“ถ้าสื่อไม่เข้าใจความเสี่ยง สังคมก็ยิ่งไม่เข้าใจ” จริยธรรมสื่อและการกำกับดูแลเอไอ ในสายตาพิรงรอง รามสูต 

นอกจากวิเคราะห์ข้อมูล เขียนโค้ด (code) แต่งเพลง เขียนกลอน ฯลฯ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเขียนข่าวและบทความได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ยังไม่รวมถึงความสามารถด้านการสังเคราะห์เสียงและภาพทดแทนผู้ประกาศข่าว ความสามารถด้านการตัดต่อวิดีโอทดแทนฝ่ายโปรดัคชัน หรือความสามารถด้านการสร้างสรรค์ภาพทดแทนทีมกราฟฟิก (แต่จะทำได้ดีหรือเปล่า ก็อีกเรื่อง) 

ฉะนั้น คงไม่ผิดเสียทีเดียวหากจะกล่าวว่า สื่อมวลชนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเอไอ 

‘จริยธรรม’ คือโจทย์ที่ใหญ่ไม่แพ้การเข้ามาแทนที่คนทำงาน พัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของเอไอมาพร้อมกับคำถามด้านผลกระทบด้านจริยธรรมและคุณค่าทางสังคมที่สื่อมวลชนต้องยึดถือ ไปจนถึงคำถามว่าสื่อมวลชนจะบริหารจัดการความเสี่ยงจากเอไออย่างไรให้รับผิดชอบต่อสังคม – โดยเฉพาะสื่อมวลชนไทยที่ยังขาดการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ไม่มีทั้งแนวปฏิบัติของแต่ละสำนักข่าวหรือแนวปฏิบัติกลางอย่างเป็นทางการ 

เอไอส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมสื่อมวลชนอย่างไร สื่อมวลชนควรใช้ประโยชน์และบริหารจัดการความเสี่ยงของเอไอด้วยวิธีไหน และการกำกับดูแลควรต้องเกิดขึ้นรูปแบบใด 101 สนทนากับ พิรงรอง รามสูต คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ เพื่อหาคำตอบแก่คำถามเหล่านี้

สื่อควรใช้ประโยชน์และบริหารจัดการความเสี่ยงของเอไออย่างไร ถึงจะสมดุลและไม่กระทบจริยธรรม

เอไอหรือ artificial intelligence เปรียบเสมือนกับสมองกลอัจฉริยะที่ถูกทำให้เป็นอัตโนมัติ (automate) เอไอจึงมีข้อดีและความสามารถเยอะ ทั้งยังอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดในแง่ของการเป็นตัวช่วยจัดสรรเนื้อหา อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ถูกดิสรัปต์ (disrupt) มาก เพราะลักษณะการทำงานของสื่อมีรูปแบบที่ชัดเจน กล่าวคือมีรูปแบบว่าเขียนเกริ่นอย่างไร เขียนสนับสนุนอย่างไร หรือเขียนรายละเอียดอย่างไร ซึ่งก่อนจะถึงยุคของ generative AI ก็เป็นยุคของ machine learning อันเป็นประเภทของเอไอที่เรียนรู้สิ่งที่มีรูปแบบชัดเจน 

คำถามคือเมื่อเอไอเข้ามาช่วย เราจะกลายเป็นเหมือนหนังเรื่องเทอร์มิเนเตอร์หรือเปล่า ในอดีตระบบคอมพิวเตอร์หรือสมองกลเป็นแค่เพียงระบบช่วยเหลือ แต่ปัจจุบันกลับฉลาดจนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและควบคุมอะไรบางอย่างได้ นี่คือสิ่งที่น่ากลัว และน่ากลัวเป็นพิเศษในบริบทการใช้งานของสื่อไทย 

machine learning จะมีการเรียนรู้สองรูปแบบ รูปแบบหนึ่งคือ ‘supervise’ ที่ต้องมีการสอนและกำกับดูแล เช่น สอนให้รู้ว่าห้ามนำเสนอภาพการเสียชีวิต สอนให้รู้ว่านี่คือเสียงของนักการเมือง สอนว่าการใช้คำแบบนี้ถูกหรือไม่ เป็นต้น ส่วนอีกรูปแบบคือ ‘unsupervise’ ซึ่งเป็นเอไอที่ผ่านการเรียนรู้จนสามารถจัดกลุ่มได้ด้วยตนเอง พอเอไอเรียนรู้ถึงระดับหนึ่งก็จะสามารถสร้าง ‘formulated model’ หรือก็คือเอไอที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว

ธุรกิจหลายประเภททำ formulated model ของตนเอง ธนาคารก็เช่นกัน ธนาคารหลายแห่งมีฝ่ายเอไอของตนเอง และเท่าที่ทราบคือมีธนาคารที่ใช้ข้อสอบการเงิน chartered financial analysy (CFA) ย้อนหลังสิบปีเป็นฐานข้อมูลที่ป้อนสู่ระบบเอไอด้วย ซึ่งข้อสอบนี้ถูกคัดสรรมาแล้วว่าเป็นข้อมูลความรู้ที่ดีที่สุดเรื่องระบบการเงิน ทั้งยังสะท้อนถึงข้อมูลมาตรฐานที่คุณภาพสูง เอไอจึงมีโอกาสที่จะฉลาดและเชี่ยวชาญมาก 

ในทางกลับกัน หากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมสื่อ คำถามคือถ้าสื่อจะใส่ข้อมูลอะไรให้เอไอเรียนรู้หากอยากพัฒนาระบบเอไอของตนเอง ข้อมูลหรือเนื้อหาที่จะใช้ฝึกฝนจนเกิด formulated model เฉพาะทางของสื่อคืออะไร เรามีข้อมูลอย่างข้อสอบ CFA หรือไม่ เรามีการสอบหรือรับรองนักข่าวหรือเปล่า หรือมีข้อมูลอะไรที่ทำให้รู้ได้ว่าข่าวที่ดีเป็นอย่างไร ทุกวันนี้เราทำข่าวอยู่บนหลักอะไร


หมายความว่าควรกำกับดูแลสื่อกับเอไอ? 

มันก็น่ากังวลว่าข้อมูลที่จะถูกใช้สอนเอไอจนพัฒนาเป็น generative AI เฉพาะทางของอุตสาหกรรมสื่อคืออะไร ใครเป็นผู้กำหนดหรือมีที่มาอย่างไร เราจะปล่อยให้เกิดขึ้นแบบ laissez-faire (ปล่อยให้ทำไป) หรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยให้ทำไปได้ เพราะสื่อมวลชนสัมพันธ์กับคุณค่าสาธารณะ ในขณะที่เราพูดมาตลอดว่าข่าวในปัจจุบันยังใช้ไม่ได้ สื่อยังขยี้ข่าว ละเมิดผู้อื่น และนำเสนอเนื้อหาที่มีความรุนแรงโดยไม่จำเป็น 

หรือถ้าเอไอเรียนรู้และผูกติดกับความชอบและความสนใจของผู้คน มันก็จะรู้ว่าเนื้อหาประเภทไหนได้เอนเกจเมนต์บนโลกอินเทอร์เน็ต ดังนั้น การให้คุณค่าของเนื้อหาที่เอไอหยิบมาใช้ประมวลผลจึงเป็นกระบวนการที่ต้องตั้งคำถาม แม้ปัจจุบันอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ทุกวันนี้แค่เผลอดูข่าว ‘ใบเฟิร์น-นายณภัทร’ มากกว่า 5 วินาที อัลกอริทึมก็อาจนำแต่เสนอข่าวนี้เลยก็ได้


ในแง่ของการนำเสนอข่าวไม่หยุดโดยอัลกอริทึม เป็นไปได้ไหมว่า generative AI ในอนาคตอาจสร้างสรรค์แต่เนื้อหาประเภทที่เอนเกจเมนต์สูงเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่านั้น 

ก็น่าคิดว่าควรจะมี generative AI กลางสำหรับสื่อมวลชนในไทย หรือจะปล่อยให้แต่ละสื่อพัฒนากันเอง ซึ่งสื่อมวลชนส่วนใหญ่ในต่างประเทศมักใช้ในรูปแบบผสม กล่าวคือมีทั้งการใช้งานเอไอแบบเปิด (open source) และใช้เอไอแบบปิดที่มีเจ้าของชัดเจน (closed source)

ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็จะกลับไปเรื่องเดิมที่เป็นห่วง คือเรื่องของคุณค่าหรือว่าจริยธรรม (ethics) เพราะข่าวสารแฝงฝังไปด้วยคุณค่าที่เราให้กับสังคม สมมติสังคมหนึ่งเป็นสังคมที่เหยียดเพศหรือคนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ก็จะสะท้อนออกมาในข่าวหรือเนื้อหาที่เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเอไอ

อย่างที่บอกว่าก่อนจะมาถึงเอไอทุกวันนี้ มันพัฒนามาจาก machine learning ที่มีลักษณะ supervise หรือ unsupervise ซึ่งในส่วน supervise ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไม่ปล่อยเกิดการพัฒนาโดยไม่มีการกำกับดูแล และต้องร่วมกันกำหนดหลักการพื้นฐาน (core value) ที่ต้องยึดถือ เพื่อให้สื่อมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตรวจสอบได้ โปร่งใส และหากทำผิดก็ต้องทัดทานได้ 

ความรับผิดชอบเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาเอไอสำหรับสื่อ และส่วนตัวคิดว่าการกำหนดหลักการพื้นฐานต้องเป็นกระบวนการที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันพิจารณา เช่น คนจากกลุ่มสิทธิพลเมืองหรือสิทธิผู้บริโภค กลุ่มนักวิชาการ องค์กรวิชาชีพสื่อ และอุตสาหกรรมสื่อ เป็นต้น


แล้วในแง่ของ misinformation กับเอไอ คุณมองว่าประเด็นนี้สัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันอย่างไรบ้าง

ประเด็นนี้ยิ่งหนักเลย และเมื่อพูดถึง misinformation ต้องดูด้วยว่าระดับไหน ข้อมูลเท็จเหล่านี้มักมีที่มาจากความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ที่เป็นปัญหาเบื้องลึกในสังคม เช่น หากใช้เอไอประมวลผลข้อมูลของเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือเสื้อส้ม เอไออาจผลิตภาพอะไรที่เป็นได้ทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบออกมา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเอาพื้นฐานข้อมูลเบื้องต้นมาจากไหน 

ถึงได้บอกว่าต้องมีการกำกับดูแลเอไอในเบื้องต้นเพื่อร่วมกันหาหลักการพื้นฐาน จริงอยู่ที่ทุกคนคงไม่เห็นตรงกันทั้งหมด แต่อย่างน้อยควรต้องมีพื้นที่ตรงกลางเพื่อถกเถียงกันว่าอะไรคือสิ่งที่รับได้และรับไม่ได้ อะไรคือสิ่งที่ละเมิดบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลอะไรที่เผยแพร่ไม่ได้ ซึ่งก็น่าสนใจอีกว่าเมื่อสำนักข่าวพัฒนาเอไอของตัวเอง สำนักข่าวจะใช้ฐานอะไรคัดกรองว่าสิ่งไหนละเมิดหรือไม่ละเมิดบุคคล


ถ้าไม่ใช้เอไอผลิตเนื้อหา แต่ใช้เพียงเพื่อช่วย ‘แบ่งเบาภาระ’ ในห้องข่าว เช่น ถอดเทป ลงเสียง ฯลฯ กรณีนี้จะส่งผลกระทบกับสื่ออย่างไร

เอไอคงเป็นเครื่องมือช่วยเหลือที่ดี แต่ท้ายที่สุดก็จะกระทบอุตสาหกรรมสื่อในแง่ของคนทำงาน เพราะเอไอสามารถเรียนรู้รูปแบบการทำงานได้ 

ในสื่อต่างประเทศมีการพัฒนาเอไอสำหรับข่าวแต่ละประเภทด้วยซ้ำ สมมติข่าวกีฬาในสหรัฐฯ อาจมีการพัฒนาเอไอสามรูปแบบสำหรับข่าวฮอกกี้ ฟุตบอล และบาสเกตบอล กล่าวคือจะมีเอไอสามตัวซึ่งสามารถป้อนข้อมูลได้เลยว่าต้องการข่าวหรือสไตล์การนำเสนอแบบผู้บรรยายกีฬาคนไหน โดยที่สามารถผลิตได้ทั้งข้อความและวิดีโอ แบบที่มีฐานข้อมูลด้วยว่าผลงานแบบไหนที่คนจะชอบ


ในต่างประเทศมีข้อถกเถียงว่า หากปล่อยให้เอไอมีอำนาจตัดสินใจในกระบวนการบรรณาธิการ อาจนำมาสู่การสูญเสียเสรีภาพของสื่อ คุณมองประเด็นนี้อย่างไร 

ก็เป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราฝึกฝนและสอนอะไรให้เอไอตั้งแต่แรก ในแง่หนึ่งเอไอก็เป็นเหมือนกับเด็ก เพียงแต่เป็นเด็กอัจฉริยะที่สามารถประมวลข้อมูลมหาศาล และสามารถเรียนรู้จากรูปแบบต่างๆ ได้ ในขั้นตอนของการสอนจึงจำเป็นต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล ทาง กสทช. ก็กำลังคิดอยู่ว่าควรมีบทบาทในส่วนนี้ และควรเป็นคนกลางที่ช่วยให้มีพื้นที่


สื่อต่างประเทศมีการกำหนดแนวปฏิบัติและจริยธรรมการใช้เอไอ เมื่อมองมายังประเทศไทย สถานการณ์ด้านแนวปฏิบัติในไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ในไทยก็พอมีหารือกันบ้าง ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ก็มีข้อเสนอ หลายฝ่ายก็เริ่มคุยกันแต่คาดว่าเป็นวงปิด ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าควรเป็นวงเปิดกว้างกว่านี้ หรือมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มอื่นเข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวปฏิบัติโดยคร่าว แต่สื่อไทยจำนวนหนึ่งอาจยังไม่รับรู้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะพัฒนาการเอไอในไทยยังไปไม่ถึงระดับสูงสุด กล่าวคือพัฒนาการเอไอในไทยยังไม่รุนแรงเท่าประเทศอื่น 

ในอนาคต เอไอควรต้องเป็นรูปแบบหนึ่งของสไตล์บุ๊กในสื่อมวลชน เพราะเอไออาจกลายเป็นระบบสร้างสรรค์เนื้อหา จึงต้องมีสไตล์บุ๊กเฉพาะของแต่ละที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบ 

ข้อดีอย่างหนึ่งคือเรามาช้าและเป็นประเทศผู้ใช้ เราจึงมีโอกาสเรียนรู้ว่าประเทศอื่นจัดการกับเอไอในห้องข่าวอย่างไร แต่ต้องยอมรับตรงไปตรงมาว่ามาตรฐานเชิงวิชาชีพหรือจริยธรรมของสื่อไทยยังไม่ค่อยมีความเสถียร โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สื่อถูกดิสรัปต์และมีลักษณะกระจัดกระจายแยกออกจากกัน 

อีกส่วนสำคัญอาจเป็นการทำให้สื่อมวลชนบางคนเปิดใจ เพราะโลกที่เต็มไปด้วยพัฒนาการของเอไออาจเป็นวิกฤตในโอกาส เมื่อเป็นวิกฤตในโอกาสก็ยิ่งต้องเปิดกว้างกับความเป็นสื่อมวลชน ต้องไม่อยู่ในระบบนิเวศเดิม ต้องไม่แบ่งกันว่าสื่อมืออาชีพเป็นแบบไหน หรือต้องมีนักข่าวในพื้นที่จริงหรือไม่ สื่อมวลชนควรพูดคุยกันเพื่อสร้างบรรทัดฐานหรือหาทางอยู่ร่วมกันท่ามกลางพัฒนาของเอไอ


คุณมีข้อเสนอหรือไม่ว่าแต่ละสื่อควรมีแนวปฏิบัติด้านเอไออย่างไร และในเชิงรายละเอียดควรเป็นอย่างไร

หากพูดถึงแนวปฏิบัติและหลักจริยธรรมเอไอในระดับภาพรวม จริงๆ พอมีการกำหนดหลักการไว้บ้างแล้วโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และบางมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ดี ของเราดูดีมากบนกระดาษ มีการวางระบบที่คล้ายคลึงกับแนวปฏิบัติเอไอในระดับสากล แต่ในแง่ของการบังคับใช้ให้เกิดขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ยังไม่เข้มแข็งนัก 

ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของภาคส่วนนั้นด้วย อย่างภาคส่วนการเงินก็จะต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่กำกับดูแล เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นฝ่ายกำกับดูแลธนาคารว่าทำอะไรได้แค่ไหนอย่างไร เขาก็ต้องเอาแนวปฏิบัติด้านเอไอไปปรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของพวกเขา 

ทั้งนี้ งาน AI Seoul Summit 2024 กำหนดหลักการด้านเอไอไว้สามประเด็น ได้แก่ ai innovation กล่าวคือทุกคนต้องเข้าใจว่าเอไอคือนวัตกรรมใหม่ ถัดมาคือ ai safety กล่าวคือการหาวิธีอยู่ร่วมและใช้งานเอไออย่างปลอดภัย หลักสุดท้ายคือ ai inclusivity กล่าวคือการใช้งานเอไอโดยที่ทุกคนได้ประโยชน์ ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และไม่ถูกเอาเปรียบโดยเอไอ 


ทำไมสื่อมวลชนบางคนยังไม่ทราบว่ามีหลักการโดยคร่าวที่ถูกกำหนดไว้ ช่องว่างที่ทำให้คนทำงานยังเข้าไม่ถึงแนวปฏิบัติด้านเอไอคืออะไร 

อาจเพราะต่างคนต่างทำ และอีกส่วนคือไม่มีภาพตรงกลางที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน generative AI ในสื่อไทยก็ยังไม่เกิดดี กลายเป็นการใช้งานซอฟต์แวร์ open source อย่างแชตจีพีทีที่ใครก็ใช้ได้ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสื่อโดยเฉพาะ

ปัจจุบัน เอไอในสื่อไทยยังเป็นลักษณะ machine learning กล่าวคือยังไม่เกิดการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่ถ้าในอนาคตสื่อไทยพัฒนา generative AI เฉพาะทางที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและต้องพูดคุยกันอย่างจริงจังว่าอุตสาหกรรมสื่อจะเอาอย่างไร จะตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดหลักการพื้นฐานหรือแนวปฏิบัติหรือไม่ ซึ่ง กสทช. ก็พิจารณาอยู่ว่า อาจเป็นตัวกลางในการดึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะกลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มการศึกษา กลุ่มการพัฒนาเอไอ และอื่นๆ 

เราต้องมองการณ์ไกลและส่งเสริมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาคุยกันว่าจะสร้าง generative AI สำหรับสื่อมวลชนอย่างไร เพราะการกำกับดูแลไม่ควรจะกำกับดูแลในรูปแบบตามล้างตามเช็ดหรือรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยลงโทษ


ผลกระทบจากการที่สื่อมวลชนยังขาดการถกเถียงถึงสภาวะไร้แนวปฏิบัติคืออะไร 

สื่อคือเครื่องขยายเสียงของสังคม ถ้าคนทำสื่อไม่เข้าใจความเสี่ยงหรือผลกระทบที่เป็นไปได้เกี่ยวกับเอไอ สังคมก็จะยิ่งไม่เข้าใจเช่นกัน ส่วนหนึ่งที่เราเห็นแต่ข่าว ‘นายณภัทร-ใบเฟิร์น’ ก็เป็นผลมาจากการที่เอไอกำหนดว่าเราควรให้ความสนใจแก่เนื้อหาอะไร คำถามคือสื่อจะออกจากภาวะนี้ได้อย่างไร ส่วนตัวก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน 


กสทช. มีแผนการทำงานด้านเอไอกับสื่อมวลชนในมิติอื่นอีกหรือไม่ รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง

กสทช. มีคณะอนุกรรมการด้านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยในคณะอนุกรรมการประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เช่น ศักดิ์ เสกขุนทด อดีตรองผู้อำนวยการ ETDA, วรรณวิทย์ อาขุบุตร, รอม หิรัญพฤกษ์, และพินัย ณ นคร โดยคณะอนุกรรมการฯ จะพูดคุยกันเพื่อกำหนดร่างแนวทางในการวางมาตรฐานด้านการใช้เอไอสำหรับกำกับดูแลผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่บริษัทโทรคมนาคมและบริษัทบอร์ดแคสต์

ถามว่าครอบคลุมไปถึงออนไลน์ด้วยหรือไม่ ตอนนี้ก็ยังเป็นประเด็นที่ค้างคา จริงๆ การแพร่ภาพและเสียงออนไลน์ หรือก็คือโทรทัศน์ออนไลน์ ตามกฎหมายยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. 

จริงอยู่ที่เรามี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่กระทรวงดิจิทัลดูแล แต่มันเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คำถามคือใครจะเป็นผู้กำกับดูแลหากไม่ใช่ความผิด แต่เป็นเพียงพฤติกรรมหรือการใช้ประโยชน์ ซึ่งการกำกับดูแลควรต้องทำทันที ไม่ใช่ผิดแล้วจึงลงโทษ ส่วน พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลฯ ก็เป็นกฎหมายที่มีลักษณะค่อนข้างมินิมอล แต่ก็มีเนื้อหาเรื่องหลักพื้นฐานอย่างความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

นอกจากนี้ กสทช. คงจะจัดเวิร์คช็อปและสัมนาระหว่างกระบวนการกำหนดแนวมาตรฐานการใช้งานเอไอ ซึ่งสื่อและภาคส่วนอื่นอาจไม่ควรส่งคนเข้าร่วมเพียงแค่เพราะเป็นหน้าที่ แต่ต้องเป็นคณะที่ร่วมกันทำงานจริงจังและเป็นตัวแทนอย่างแท้จริง 


ประเทศไทยควรถึงขั้นต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมการทำงานสื่อหรือไม่ 

ณ ตอนนี้อาจไม่ถึงขั้นออกเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ เพราะพัฒนาการของระบบเอไอก็ยังไม่มีจุดสิ้นสุด เขียนกฎหมายไปก็อาจไม่ครอบคลุม หลายประเทศก็ไม่ได้ออกเป็นพระราชบัญญัติ เพียงแต่ออกแนวปฏิบัติเท่านั้น เพราะการออกกฎหมายอาจเกิดการควบคุมและไม่เอื้อกับนวัตกรรม กล่าวคือกฎหมายอาจทำให้นวัตกรรมถูกใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ 


มีข้อถกเถียงว่าแนวปฏิบัติอาจไม่ควรควบคุมแค่ผู้ใช้งานเอไอ แต่หมายรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีด้วย คุณคิดเห็นอย่างไรต่อประเด็นนี้

ทุกวันนี้สื่อมวลชนยังอยู่ในช่วงเรียนรู้การใช้เอไอ หากอยากพัฒนา formulated model เฉพาะสำหรับการใช้งานในองค์กรสื่อโดยเฉพาะ สื่อคงต้องหาผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาระบบให้ ซึ่งแนวปฏิบัติกลางอาจต้องคำนึงถึงพื้นฐานของการพัฒนาด้วย 

แต่เอาเข้าจริงธุรกิจก็เป็นธุรกิจ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างเอนเกจเมนต์ กลายเป็นว่าเอไอที่สามารถสร้างเอนเกจเมนต์ได้สูงสุดอาจไม่ใช่เอไอที่มีจริยธรรมที่สุด มีนิตยสารหนึ่งแกะรอยการพัฒนา generative AI ของบริษัท OpenAI ที่พัฒนาแชตจีพีที ก่อนพบว่าบริษัทนี้ทดลอง generative AI มาแล้วหลายชนิดกว่าจะพัฒนาเป็นแชตจีพีที และที่สำคัญคือพบว่าเอไอที่มีกรอบคิดเรื่องจริยธรรมกลับไม่ถูกเลือก เพราะสร้างเอนเกจเมนต์ไม่ได้ 

ท้ายที่สุด เอไอที่สนใจเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือถูกใส่พารามิเตอร์ทำนองนี้เข้าไปกลับไม่ถูกเลือก กลายเป็นว่าเอไอที่สร้างเอนเกจเมนต์สูงถึงจะได้อยู่ต่อ เท่ากับว่าเป็นสถานการณ์ survival of the fittest หรือก็คือผู้เหมาะสมเท่านั้นที่จะอยู่รอด และตัวที่อยู่รอดอาจไม่ใช่ตัวที่ดีที่สุดในเชิงคุณค่า 


หากเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐไทยหรือ กสทช. จะป้องกันไม่ให้เกิดการ ‘เลือก’ เอไอที่เน้นกำไรมากกว่าจริยธรรม

การพัฒนาเอไอเป็นอุตสาหกรรมธุรกิจที่อยู่นอกประเทศ แม้แต่ประเทศผู้ผลิตก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ว่านักกิจกรรมหรือรัฐบาลจะพูดอะไรก็ตาม เพราะบริษัทเอไอเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใต้การกำกับของรัฐบาล ส่วนการพัฒนาก็เกิดขึ้นภายในบริษัทเอกชน 

ถามว่าจะควบคุมหรือป้องกันอะไรได้ไหม มันก็ยากเพราะเราเป็นประเทศผู้ใช้ เราเอื้อมไม่ถึงและไม่รู้ว่าซอฟต์แวร์แต่ละตัวถูกเขียนโค้ด (code) ขึ้นอย่างไร หรือแม้กระทั่งการขอเข้าถึงคุกกี้เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ถามว่า กสทช. จะควบคุมอย่างไรในเมื่อคุณกดยอมรับตอนที่เว็บไซต์ให้เลือกว่ายอมรับนโยบายคุกกี้หรือไม่ เพราะคุกกี้ขออนุญาตเพื่อเอาข้อมูลของคุณไปใช้

นี่เป็นเรื่องเศรษฐกิจระดับโลก (global economy) กสทช. เป็นเพียงส่วนเล็กในระบบเท่านั้น ขณะที่เอไอคือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับโลก หากเราบอกว่าทำไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจและโมเดลธุรกิจของเขาก็อาจล้ม


ในส่วนของคนดูล่ะ คนดูหรือคนนอกอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง หากอุตสาหกรรมสื่อใช้เอไอในการทำข่าวโดยไร้แนวปฏิบัติหรือกรอบจริยธรรม

จากที่เพิ่งไปร่วมงานด้านเอไอที่เกาหลี มีผู้เชี่ยวชาญอธิบายถึง attention economy โดยเขาอธิบายว่า คุณค่าของเศรษฐกิจอยู่ที่ความสนใจ เท่ากับว่าทุกอย่างคือเอนเกจเมนต์ แม้กระทั่งการทำข่าวก็ต้องคิดเรื่องการสร้างเอนเกนเมนต์ สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ไม่มีใครสนใจว่าข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์หรือข่าวอะไรที่สังคมควรเรียนรู้ ท้ายที่สุด คนดูจะกลายเป็นเพียงเอนเกจเมนต์เท่านั้น

คนดูอาจอยู่ปลายทางที่สุดท่ามกลางพัฒนาการของเอไอ เพราะฉะนั้นคนดูควรต้องมีความรู้และความเข้าใจ (literacy) ด้านเอไอ ซึ่งก็เป็นทักษะที่อาจจะยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเอไอปรากฏผ่านสื่อได้ทุกรูปแบบ ทุกวันนี้แค่ดูรีลส์ตอนเบื่อๆ หลังเลิกงาน ดูไปดูมายังเจอบอตเอไอสอนทำอาหารเลย 

จากที่คุยกันมา นอกจากการกำหนดหลักการและแนวปฏิบัติพื้นฐาน โดยสรุปแล้วคุณเห็นว่าทางออกของปัญหาสื่อและเอไอโดยคืออะไร 

หากพูดถึงทางออกระยะสั้น ณ ตอนนี้ก็ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญและทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักข่าว เพื่อนำเอไอมาใช้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กสทช. หรือองค์กรวิชาชีพสื่อ ก็ต้องช่วยกันทำให้สื่อไทยมีความรู้และความเข้าใจในเอไอ กล่าวคือให้ความรู้และสร้างความตระหนักถึงผลกระทบ ข้อดีข้อเสีย และอนาคตของเอไอ

ส่วนคนดูก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่แค่รู้จักและใช้งานเป็น แต่ต้องรู้ถึงข้อดีข้อเสีย สามารถประเมินและวิเคราะห์ผลกระทบที่ดีและไม่ดีได้ ยกตัวอย่างเช่น หากใช้แชตจีพีทีเป็น ก็ควรต้องรู้ด้วยว่าข้อมูลมาจากไหน ใช้กับภาษาไทยได้ดีหรือไม่ นี่คือความรู้และความเข้าใจที่คงต้องเริ่มที่ระบบการศึกษา


ในอนาคตเรามีโอกาสเห็นผู้ประกาศเอไอแทนที่ผู้ประกาศมนุษย์บนหน้าจอเลยหรือไม่

ก็เป็นไปได้ ในอนาคตคงต้องมีการพูดถึงลิขสิทธิ์ของเสียงและหน้าตาด้วย ซึ่งสิทธิด้านดิจิทัลเป็นประเด็นที่คนทำงานอุตสาหกรรมสื่อต้องให้ความสนใจว่าควรกำหนดบรรทัดฐานอย่างไร 

แต่ท้ายที่สุดข่าวสารก็คงมีเรื่องใหม่ๆ ฉะนั้นนักข่าวภาคสนามอาจยังมีงานทำอยู่ เพราะมีภารกิจออกพื้นที่และรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยกเว้นว่าจะใช้กล้องวงจรปิดรายงานข่าว ทั้งนี้ทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนในอุตสาหกรรมสื่อจำนวนไม่น้อยคงได้รับผลกระทบ


ชวนทำนายว่าในอนาคต เอไอจะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมสื่อขนาดไหน 

บอกไม่ได้เลย แต่คิดว่าคงไม่ค่อยมีความหวังเท่าอุตสาหกรรมอื่น อย่างภาคการเงินเอาข้อสอบย้อนหลังสิบปีมาเป็นข้อมูลมาตรฐานในการสอนและฝึกฝนเอไอ แต่ของสื่อจะใช้ข้อมูลอะไรเป็นพื้นฐาน จึงกังวลและคิดว่าต้องมีการพูดคุยกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมสื่ออย่างที่บอกไป 


ว่าด้วยเรื่องเอไอและสื่อไทย คุณมีอะไรอยากทิ้งท้ายไหม

เราต้องมองไกลไปสู่อนาคต ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาเราสามารถดูตัวอย่างและเรียนรู้จากประเทศอื่นที่ใช้งานและไปไกลกว่า เราควรพยายามประมวลผลเพื่อหาวิธีว่าต้องทำอย่างไรให้ไม่เหยียบซ้ำความผิดพลาดของประเทศอื่น หรือจะสร้างโมเดลใหม่ที่เหมาะสมกับสื่อประเทศเราอย่างไร 

เพราะเราไม่อาจลอกนโยบายทั้งหมดจากต่างประเทศมาได้ หากอยากให้ป้องกันผลกระทบจากเอไออย่างได้ผล ก็อาจต้องหานโยบายที่เหมาะสมและอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

MOST READ

Interviews

17 Jul 2018

เศรษฐศาสตร์การเมืองไทยในกระแสเศรษฐศาสตร์การเมืองโลก

จากเฟซบุ๊ก อูเบอร์ เอไอ ถึงกับดักรายได้ปานกลาง 101 ชวน ‘ธานี ชัยวัฒน์’ คุยโจทย์ใหม่ของเศรษฐศาสตร์การเมืองโลกและการปรับตัวของเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย

สมคิด พุทธศรี

17 Jul 2018

Interviews

11 Apr 2019

เจาะเบื้องหลังปฏิบัติการสร้าง ‘อนาคตใหม่’ กับ ชัยธวัช ตุลาธน รองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่

คุยกับชัยธวัช ตุลาธน รองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมสำรวจทรรศนะในการฝ่ามรสุมการเมืองไทย

กองบรรณาธิการ

11 Apr 2019

Interviews

17 Apr 2018

จากทหารถึงทหาร คำเตือนจาก พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร “ยิ่งลงช้าเท่าไหร่ ยิ่งมีวิบากกรรมมากเท่านั้น”

พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คุยกับ ธิติ มีแต้ม เรื่องทหารกับการเมืองไทย ความมั่นคง และความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ธิติ มีแต้ม

17 Apr 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save