็กเล็กออกมาเป็นหลักเป็นฐาน เรื่องน่าดีใจคือยังมีคนรุ่นใหม่สานงานนี้ต่อ เรื่องน่าเป็นห่วงคืองานวิจัยบอกเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วมาช้านาน ปัญหาของบ้านเราคือรู้ทั้งรู้แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เช่น รู้ว่าการลงทุนในเด็กเล็กดีที่สุดต่ออนาคต กับรู้ว่าช่วงเวลาทองของการลงทุนคือสามขวบปีแรก รู้อีกด้วยว่าถ้าเราลงทุนวันนี้จะเห็นผลใน 15-20 ปี แต่เราก็ปล่อยให้เด็กไทยและพ่อแม่ไทยผจญชะตากรรมกันเอาเองรุ่นต่อรุ่นมานานแสนนาน
งานวิจัยนี้มีข้อเสนอ 2 เรื่องที่ควรเน้นย้ำ
ข้อ 1 “ระบบที่เป็นแกนกลางนั้น หมายถึงการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)”
เป็นที่รู้อีกเช่นกันว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ปัญหาก็เป็นที่รู้กันอีกด้วยว่าขาดงบประมาณและบุคลากร แล้วก็รู้กันอีกด้วยว่าเงินของส่วนท้องถิ่นหายไปทางใดบ้าง เมื่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็มีมาช้านานแล้วส่งผลลัพธ์อย่างที่เห็น ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะเปลี่ยนแปลงกลไกนี้เสียที กล่าวคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเป็นอิสระในการบริหารท้องถิ่นของตนแท้จริง ซึ่งทำได้ผ่านกลไกประชาธิปไตยที่เราต้องช่วยๆ กันค่อยๆ สร้าง อย่าดูถูกคนต่างจังหวัดเรื่องเลือกตั้ง อยากเห็นเหมือนกันว่าวันใดจะมีคนรุ่นใหม่หาเสียงเรื่องจะจัดการระบบดูแลเด็กเล็กและระบบการศึกษาส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจังเสียที วันนี้คือบ่อเพาะเด็กและวัยรุ่นป่วยทางจิตเวชที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าสาเหตุมิได้มีเรื่องเดียวโดดๆ บ้านก็เป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งจะยกไปกล่าวรวมกันในข้อที่ 2
หากยังคงความร่วมมือแบบเดิมผลลัพธ์ย่อมเป็นแบบเดิม
ข้อ 2 “ควรมีผู้ดูแล 1 คนต่อเด็ก 3-5 คนนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเด็กนับล้านในครัวเรือนที่ยากจนที่สุดแล้ว หมายถึงไทยต้องมีผู้ดูแลเด็กเพิ่มอย่างน้อย 200,000 คน”
งานวิจัยเขียนว่าลำพังศูนย์เด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เพียงพอ มีข้อเสนอให้ขยายหน้าที่และความรับผิดชอบเรื่องพัฒนาการเด็กเล็กออกไปโดยรอบในทุกบริบทด้วย รวมทั้งขยายไปสู่ประเด็นที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เช่น สวัสดิการพ่อแม่ บทบาทของผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งค่าตอบแทนของบุคลากร
ผู้ดูแลเด็กเล็กทำงานสร้างคน สร้างทรัพยากรมนุษย์ เท่ากับสร้างชาติ พูดตรงๆ ว่าเงินเดือนของพวกเขาควรไม่น้อยและมีระบบพัฒนาความสามารถต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ผู้วิจัยให้ตัวเลขที่ชัดเจนแล้วว่าเราต้องการคนดูแลเด็กเล็กเพิ่ม 200,000 คน นี่เป็นจำนวนที่ไม่มากเลย มากไม่มากขึ้นกับวิสัยทัศน์ผู้บริหารประเทศว่าเห็นอะไรสำคัญกว่าอะไร หากแยกเป็นจังหวัดเราต้องการเพิ่มเพียงจังหวัดละ 2,000 คนเท่านั้น หากมองไปรอบตัวเราพบงานที่รัฐบาลไม่ควรทำมากมาย เรื่องจึงวนมาที่งานอะไรสำคัญกว่าอะไร
ตัวเลข 200,000 คนนี้เข้าใจว่าผู้วิจัยมิได้หมายถึงผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่เป็นความต้องการในภาพรวมซึ่งสามารถแทรกอยู่ในทุกบริบท
นอกจากที่ผู้วิจัยเสนอแล้ว ที่จริงยังมีเรื่องสถานที่เล่นจำนวนมากกระจัดกระจายทุกพื้นที่ ห้องสมุดสำหรับเด็กจำนวนมากกระจัดกระจายทุกพื้นที่ และพิพิธภัณฑ์ส่วนท้องถิ่นเพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆ เหล่านี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศว่าเป็นเรื่องทำได้และทำได้ผลดีจริง มีผลกระทบต่อพัฒนาการเด็กและการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ดีได้จริง การกระจายงานเท่ากับการกระจายเงินที่ต้องใช้ในการเพิ่มคนสองแสนคนนี้ไปในตัว
อย่างไรก็ตามงานส่วนใหญ่ควรเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นวันยังค่ำ นอกเหนือจากนี้ควรเป็นองค์กรเอกชนตามที่ผู้วิจัยเขียนถึง แต่ที่ควรพอได้แล้วคือการตั้งคณะกรรมการแห่งชาติอะไรขึ้นมาอีก เพราะเราแต่งตั้งมาหลายรอบแล้วด้วยชื่อต่างๆ กัน ด้วยวัตถุประสงค์คล้ายๆ กัน และประชุมเรื่องคล้ายๆ กัน การทำงานซ้ำรอยเดิมก็น่าจะได้ผลแบบเดิม นั่นคืองานจบลงด้วยการได้เอกสารมาอีกกองหนึ่ง
ในขณะที่งานพัฒนาทุกเรื่องหยุดชะงัก แต่การเจริญเติบโตของเด็กเล็กไม่หยุดชะงัก ภายในสามปีคือ พ.ศ. 2570 เราก็จะได้เด็กสี่ขวบที่มีฐานความแข็งแรงของจิตใจไม่สมบูรณ์อีกรุ่นหนึ่ง แล้วส่งผลกระทบต่ออัตรากำลังการรักษาทางจิตเวชต่อไป