เพื่อน ครู กูรูเลี้ยงลูกยุคใหม่(?) คุยกับ ภูมิ ภูมิรัตน ว่าพ่อแม่จะอยู่อย่างไร หาก AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

มองย้อนกลับไป นับตั้งแต่บริษัทสตาร์ตอัป OpenAI เปิดตัว ChatGPT แชตบอตมากศักยภาพที่สามารถสนทนาโต้ตอบกับมนุษย์เสมือนมนุษย์เมื่อปลายปี 2022 และเป็นที่นิยมล้นหลามชนิดมีผู้ใช้งานแตะหลักร้อยล้านหลังเผยโฉมเพียงสองเดือน ดูเหมือนโลกก็ผันผ่านเข้าสู่ยุค ‘ไฮป์’ ปัญญาประดิษฐ์จนถึงวินาทีนี้

ไม่เพียงแค่ได้เห็นบรรดาบรรษัทยักษ์ใหญ่สายเทคฯ ต่างกระโจนสู่สนามแข่งขันกันอย่างคับคั่ง ทั้งพัฒนาสิ่งใหม่ และใส่ AI ลงในสิ่งเก่า -อย่างเช่นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ไปจนถึงตู้เย็น- เรายังเห็นการนำ AI มาประยุกต์ใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ในโลกของการทำงาน การเรียน และแน่นอน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ AI ก็เริ่มก้าวเข้ามาทักทายโลกของเด็กและครอบครัวเป็นที่เรียบร้อย

หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของ ดร.ภูมิ ภูมิรัตน ที่ตั้งใจเปิดรับเทคโนโลยี AI เข้ามาเรียนรู้ร่วมกับลูกสาวลูกชายทั้งสองคน

โดยย่นย่อที่สุด เขากล่าวว่า AI เข้ามาสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตของพ่อแม่ เป็นเพื่อนคู่คิดเมื่อต้องการไอเดียทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว เป็นครูส่วนตัวที่คอยตอบคำถามยากๆ และช่วยสอนการบ้านเด็กๆ ที่ต้องการวิธีการเรียนรู้แตกต่างกัน มากไปกว่านั้นยังเป็นกูรูที่ช่วยรวบรวมข้อมูลและเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูก  

แต่ในทางกลับกัน AI ก็พาโอกาสและประสิทธิภาพมาพร้อมกับความเสี่ยง ดังที่สร้างความกังวลมากมายแก่ผู้ปกครอง ตั้งแต่เรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเด็ก เนื้อหาความปลอดภัยสำหรับเด็ก ผลกระทบต่อปฏิสัมพันธ์หากเด็กติด AI มากกว่าพ่อแม่ แล้วพ่อแม่จะสอนเด็กอย่างไรในยุคที่มี AI ถ้าไม่เก่งเทคโนโลยีจะรอดไหม เลี้ยงลูกสมัยใหม่จะยิ่งยากกว่าเดิมหรือเปล่า ฯลฯ

เราหยิบยกประเด็นเหล่านี้มาชวน ดร.ภูมิ พูดคุยในฐานะคุณพ่อลูกสอง ที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (cybersecurity) และทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่สหรัฐอเมริกา

แม้ประสบการณ์ของเขาอาจไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับทุกครอบครัวในการเลี้ยงลูกยุค AI แต่จากการคลุกคลีท่ามกลางแวดวงเทคโนโลยีและการทดลองใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตั้งแต่กระแสยังสดใหม่ ข้อคิดของเขาที่ว่าอย่าตระหนกจนเกินไป และให้ใช้อย่างตระหนัก ก็น่ารับฟังทีเดียว



ปี 2024 เป็นปีที่มีการพูดถึงกระแสความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI อย่างคึกคัก สำหรับแวดวงคนติดตามเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิด มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร มีอะไรน่าจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตครอบครัวของเราได้บ้าง

เทรนด์ AI ที่ถือว่าร้อนแรงในช่วงนี้ จริงๆ มีการพัฒนากันมานานแล้วครับ แค่ที่ผ่านมา AI ยังมีข้อจำกัดเยอะ จนมันเพิ่งมาก้าวกระโดดในช่วงหลายปีนี้และมาระเบิดดังเปรี้ยงปร้างตอน OpenAI เปิดตัว ChatGPT เหตุผลที่มันมาแรงเพราะ AI เริ่มมาถึงจุดที่ใช้กับหลายอย่างได้มากขึ้น มีความคล้ายคนมากขึ้นจากความสามารถในการพูดแลกเปลี่ยนและคิดวิเคราะห์ คนที่คุยกับ AI จึงรู้สึกว่ามันดูฉลาด ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากฐานเทคโนโลยีเดียวกันนะครับ คือ Large Language Models (LLM) ที่เหลือเป็นเรื่องของแต่ละบริษัทจะนำความสามารถทางเทคนิคเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไร

ตอนนี้บรรดาบริษัทพัฒนา AI พยายามแข่งกันในสองมิติ หนึ่ง คือพยายามพัฒนา LLM ให้ฉลาดที่สุด ซึ่งมีต้นทุนสูงมาก มีอยู่ไม่กี่บริษัทในโลกที่มีเงินพอจะแข่งขันกันในระดับนี้ นี่จึงเป็นเกมของบิ๊กคอมปานีเท่านั้น สอง คือกลุ่มนักวิจัยบางส่วนมองว่าเทคโนโลยี LLM มีข้อจํากัด ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ยังไม่สามารถทำบางอย่างได้ คนกลุ่มหลังจึงเริ่มวิจัยเทคโนโลยี breakthrough ถัดไป โดยมีเป้าหมายของการพัฒนาคือการแก้ไขข้อจำกัดของ LLM ก็น่าสนใจว่าต่อไปจะมีเทคโนโลยีอะไรเกิดขึ้นอีก

แต่ก่อนจะไปถึงภาพฝัน เราหันกลับมามองภาพจริง ตอนนี้มีหลายบริษัทพยายามพัฒนา LLM ออกมาให้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือหยิบมันไปใช้ในผลิตภัณฑ์อย่างแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ อย่างไมโครซอฟต์ก็เพิ่งผลิต PC ซีรีส์ใหม่ออกมา ตั้งชื่อว่า Copilot+ เป็นแมชชีนที่มี AI ในตัว แอปเปิลก็บอกว่าไอโฟนกำลังจะมีความสามารถของ AI แล้ว สิ่งเหล่านี้กำลังมา แตะตรงไหนก็เจอ AI เราจะเห็นมันเข้ามาอยู่ในสังคมและโลกส่วนตัวเรามากขึ้น

สำหรับครอบครัว ส่วนตัวผมมองว่า AI ที่เป็นเทรนด์น่าสนใจและบริษัทด้านการศึกษากำลังทำกันอยู่คือติวเตอร์สอนหนังสือเด็กครับ เพราะมันอาจจะเข้ามาใช้แทนคนได้และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเด็กแต่ละคน (personalize) ได้ เด็กเรียนไม่เข้าใจก็แค่บอกว่าไม่เข้าใจ AI จะหาวิธีใหม่มาอธิบาย นอกจากนี้ยังมีมิติอื่น เช่นเรื่องผลิตภาพ (productivity) เราใช้ AI ช่วยวางแผนตารางชีวิตครอบครัวได้ มีโปรแกรมปฏิทินบางตัวที่สามารถช่วยจัดเรียงตารางเวลาที่แสนยุ่งยาก ทั้งตารางเรียน ตารางกิจกรรมของลูก ตารางงานของพ่อแม่ ไหนจะต้องมีเวลาทำงานบ้าน จ่ายตลาดอีก AI ช่วยเราคิดได้ว่าจะจัดเรียงอย่างไร ทำอะไรก่อนหลัง เพื่อให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้ครบหมด แทนที่คนต้องมานั่งทำเอง

จะเห็นว่า AI เข้ามาเสริมในหลายๆ มิติของชีวิตได้ค่อนข้างเร็ว เราเริ่มพูดถึงมันได้แค่ปีสองปี ก็เห็นผลิตภัณฑ์จากหลายบริษัทออกมาแล้ว เริ่มมีฟีเจอร์ให้ทดลองแล้ว


ก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีอย่างสมาร์ตโฟนและไอแพด สามารถเข้ามามีบทบาทในครอบครัวและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้แนบสนิทถึงปัจจุบัน กระแสของ AI ที่เราเห็นตอนนี้มีแนวโน้มจะสร้างปรากฏการณ์เช่นนั้นในเวลาอันใกล้ได้ไหม

ผมคิดว่า AI มาแน่ แต่อาจจะมาไม่เหมือนโทรศัพท์เสียทีเดียว เพราะตอนโทรศัพท์เปลี่ยนจาก dumb phone มาเป็น smart phone เรายังสามารถใช้โทรได้เหมือนเดิม ยังรับ SMS เหมือนเดิม เราไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ก็สามารถใช้สมาร์ตโฟนได้ หรือถ้าเราค้นพบวิธีใช้แอปฯ อื่นๆ ก็ดาวน์โหลดแอปฯ มาใช้เพิ่มเติมได้ แต่ AI จำเป็นต้องมี learning curve นิดหน่อย ถ้าแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่ผนวก AI เข้ามาออกแบบวิธีใช้งานได้ดี เรื่องนี้จะไม่ค่อยเป็นปัญหา ยกตัวอย่างเช่น Google ออกแบบว่าต่อไปเวลาเราเสิร์ชข้อมูล สิ่งแรกที่ปรากฏคือคำตอบของ AI หากเราสนใจคลิกดูคำตอบ มันจะลิงก์ไปคุยกับ AI ของ Google ต่อ เป็นต้น ถ้าหลายๆ บริษัททำได้ในลักษณะนี้ นำมาเสริมในทุกอย่างที่เรามี ผมว่าก็จะยิ่งมาแรง

อีกด้านหนึ่ง ผมคิดว่า AI อาจเข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจสมาร์ตโฟนด้วย นี่คือสิ่งที่คนทําสมาร์ตโฟนกลัว เพราะสาเหตุที่สมาร์ตโฟนเป็นที่นิยม คือมันเป็น input-output device ระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ง่ายที่สุด คอมพิวเตอร์แสดงผล แล้วให้เราโต้ตอบ (interact) กับผลผ่านปุ่มต่างๆ บนหน้าจอ แต่ AI สามารถโต้ตอบกับคนผ่านเสียงพูดได้ ฉะนั้นตอนนี้จึงมีการพัฒนาอุปกรณ์ที่มี AI ฝังอยู่ เช่น บริษัทสตาร์ตอัปบางแห่งทำ AI Pin ขนาดเท่าบัตรเครดิตให้เราติดอยู่บนเสื้อ แล้วคุยกับมันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ AI พวกนี้ยังไม่ค่อยฉลาดนัก เพราะอุปกรณ์มีขนาดเล็ก ยังไม่สามารถฝัง AI ตัวที่มีประสิทธิภาพมากและคนที่ทำยังเป็นบริษัทไซซ์สตาร์ตอัปอยู่

อย่างไรก็ตาม เราพอเห็นภาพว่าถ้าอุปกรณ์เหล่านั้นมีประสิทธิภาพ เราคงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้น้อยลง เพราะไม่ต้องคอยหยิบมาดูข้อมูล ดูตารางประชุม ดูว่ารถที่เราเรียกจะมาถึงกี่โมง แค่ถาม AI ก็พอ หรือมันอาจจะแจ้งเตือนเราเองโดยไม่ได้สั่ง มันคิด มันรอ มันเฝ้าแทนเราได้

นอกจากนี้ยังมีคนผลิตแว่นตาอัจฉริยะที่ใส่ AI เข้าไปและมีกล้องติดกับแว่น ทำให้เราคุยกับแว่นได้ ถามมันได้ว่าสิ่งที่เรามองเห็นอยู่คืออะไร รองเท้าที่เขาใส่ยี่ห้ออะไร ถ้ามีอะไรน่าสนใจให้ถ่ายรูปไว้ด้วย แล้วเราแค่นั่งจ้องมัน นี่ก็ช่วยแก้ปัญหาของคนชอบถ่ายรูป เพราะปกติเวลามีอะไรน่าสนใจเราก็อยากดูด้วยตาของตัวเอง แต่ช่างภาพมีหน้าที่ต้องถ่ายรูป ต้องคิดนั่นนี่ตลอดเวลา ก็อาจจะไม่ได้ดู เราก็ใช้ AI มาคิดแทน เป็นต้น

AI มาได้ในหลายรูปแบบและฟังก์ชันมากกว่าการแตะหน้าจอ แต่มันคงมาแทนไม่ได้ทุกอย่าง เพราะมีหลายอย่างในชีวิตที่การคุยไม่เพียงพอ และการคุยกับ AI ยังค่อนข้างขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น มีโอกาสสูงมากที่ AI จะเข้ามาอยู่ในหลายมุมของชีวิตเรา แต่สมาร์ตโฟนคงยังอยู่ ถ้า AI จะไปถึงเลเวลของสมาร์ตโฟนต้องแก้ข้อจำกัดที่ยังมีอยู่เยอะเสียก่อน ซึ่งตอนนี้มันก็พัฒนามาเยอะแล้ว


อะไรคือข้อจำกัดที่ถ้า AI ก้าวข้ามไปได้จะยิ่งทรงอิทธิพลต่อชีวิตเรามากกว่านี้

มี 2-3 มิติครับ หนึ่งคือเรื่องความหลอนของมัน เรื่องการให้ข้อมูลผิดๆ (misinformation) ในส่วนนี้บางแอปพลิเคชันไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ อย่างเช่นถ้ามาเป็นกล้อง เราถาม AI ว่าสิ่งที่มันเห็นอยู่คืออะไร คำตอบคือต้นไม้ มันตอบได้ไม่ถูกก็ผิด แต่ถ้าเราเริ่มถามว่าทำไมต้นไม้ถึงเหี่ยว มันอาจจะช่วยเราวิเคราะห์ได้ว่าต้นไม้ป่วยลักษณะไหน วิธีแก้ไขคืออะไร หากมันเกิดหลอนขึ้นมา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำตอบนั้นถูกหรือผิด

นอกจากเรื่องความหลอนแล้ว ยังมีเรื่องของประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน AI ที่เก่งๆ ตอนนี้ต้องรันบนคอมพิวเตอร์ จะรันบนอุปกรณ์เล็กๆ อย่างแว่นตาอัจฉริยะไม่ได้ ดังนั้น AI ที่อยู่บนแว่นหรือพินจึงไม่ค่อยฉลาด เพราะเป็น AI ขนาดเล็ก แค่ 3-7 บิลเลียนพารามิเตอร์ ขณะที่ตัวเก่งๆ มีขนาด 70-400 บิลเลียนพารามิเตอร์ นึกภาพเหมือนขนาดของทีวีหรือหน่วยเฮิร์ตซ์ของ CPU ที่ยิ่งเยอะยิ่งเก่ง แต่ก็ยิ่งใช้พลังงานเยอะเช่นเดียวกัน แม้จะมีคนเสนอโมเดลให้ AI รันบนระบบ cloud อยู่บ้าง แต่ก็มีข้อเสียเรื่องความเป็นส่วนตัว (privacy) ตามมา และถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตก็ใช้ AI ไม่ได้

ปัจจุบัน เทคโนโลยีอย่าง LLM ที่เป็นพื้นฐานความสามารถของ AI ยังมีคนดีเบตในวงการอยู่ว่ามันเข้าใจสิ่งที่มันถามตอบ หรือมันแค่ ‘มโน’ สิ่งที่ถามตอบ มีความแตกต่างกันระหว่างสองอย่างนี้นะครับ คนกลุ่มหนึ่งมองว่า LLM เป็นแค่ regression machine เวลาเราถามอะไร มันแค่ไปแมตช์กับข้อมูลจากหน่วยความจำในเซลล์สมองของมันว่าอะไรใกล้เคียงกับสิ่งนี้มากที่สุด มีความน่าจะเป็น (probability) ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้มากที่สุด แล้วก็พูดสิ่งเหล่านั้นออกมาเรื่อยๆ คำอธิบายตรงนี้ใช้ตอบคำถามได้ว่าทำไมมันหลอน เพราะภาษาของคน คำเดียวกันใช้ได้ในหลายกรณี ทำให้ AI หลอนได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า AI ไม่ได้เข้าใจจริงๆ และเป็นที่มาว่าทำไมเมื่อสอนให้มันบวกเลขหรือทําโจทย์คณิตศาสตร์ แล้วพอมันทําผิดเยอะ เราเข้าไปไกด์ให้มัน มันจึงทำถูก เพราะการไกด์คือการหาวิธีคุยจนไปกระตุ้นเซลล์สมองของ AI ถูกตัว มีสิ่งที่คล้ายกับคำตอบอยู่ มันจึงตอบกลับมาได้

นอกจากข้อจำกัดดังกล่าว ยังมีความพยายามศึกษาวิจัยว่าทำอย่างไรให้ AI มีความสามารถด้าน multistep planning ยกตัวอย่างว่าเราหิวน้ำ บอก AI ไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่งหน่อย ถ้ามีแก้วกับขวดอยู่ใกล้ๆ มัน มันหันไปกดน้ำใส่แก้วเสิร์ฟให้เรา นั่นไม่ถือว่าเป็น multistep planning แต่ถ้าไม่มีแก้วกับขวด มันต้องเดินไปห้องครัวเพื่อหยิบน้ำกลับมาให้เรา มันต้องรู้ว่าห้องครัวมีน้ำ ต้องเปิดประตู เดินทางผ่านห้องแต่ละห้อง รู้ว่าห้องครัวอยู่ไหน น้ำอยู่ตรงไหน นี่คือ multistep planning เพราะเราขอผลลัพธ์สุดท้าย โดยที่มันต้องคิดให้ออกว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ความสามารถตรงนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า AI แบบ LLM จะทำได้

อีกความสามารถหนึ่งที่ท้าทายคือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ (logical reasoning) ซึ่งมี AI บางตัว เช่น AI ของ Mathematica ที่แก้เรื่องคณิตศาสตร์และตรรกะได้ดี แต่ประเด็นคือเราอยากได้ AI แบบผนวกความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ด้วย ซึ่ง LLM ถูกสร้างมาเพื่อเข้าใจภาษามนุษย์ พูดเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ได้ถูกสร้างมาให้พูดถูก หรือแยกแยะถูกผิดได้ ไม่มี value judgement ตรงนี้ก็เป็นข้อจำกัดที่ปัจจุบันมีแขนงการวิจัยที่พยายามพัฒนาไปถึงจุดนั้นอยู่

หากแก้ข้อจำกัดเหล่านี้ได้ มันจะเปิดโอกาสให้ AI สร้างอิมแพคได้มากขึ้น เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเรามากขึ้น ทํางานให้เราได้หลายอย่างมากขึ้น หนึ่งในสิ่งที่คนพัฒนา AI พยายามไปให้ถึง คือ Agentic AI หรือใช้ AI มาทำงานแทนเรา เช่น บอก AI ว่าถ้าลูกกลับบ้านแล้ว ให้ทำ 1 2 3 4 โทรเรียกเรา สั่งอาหารให้ เราแค่ป้อนคำสั่งทิ้งไว้ ซึ่งตอนนี้ Agentic AI ก็ทำได้ในบางมุมนะ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน ส่วนมากจะเป็นเหมือน Assistant AI คือเป็นผู้ช่วยเรา ถามตอบกับเรา ช่วยจำบางอย่างให้ สรุปบางอย่างให้มากกว่า



จากประสบการณ์ของคุณ มีการใช้ AI เพื่อดูแลครอบครัว ดูแลลูกหรือไม่อย่างไรบ้าง

ใช้ครับ แต่ไม่ใช้จนเว่อร์วัง ผมจะไม่พยายามยัดเยียดให้ลูกมากเกินไป จะคอยนัดเขา ชวนเขาว่ามาลองเล่น AI ตัวนี้กันไหม ให้เขาได้ทำความรู้จัก หยิบมาใช้ประโยชน์ได้ แล้วคอยกระตุ้นเวลาเขาถามผม ถ้าผมไม่รู้ ผมจะบอกเขาว่าลองถาม AI สิ เพราะบางทีเขาถามผมว่าเมืองนี้มีประชากรเท่าไหร่ เมืองนี้ใหญ่แค่ไหน ทีมฟุตบอลนี้มาจากเมืองไหน เรื่องพวกนี้ผมไม่รู้จริงๆ (หัวเราะ) หรือถ้าผมขับรถอยู่ ผมก็บอกให้เขาลองถาม AI แทนนะ เขาก็ชินกับการถามเพื่อให้มันตอบ แล้วถ้ามันตอบผิด ไม่เจอคำตอบ เราก็คอยช่วยแนะนำว่าลองถามแบบนี้สิ

สิ่งที่ทำมากขึ้นเรื่อยๆ คือบอกเขาว่าเวลาเรียนหนังสือ ทําการบ้าน หรือสนใจค้นคว้าอะไรลองถาม AI ดูก็ได้นะ ดูว่ามันตอบว่าอะไร ให้มันเป็นที่ปรึกษาอีกตัวหนึ่ง เรียกได้ว่านำมาใช้เยอะพอควร แต่ไม่มากจนทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกบังคับหรือรำคาญ เพราะลูกผม 10 ขวบ กับ 12 ขวบ ก็อยู่ในวัยที่ฟังพ่อแม่แหละ แต่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว

นอกจากนี้ผมก็ใช้ AI สำหรับตัวเอง เวลาลูกเอาการบ้านมาให้ตรวจ เราก็ใช้ AI ช่วยตรวจได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โรงเรียนของลูกผมมีกฎว่าห้ามใช้ AI ทำการบ้าน  เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ใช้ทำการบ้าน แต่ใช้ AI ช่วยพ่อสอนการบ้านแทน (หัวเราะ) ลูกผมก็รู้นะ เขาไม่ใช้ทำการบ้านเลยเพราะกลัวว่าครูจะให้ศูนย์ เนื่องจากเคยมีกรณีที่ครูสงสัยการบ้านของเพื่อนคนหนึ่ง แล้วให้ศูนย์คะแนนมาแล้ว ตรงนี้ก็สร้างความกลัวต่อการใช้ AI แบบหนึ่ง ซึ่งผมก็บอกเขาว่าสิ่งที่ครูไม่ต้องการคือใช้ AI เขียนการบ้าน เราแค่ปรึกษาในบางเรื่อง เช่น เวลาทำการบ้านประวัติศาสตร์ของเมือง บุคคล หรือเหตุการณ์ เราถาม AI เพื่อหาไอเดียได้ว่ามันมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร หรือมีคีย์เวิร์ดให้เราค้นหาต่ออย่างไร แต่ตอนเขียน เราทำด้วยตัวเอง

นอกเหนือจากนี้ก็มีการใช้แอปพลิเคชัน AI ที่ใช้กับกล้องวงจรปิดที่บ้าน จดโน้ตวางแผนต่างๆ ในการเดินทาง


น่าสนใจว่าโรงเรียนในต่างประเทศส่วนหนึ่งเริ่มปรับตัวให้เท่าทัน AI แล้วเหมือนกัน ในแง่นี้ คุณมองประเด็นการศึกษาของเด็กๆ ในยุค AI อย่างไร มีอะไรที่ผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจเพิ่ม

เรื่องการศึกษา ผมเข้าใจว่าครูไม่อยากให้เด็กใช้ AI เพราะครูก็มีวัตถุประสงค์ในการสอนหนังสือ มีเป้าหมายว่าอยากให้เด็กได้เรียนทักษะอะไร ถ้าเด็กใช้ AI อาจจะข้ามการฝึกทักษะเหล่านั้นไป ด้านหนึ่งผมจึงเห็นด้วยและเห็นใจครูที่ออกกฎห้ามใช้ AI ทําการบ้าน แต่ขณะเดียวกันผมคิดว่าคนในระบบการศึกษาต้องเริ่มมองว่าทักษะการใช้ AI น่าจะเป็นหนึ่งทักษะที่ต้องหาวิธีสอนเด็ก ต้องจัดพื้นที่หรือหลักสูตรส่วนหนึ่งส่งเสริมให้เด็กใช้ AI หลากหลายมุม ตั้งแต่เด็กๆ 8-10 ขวบ ก็เริ่มใช้ได้ แต่ไม่ใช้แค่ทำการบ้านเลขหรือเขียนหนังสืออย่างเดียว ต้องมีเรื่องการค้นคว้า ความคิดสร้างสรรค์มาเกี่ยวข้อง บางคนมองว่า AI ที่วาดรูปได้ คิดเพลงได้ในปัจจุบันกีดขวางความคิดสร้างสรรค์ ผมกลับมองว่ามันส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มหาศาล เพียงแต่ถ้าพึ่งพามันอย่างเดียว เด็กก็จะไม่หัดวาดรูปเอง ไม่หัดเล่นดนตรีเอง ฉะนั้นเราต้องสอนเขาใช้ให้เป็นประกอบกับทักษะอื่นๆ พร้อมให้เหตุผลว่าทำไมห้ามใช้ AI ในวิชาความรู้บางอย่าง

แม้ว่าในโลกอนาคตอีก 20 ปี โรงเรียนอาจจะไม่ต้องสอนทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วให้เด็กใช้แต่ AI ก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น เด็กยังต้องทำหลายๆ อย่างเองเป็นโดยไม่มี AI ช่วยอยู่ อันที่จริงก็ไม่แน่ว่า AI ในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตขนาดนั้นไหม ภัยอาจจะมากกว่าหรือเปล่า สิ่งสำคัญจึงเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ AI ไปพร้อมกับทักษะอื่นๆ ประกอบกัน


เช่นเดียวกับทุกครั้งที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับชีวิตครอบครัว หลายคนจะกังวลถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อผู้ใช้งานเด็ก สำหรับ AI มีเรื่องอะไรที่เราต้องคิดบ้าง

AI มีความเสี่ยงหลายอย่าง ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเราจะดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กอย่างไร เพราะบริษัท AI ระบุชัดเจนว่า AI เรียนรู้และพัฒนาจากปฏิสัมพันธ์ที่เรามีกับมัน เราควรมีการกำกับดูแลตรงนี้ไหม นโยบายกำกับดูแลควรหน้าตาเป็นแบบไหน ถ้าห้ามไม่ให้เด็กใช้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ หรือถ้าห้ามบริษัทนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ เบื้องต้นบริษัทก็คงยอม แต่เมื่อเด็กโตพอถึงจุดหนึ่ง เขาก็อาจใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่มาโฆษณาขายสินค้าให้ก็ได้ เด็กเขาอาจจะชอบด้วย ตรงนี้ก็ต้องนำมาคุยกัน

ต่อมาเป็นเรื่องความถูกต้องของข้อมูลและความปลอดภัย ในเด็กจำนวนหนึ่งร้อยคน อาจจะมีคนสองคนที่ถาม AI ถึงสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น ถามว่าซื้อยาเสพติดได้ที่ไหน ตอนแรก AI อาจจะไม่ยอมตอบเพราะปัจจุบันมันถูกเทรนมาให้ไม่ตอบคำถามเสี่ยงๆ แต่ผมทำงานด้านนี้จึงรู้ว่ามีเทคนิคการถามที่ทำให้ AI ยอมตอบ เช่น AI บางตัวถูกเทรนให้ไม่วาดรูปตัวละครที่มีลิขสิทธิ์ ถ้าบอกให้วาดคุกกี้มอนสเตอร์ มันจะไม่ยอมวาดให้ แต่ถ้าเราบอกให้มันวาด ‘blue furry monster who like to eat cookies’ มันจะวาดเจ้าตัวนี้ให้เลย!


เคยมีคนสาธิตเช่นกันว่าถ้าเราลองสมมติบทบาทให้ AI เป็นครู หรือเป็นกูรูอับดุล สร้างสถานการณ์จำลองบางอย่างให้มันเชื่อว่าคำตอบที่ให้แก่เราจะไม่ถูกนำไปใช้อันตราย มันจะยอมตอบให้ทุกอย่าง

(พยักหน้า) เราหลอก AI ได้ เพราะ AI ยังไม่ฉลาดขนาดนั้น มันถูกสอนให้คุยกับคนรู้เรื่อง แต่ไม่ได้ถูกสอนให้เก่งด้านการป้องกันปัญหาเหล่านี้ ดังนั้น ถ้าเด็กหนึ่งในร้อยคนถามว่าซื้อยาเสพติดยังไง หรือถ้าฉันอยากข่มขู่เพื่อน ฉันต้องทํายังไง เกิด AI สอนว่าให้พกมีดไปโรงเรียน ก็แย่เลย

ในแง่หนึ่ง ความรู้ของ AI บางเรื่องที่เป็นความเสี่ยง เช่น เทคนิคทางเคมีในการผลิตระเบิด เราก็ไม่อยากให้คนทั่วไปรู้ แต่มันเป็นความรู้พื้นฐานทางเคมี คนที่ทำงานสายอาชีพที่เกี่ยวข้องก็อยากพึ่งพา AI ในส่วนนั้น และสำหรับผู้ใหญ่ เราจัดการระหว่างผู้ใหญ่กันได้ แต่เด็กถือว่ามีความเสี่ยงพิเศษ มันจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าเราควรมี AI ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กไหม เป็น LLM for kids สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ซึ่งตัดความรู้เสี่ยงๆ ทั้งหมดออกไป ไม่ใช่เพราะเราอยากเซ็นเซอร์มัน แต่เพราะก้อนความรู้บางอย่างอาจไม่จำเป็นต่อเด็กวัยนี้ หรือเราจะแบ่ง AI ตามช่วงอายุของเด็กไหม แต่ปัญหาคือใครจะออกเงินให้ออกแบบ AI เหล่านั้น

บางคนก็เสนอว่าใช้ Super AI ที่มีอยู่นี่แหละ แต่หาวิธีทำให้มันรู้ว่ากำลังคุยกับเด็กอยู่ และต้อง handle them gently ระมัดระวังมากกว่าปกตินะ แต่นอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงอื่น เช่น มีคนตั้งคำถามว่ามันไปกีดขวางการเรียนรู้ของเด็กไหม ถ้าเด็กพบว่า AI ทําให้ได้ ฉันก็ไม่ต้องทํา เป็นต้น เราก็ยังอยู่ในช่วงพยายามหาวิธีว่าจะอยู่กับมันอย่างไร

ทั้งนี้ AI ก็มีโอกาสและข้อดีอยู่นะ ตัวอย่างเช่น ปัญหาใหญ่ในอเมริกาตอนนี้คือมีสัดส่วนของเด็กและวัยรุ่น อายุ 12-18 ปีเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้นจากอดีต พอดีมีคนเคยพัฒนา AI เป็นผู้ช่วยคุยกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต เขาก็มองว่าตรงนี้อาจนำมาช่วยเด็กได้ ให้เขาได้มีเพื่อนคุยที่ไม่ใช่พ่อแม่ สร้างความรู้สึกไว้ใจว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้ว AI จะไม่โกรธเขา เพราะเด็กส่วนมากกลัวพ่อแม่โกรธหรือผิดหวัง เป็นมุมที่น่าสนใจว่ามันมีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการความเสี่ยงกันอย่างไร



ในต่างประเทศ ตื่นตัวกับเรื่อง AI และเด็กมากน้อยแค่ไหน อะไรคือประเด็นสำคัญที่ถกเถียงกันอยู่ตอนนี้

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องควรยอมให้เด็กใช้ AI ไหม กับเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเด็ก ตอนนี้ยังอยู่แค่นั้นครับ เขาเน้นคุยเรื่องพวกนี้เพราะในประเทศตะวันตกเน้นปกป้องสิทธิเด็กเป็นหลัก เขาเชื่อว่ารัฐมีหน้าที่ปกป้องเด็กจากภัยและความรุนแรง ส่วนเรื่องการส่งเสริม ประโยชน์ของ AI ต่อเด็ก เดี๋ยวอุตสาหกรรมก็ไปผลักดันให้ค่อยๆ เกิดขึ้นเอง  

ในระดับนโยบาย ระดับงานวิจัย จะพูดกันเรื่องทำอย่างไรไม่ให้เด็กถูกเอาเปรียบจากสิ่งเหล่านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าโรงเรียนจะนำมาใช้ไหม พ่อแม่นำมาใช้ไหม ยังเป็นเรื่องที่คุยกันระดับพื้นที่ บางโรงเรียนเริ่มแล้ว แต่ก็ยังไม่เยอะ ส่วนมากจะเป็นการออกกฎห้ามเอา AI มาใช้ในห้องเรียนหรือทำการบ้าน ซึ่งเป็นนโยบายของครูแต่ละคนนะครับ ยังไม่ถึงขั้นเป็นคำสั่งของผู้บริหาร ครูบางคนก็ไม่ว่าอะไร อย่างวิชาคณิตศาสตร์ ครูไม่กังวลเลย เพราะเดี๋ยวตอนสอบ เด็กก็รู้ซึ้งเอง แต่ครูภาษาอังกฤษ ครูวิชาประวัติศาสตร์ เขาจะห้ามชัดเจน เพราะ AI เขียนเรียงความเก่ง


ในความเห็นของคุณ ภาพของเด็กที่เติบโตมาในยุค AI จะเป็นเด็กแบบไหน AI จะส่งผลดีหรือผลลบต่อบุคลิกนิสัยของเด็กมากกว่ากัน

ขึ้นอยู่กับเด็กเลย เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ ลูกผมสองคนยังไม่เหมือนกันเลย หลานผมก็ไม่เหมือนลูกผม เพื่อนเขายิ่งไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนมีแนวโน้มพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน ผมไม่คิดว่า AI จะไปเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นมากมายนัก มันแค่จะเข้ามาเป็นทักษะหนึ่งของเด็ก ทำให้เด็กที่ใช้ AI อาจมีโอกาสในการลองคิด ลองทำอะไรมากขึ้น นั่นคือแง่ดี

ขณะเดียวกัน แง่ลบคือถ้าพึ่งพา AI มากเกินไปก็อาจเกิดความเสี่ยง ถูก AI นําพาไปพบสิ่งที่ไม่ดีง่ายขึ้น อย่างเช่นสมัยก่อนเด็กจะหาวิธีซื้อยาเสพติด ต้องถามจากรุ่นพี่ที่เกเรพอๆ กัน ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ถาม AI ก็ได้

การมี AI ในมือเหมือนแบกความรู้ทั้งโลกเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเรา ถ้าเด็กจะเดินผิดทาง ผมคิดว่าเขาคงเลือกทางที่ผิดด้วยตัวเอง แต่การเดินผิดทางโดยมีความรู้ทั้งโลกมาอยู่ในกระเป๋าด้วย มันอาจก่อให้เกิดปัญหาที่เร็วขึ้น แรงขึ้นก็ได้ ถามว่าทั้งหมดเป็นความผิด AI อย่างเดียวไหม ผมว่าไม่ใช่ คนที่สร้าง AI คงนึกถึงปัญหาเหล่านี้อยู่ แต่วิธีแก้ทำได้ง่ายไหม มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรุนแรงหรอก


พอเห็นภาพไหมว่า AI จะเข้ามาสร้างความท้าทายใหม่ต่อครอบครัวในแบบที่แตกต่างออกไปจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ผ่านมาอย่างไร

คำว่าท้าทายต่อครอบครัวมีได้หลายมิติ ตั้งแต่เลี้ยงลูกยากขึ้น ยุคก่อนมีอินเทอร์เน็ต เด็กมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือแค่ทีวีกับพ่อแม่ พอมีอินเทอร์เน็ต เด็กเสิร์ชหาข้อมูลได้ มันก็มาท้าทายพ่อแม่ ยิ่งปัจจุบันมี AI ก็ยิ่งท้าทายมากขึ้นไปอีก เพราะเวลาเสิร์ชอินเทอร์เน็ต เด็กยังต้องย่อยข้อมูลเอง แต่ AI นี่ถ้าเด็กไม่เข้าใจก็ถามให้มันอธิบายได้ มันเชื่อมโยงให้ จับแพะชนแกะให้ ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามันถูกต้องไหม แต่มันเป็นคู่แข่งของพ่อแม่แน่นอน พ่อแม่ต้องฉลาดมากขึ้น เข้าหาเด็กมากขึ้นเพื่อสอนในสิ่งที่ควรสอน ก่อนที่ AI จะทำให้เด็กเข้าใจผิด ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่กลัวการคุยกับเด็กเรื่องเพศสัมพันธ์ เมื่อก่อนคุณก็แค่มีลูกที่ไม่รู้ แต่ตอนนี้คุณอาจจะมีลูกที่รู้อะไรผิดๆ เพราะเขาไปถาม AI แล้วได้ข้อมูลที่ผิดมา ถ้าคุณอายหรือเขินที่จะสอนเขา จนมันสายเกินไป มันอาจจะเพิ่มความเสี่ยงแก่เด็กมากขึ้น จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเด็กอยากรู้เรื่องเหล่านี้ก็ไปเสิร์ชอินเทอร์เน็ตได้เช่นกัน แต่อย่างที่ผมว่า ปัจจุบันถาม AI มันง่ายกว่า

นอกจากเลี้ยงลูกยากขึ้น พ่อแม่ต้องเก่งขึ้น ก็มีมิติด้าน AI ทำให้เกิดช่องว่างด้านการใช้เทคโนโลยีในครอบครัว เด็กเดี๋ยวนี้เรียนรู้เทคโนโลยีไวมาก ถ้าพ่อแม่ไม่ทันเทคโนโลยี เด็กอาจจะเกิดความเสี่ยงในการใช้งาน หรือต่อให้พ่อแม่ทัน แต่ไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงต่างๆ แล้วเด็กเป็นคนเข้าใจอยู่ฝ่ายเดียว เราอาจจะคุยกันไม่รู้เรื่อง กลายเป็นว่าเด็กมีทักษะที่พ่อแม่ไม่มี ซึ่งอย่างหลังนี้อาจจะดีหรืออาจจะแย่ก็ได้

ด้วยความที่ AI ยังใหม่มากในปัจจุบัน ทำให้หลายบริษัทยังไม่มีฟังก์ชันประเภท parental control พ่อแม่ยังดูไม่ได้ว่าเด็กคุยอะไรกับ AI บ้าง ตอนนี้สิ่งที่ผมทำคือ AI ที่ลูกใช้เป็นบัญชีของผม มันมีบันทึกทุกอย่างว่าผมคุยอะไรกับ AI บ้าง ผมจึงรู้ว่าลูกคุยอะไร แต่มันไม่เวิร์กตรงที่ถ้าให้ลูกใช้ ผมจะใช้มันทำงานไม่ได้ เพราะงานบางอย่างของผมก็เป็นความลับขององค์กร เวลาเราทำงานกับ AI บางครั้งต้องอัปโหลดไฟล์ อัปโหลดข้อมูลเข้าไปให้ AI เรียนรู้ เพื่อให้ช่วยเราวิเคราะห์ข้อมูล นี่ก็เป็นข้อจำกัดของการใช้งาน ทางที่ดีก็ควรเป็นเหมือน spotify ที่เรามีเพลย์ลิสต์ของเรา ลูกก็มีของลูก ใช้ผ่าน parent account หรือไอโฟนที่ผมสามารถใช้ฟังก์ชัน parental control ควบคุมเวลาการใช้หน้าจอของลูก

อีกด้านหนึ่งคือมองภาพรวมทุกครอบครัวในสังคม เรามีทั้งคนที่เข้าถึง AI กับคนที่ไม่เข้าถึง AI ทำให้อาจเกิดช่องว่างอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แค่ช่องว่างทางรายได้ ช่องว่างทางความรู้ หรือช่องว่างทางโอกาสเท่านั้น แต่เป็นช่องว่างของทักษะที่อาจสำคัญในอนาคต จุดนี้น่าสนใจว่าเราจะลดช่องว่างตรงนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าสังคมเดิมมีช่องว่างอยู่มาก AI ก็อาจเข้ามาเป็นตัวเร่งให้ช่องว่างเหล่านั้นกว้างขึ้นหรือเกิดช่องว่างใหม่ขึ้นอีก

ปัจจุบันคนที่หยิบ AI มาใช้ในการเลี้ยงลูกยังไม่เยอะ เพราะมันก็ไม่ฟรีนะ ผมก็จ่าย subscription อยู่ ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้ โจทย์คือจะทำยังไงให้มันเข้าถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช่คนติดตามเทคโนโลยีเยอะๆ ได้ด้วย



หลายคนมองว่าเทคโนโลยี AI ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตครอบครัวควรมีความแตกต่างหรือได้รับการเทรนอย่างรอบคอบมากกว่า AI ที่ใช้ในโลกของการทำงานทั่วไป อะไรที่เราควรคำนึงถึงในการเทรน AI บ้าง

คงต้องกลับไปยังสิ่งที่ผมบอกก่อนหน้านี้ว่าเราอาจมาถึงจุดที่ต้องถกเถียงกันว่าควรมี AI แยกสำหรับเด็กไหม พ่อแม่จะได้สบายใจมากขึ้น หรือเราควรพัฒนา Super AI ที่ฉลาดพอจะรู้ว่าคุยกับเด็กอยู่ มีความสามารถที่เปิดให้พ่อแม่จูน AI ตัวนั้นเข้ากับลูกได้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี

สำหรับผม อย่างน้อยที่สุดควรมีฟังก์ชัน parental control พ่อแม่เลือกได้ว่าให้ลูกใช้ถึงเวลาไหน ให้ AI ไม่คุยกับลูกเกี่ยวกับประเด็นสุ่มเสี่ยง อันตราย หรือเรื่องที่เราตั้งคีย์เวิร์ดไว้ ไม่สร้างรูปให้เด็กดูโดยที่พ่อแม่ไม่อนุญาต หรือทำได้ แต่ต้องให้พ่อแม่รีวิวด้วยว่าเด็กสร้างรูปอะไรมาดูบ้าง มันควรมีความสามารถที่เปิดให้พ่อแม่เข้ามาช่วยเทรน AI ไม่ใช่ช่วยถึงขั้นสร้างชุดข้อมูลมาเทรน แต่หมายถึงให้ฟีดแบ็กกับ AI ได้ว่าคำตอบที่มันให้กับลูก แบบไหนคือดี แบบไหนละเอียดไป แบบไหนไม่ถูกต้อง แล้ว AI ก็นำไปแก้ไขเมื่อคุยกับเด็กครั้งต่อไป เปรียบได้กับเราจ้างครูพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแลลูกเรา เราก็ต้องมานั่งคุยว่าวันนี้เขาทำอะไรกับลูกบ้าง พอเขาอธิบายมาแล้วเราก็ให้ความเห็นไป บอกเขาได้ว่าพ่อแม่อย่างเราคาดหวังอะไรและให้เขาปรับเปลี่ยนตามนั้น

ยกตัวอย่างเช่น AI โดยทั่วไปอาจเรียนรู้จากข้อมูลเก่าๆ ในโลกเดิมๆ ที่เป็นโลกปิตาธิปไตย เวลาให้คำตอบในบางเรื่องก็มีอคติแบบปิตาธิปไตยได้ ตัวผมมีลูกสาวที่ค่อนข้างยึดมั่นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และผมก็อยากให้ลูกชายได้เรียนรู้เหมือนกัน ผมควรจะบอก AI ได้ว่าถ้าลูกชายผมถามเรื่องอะไร ช่วยให้คำตอบที่มีตัวอย่างหลากหลายในเรื่องเพศและกลุ่มคนมากขึ้น ขณะที่เวลาคุยกับลูกสาวไม่จำเป็นก็ได้

ถ้ามันมีความสามารถแบบนี้จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยสอนเด็กให้พ่อแม่ และช่วยพัฒนาเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ถ้าไม่มีก็เหมือนเราจ้างครูที่คนอื่นคัดเลือกมา คิดแทนเราว่าเด็กควรเรียนรู้อะไร แล้วมันอาจไม่เหมาะกับลูกเราโดยตรงหรือไม่เหมาะโดยอ้อม โดยตรงคือพ่อแม่อย่างเราไม่คิดว่ามันเหมาะ แต่เราไม่มีทางเลือก ไม่เหมาะโดยอ้อมคือไม่เหมาะกับเด็กแต่ละคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมือนกัน คนทำ AI ย่อมไม่รู้ว่าเด็กแต่ละคนเปราะบางตรงไหน เรื่องอะไร ซึ่งปัจจุบันเราทำได้บ้าง เราบอกบริบทให้ AI เข้าใจได้ แต่มันก็ยังทำงานได้ไม่ละเอียดนัก


เมื่อ AI พัฒนาไปถึงจุดที่ใช้ได้ดั่งใจพ่อแม่ เราจะหาจุดสมดุลระหว่างการให้อิสระเด็กได้ใช้งาน กับการที่พ่อแม่จะดูแลสอดส่องเด็ก โดยไม่ล้ำเส้นจนเป็นการครอบงำควบคุมจนเกินไปอย่างไร

โอ้ อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องปรัชญาการเลี้ยงลูกนะ AI เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งของพ่อแม่ เราต้องบาลานซ์กันระหว่างการปกป้องสิทธิเด็กและความปลอดภัยที่เด็กควรจะมี กับสิทธิ์ของพ่อแม่ในการเลือกว่าอะไรดีที่สุดสําหรับเด็ก ผมว่าพ่อแม่ก็มีสิทธิ์บางอย่างในการเลือกว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ไม่ใช่บุคคลที่สามจะมามีสิทธิ์แทนเราหรือมีสิทธิ์เหนือเรา แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าพ่อแม่ทําสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเด็ก ก็อาจชวนให้ตั้งคำถามได้ว่า AI ควรมีฟังก์ชันห้ามหรือส่งเสริมสิ่งที่พ่อแม่สอนเด็กไหม

แต่จากมุมมองของผม เรายังไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอกครับ ตอนนี้ความเสี่ยงของเรายังอยู่ระดับที่ทำอย่างไรไม่ให้ AI พูดคำหยาบ ปัญหาพื้นฐานแบบนี้เรายังไม่แน่ใจเลยว่าพ่อแม่จะควบคุมได้ไหม ทุกวันนี้พ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกพูดคำหยาบที่ไหนบ้าง ผมกับลูกสาวยังค่อยๆ เรียนรู้กันเลยว่าเด็กมัธยมต้นใช้คำหยาบกันแล้วนะ  เฮ้ย ลูกชายผมอยู่ ป.4 ก็รู้คำหยาบแล้วเหมือนกัน แค่เขารู้ว่าพ่อแม่ไม่ชอบ เขาเลยไม่ใช้ที่บ้าน

เราคงไปห้ามเด็กใช้คำหยาบไม่ได้ แต่ AI จะใช้ตอบกับเด็กไหมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนนี้ควรเป็นสิทธิ์ของพ่อแม่ที่จะเลือกว่าอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เราจัดหาให้เด็กควรจะเป็นอย่างไร ไม่ต่างจากเราเลือกซื้อหนังสืออะไรมาวางไว้ในบ้าน ฉะนั้นเรื่องตรงนี้เป็นเรื่องความรับผิดชอบของพ่อแม่ (parental responsibility)


ภาพอุดมคติของครอบครัวในการอยู่ร่วมกับ AI คือภาพที่พ่อแม่มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี สามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวัน เป็นครูพี่เลี้ยงของลูกๆ แต่ภาพนั้นจะเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน พ่อแม่ยุคใหม่กำลังถูกเรียกร้องให้พ่อแม่ต้องทันโลก ทันสมัยตลอดเวลาหรือเปล่า

อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้าว่า ปัญหาในครอบครัวจะมีเรื่องที่พ่อแม่ไม่รู้จักเทคโนโลยีมากพอ จนเด็กนำไปใช้ในทางที่ผิดแล้วพ่อแม่ไม่รู้ หรือรู้ แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง ตรงนี้เป็นประเด็นว่าถ้า AI เข้ามาแพร่หลายในสถาบันครอบครัว เราต้องหาวิธีช่วยกันดูแลเด็ก ผมใช้คำว่า ‘ช่วยกัน’ เพราะถ้าเราคาดหวังให้พ่อแม่ทุกคนทําเป็นคงจะยาก มันอาจจะต้องพึ่งพาสถาบันข้างเคียงกับครอบครัว เช่น ญาติพี่น้อง หรือโรงเรียน วันหนึ่งคงถึงจุดที่โรงเรียนอาจต้องมีครูที่มีความรู้เรื่อง AI สามารถสอนเด็กในโรงเรียนว่า AI มีความเสี่ยงอะไรให้เด็กพกติดตัวกลับบ้าน รวมถึงผลิตสื่อการเรียนรู้ส่งให้พ่อแม่ที่บ้าน อย่างน้อยเพื่อให้พ่อแม่ที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีมากนักมีไกด์ไลน์เป็นกระดาษสักหน้าว่าความปลอดภัยเกี่ยวกับ AI คืออะไร สัปดาห์นี้ลูกเรียนอะไรเรื่อง AI บ้าง

ผมยกตัวอย่างโรงเรียนของลูกผมในอเมริกา เป็นโรงเรียนรัฐที่ค่อนข้างดีมาก สิ่งที่น่าสนใจคือโรงเรียนมักส่งอีเมลหาพ่อแม่ทุกวัน ส่วนเขตการศึกษาจะส่งอีเมลหาพ่อแม่ทุกสัปดาห์ เรื่องที่เขาส่งมาทุกวันคือวันนี้โรงเรียนประกาศอะไรให้เด็กทราบบ้าง ทั้งเรื่องกิจกรรม งานอีเวนต์ วันหยุด และทุกสัปดาห์ เขาจะมีหัวข้อในการคุยกับพ่อแม่ เช่น เรื่องบูลลี เรื่องการเหยียดเชื้อชาติ ปัญหาสังคมอะไรก็ตามที่ลูกอาจจะเจอที่โรงเรียน ส่งข้อมูลความรู้ที่เป็นเนื้อหาจากหนังสือ จากบทความที่เขาสรุปมา และช่องทางติดต่อโรงเรียนถ้าพ่อแม่กังวลเรื่องเหล่านี้ ผมคิดว่าเรื่อง AI น่าจะทำแบบเดียวกันได้

โรงเรียนกับครอบครัวต้องสัมพันธ์กัน คือโรงเรียนต้องช่วยติดอาวุธให้พ่อแม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลก แล้วเรารับมือกับมันอย่างไร อย่างเช่นโรงเรียนของลูกผมมีเด็กยิวกว่า 20% จากเด็กทั้งหมด ตอนเกิดสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ มีปัญหาเกิดขึ้นคือเด็กบางคนไปวาดเครื่องหมายสวัสดิกะบนโต๊ะเด็กยิว ทำให้เด็กยิวเกิดความกลัวจนขาดเรียนกันเยอะมาก จำนวน 20% ของโรงเรียนนี่พอขาดเรียนก็เห็นได้ชัด โรงเรียนเขาจึงส่งอีเมลมาบอกพ่อแม่ว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พร้อมข้อมูลว่าถ้าคุณจะอธิบายเรื่องนี้ให้ลูกฟัง จะพูดให้เขาเข้าใจได้อย่างไร หรือตอนมีเหตุการณ์ยิงกันที่โรงเรียนในเมืองใกล้ๆ เขาก็ส่งอีเมลมาบอกว่าโรงเรียนบอกอะไรให้เด็กรู้บ้าง อะไรที่โรงเรียนไม่ได้บอก ให้พ่อแม่เป็นคนเลือกว่าจะบอกหรือไม่ แล้วให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับพ่อแม่ไปตัดสินใจ

นี่คือตัวอย่างของโรงเรียนที่พัฒนาไปพร้อมกับโลกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โรงเรียนต้องรู้ว่าเด็กคุยกันเรื่อง AI มากขึ้น ใช้ AI มากขึ้น แล้วทำแนวทางให้พ่อแม่ แจ้งข่าวสารว่าโรงเรียนสอนอะไร ให้พ่อแม่ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน อย่างน้อยเพื่อให้พ่อแม่มีจุดเชื่อมโยงกับเด็ก รู้จังหวะว่าเด็กเริ่มเรียนรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว หรือมันเป็นเทรนด์ที่เด็กกำลังคุยกัน เขาจะได้คุยกับลูก สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกที่ผมว่าทำให้เกิดขึ้นได้เลยโดยไม่ดิสรัปต์ระบบเดิมมากเกินไป และช่วยให้พ่อแม่ที่ไม่ได้ตามเทคโนโลยีมีโอกาสได้รู้ และเลือกว่าเมื่อไหร่ที่เราควรจะเริ่มตามเทรนด์พวกนี้ แทนที่จะปล่อยไปในสังคมแล้วบอกว่าพ่อแม่ทุกคนมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ แต่ไม่ให้แนวทางแก่เขาเลย



บางคนกังวลว่าถ้าเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับ AI มากไป อาจสร้างความห่างเหินกับพ่อแม่ คุณมองว่า AI สามารถเข้ามาดิสรัปต์ความสัมพันธ์ของครอบครัวได้ไหม

ผมไม่คิดว่า AI จะเปลี่ยนอะไรมากนะ ยังไงเด็กก็ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น คุยกับ AI มันก็สนุกดี แต่เด็กคงอยากมีเพื่อนมากกว่า ดังนั้นผมไม่คิดว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์หรือทักษะทางสังคมมากเท่าการที่เด็ก ได้รับข้อมูลผิดหรือข้อมูลที่เป็นอันตราย

ที่ผ่านมา ผมเห็นปรากฏการณ์ในสังคมว่ามีคนบางกลุ่มบอกว่ามีแฟนเป็น AI ที่ตัวเองสร้างอยู่ที่บ้าน แล้วก็นั่งคุยนั่งจีบกัน ผมก็ว่าไม่ผิดอะไรนะ เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมคิดว่าคงไม่ healthy เท่าไหร่ถ้าเด็กเป็นคนทำ อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าเด็กจะมีปัญหานั้นเท่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กมีโรงเรียนเป็นพื้นที่ให้มีเพื่อน ผู้ใหญ่ไม่มีพื้นที่แบบนั้น เพื่อนในที่ทํางานก็ไม่เหมือนเพื่อนตอนเรียนหนังสือ เราก็พอรู้อยู่

สิ่งที่น่ากังวลอยู่บ้าง คือถ้าเด็กติด AI อาจจะใช้จนควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถึงจุดหนึ่งถ้าเด็กเริ่มใช้ AI มากขึ้น เราอาจต้องคุยกันว่า AI ต้องไม่มีฟีเจอร์ที่ทําให้เด็กติด ซึ่งก็น่าจะมาในรูปแบบ parental control หรืออาจมีนโยบายกำกับดูแลให้ AI ที่คุยกับเด็ก ห้ามมีฟังก์ชันเรียกหาเด็ก ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น เพื่อป้องกันโอกาสในการติดลง แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าผลกระทบของมันจะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูว่าจะมีงานวิจัยออกมาศึกษาผลกระทบเหล่านี้บ้างไหม เขาพบปัญหาอะไรบ้าง

แต่ผมจินตนาการถึงโอกาสที่ AI จะเป็นประโยชน์ต่อปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวได้เยอะ ทั้งเรื่องที่มันสามารถเป็นเพื่อนเด็กในยามเขาเหงา เป็นโรคซึมเศร้าแล้วรู้สึกไม่มีใครคุยด้วย ทั้งนำมาช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ผมใช้เยอะมากเลยครับ เพราะลูกผมมีปัญหาตลอดเวลา ล่าสุดอยากได้หนังสืออ่าน บอกให้พ่อแนะนำหน่อย ผมเลยแนะนำให้ลูกอ่าน ‘DUNE’ ลูกผมบ่นมากว่ามันน่าเบื่อที่สุดในโลก (ลากเสียงยาว) พ่อเอาอะไรมาให้อ่านเนี่ย แต่เอามาจากสมองพ่อก็จะได้หนังสือประเภทนี้แหละ ตรงนี้ AI ช่วยผมได้เยอะมากครับ ผมบอกให้มันช่วยแนะนำหนังสือที่เด็กอายุ 12 ควรอ่าน โดยที่ลูกผมมีความสนใจแบบนี้ๆ บางตัวแนะนำประเภทหนังสือให้ บางตัวก็ถึงขั้นแนะนําชื่อหนังสือ ซึ่งในแง่นี้มันช่วยเสริมปฎิสัมพันธ์ในครอบครัวมากครับ มันทําให้พ่อดูเหมือนรู้ดีมากขึ้น โดยที่เด็กไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วพ่อแอบปรึกษา AI อยู่ (หัวเราะ)

มันมีโอกาสช่วยเชื่อมความเข้าใจของพ่อแม่และเด็กได้ ผมเคยแนะนำให้ลูกสาวกับภรรยาใช้ AI ในการเข้าใจความรู้สึกกันและกันเวลาเขาทะเลาะกัน เพราะช่วงนี้ลูกผมกำลังโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น กำลังค้นหาตัวเอง ซึ่งบางทีแนวทางของลูกก็ไม่ค่อยถูกใจแม่เขา ผมแนะนำไปก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่สำหรับพ่อแม่อย่างผมกับภรรยาที่ไม่ได้รู้เรื่องพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก AI ก็ช่วยให้ข้อมูลเรื่องเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ ต่อให้เราไม่เชื่อมันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย มันก็ให้แง่มุมบางอย่างที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อนได้

นอกจากนี้ มันยังเพิ่มเวลาว่างให้พ่อแม่ ด้วยการทำให้ผลิตภาพ (productivity) ดีขึ้น ช่วยให้คนมีไอเดียหากิจกรรมทำด้วยกันมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวด้วย


มองในภาพรวม เป็นไปได้ไหมที่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะสร้างเทรนด์หรือเป็นเงื่อนไขบังคับให้พ่อแม่ต้องกลับมาดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

เป็นไปได้นะ ไม่แน่ใจเลย ผมคิดว่าตอนนี้มันยังเป็นส่วนเสริมในชีวิต แต่ถ้ามาคุยกันใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้มากกว่านี้ และการดูแลใกล้ชิดคงเป็นเรื่องจำเป็น หากพ่อแม่ปล่อยให้เด็กใช้ AI อยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ช่องว่างในครอบครัวจะยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงจุดที่เด็กไม่คิดว่าพ่อแม่เป็นที่พึ่งของเขา เพราะมีอะไรก็ถาม AI ได้ แถมยังตอบดีด้วย พ่อแม่ไม่เห็นว่างตอบเลย พ่อแม่ก็มีหน้าที่หาเงินมาเลี้ยงดู หาข้าวให้กินเท่านั้น ซึ่งถือเป็นภาวะอันตราย เพราะนั่นไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัวขาดความอบอุ่นหรือขาดปฏิสัมพันธ์ แต่จะนำไปสู่ปัญหาว่าเมื่อเด็กไม่เชื่อถือไว้ใจพ่อแม่ แล้วไปเจอปัญหาอื่นในชีวิต เช่น ท้องก่อนวัยอันควร ถูกเพื่อนหรือแฟนทิ้ง ปัญหาที่ปกติแล้วจะมีพ่อแม่เข้าไปช่วย และ AI ช่วยไม่ได้ ตรงนี้เด็กจะขาดที่พึ่ง

ผมไม่ใช่นักสังคมศาสตร์ ดังนั้นผมไม่แน่ใจว่ามันจะส่งผลใหญ่โตแค่ไหน แต่ผมเห็นว่าด้านหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องตระหนักและอย่าเผลอคิดว่า เออ เลี้ยงลูกสมัยนี้ง่ายดี ไม่ต้องมาตอบคำถามเจ้าหนูจำไม ให้ถามตอบกับ AI ไป มันอาจจะแย่ก็ได้กับการที่เด็กไม่เข้ามาถาม ไม่เข้ามาหาเรา เพราะเด็กไม่มองเราเป็นที่พึ่ง แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่ได้อยากให้ลูกคอยพึ่งพาตัวเองอย่างเดียว แต่จะไม่พึ่งเลยก็คงไม่ได้


โดยสรุปแล้ว คุณมองว่าพ่อแม่ควรปรับตัวหรือเสริมสร้างทักษะอะไรบ้างเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ AI ที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

พ่อแม่ต้องรู้ให้ทันเด็ก ไม่ใช่ต้องรู้ดีกว่าเด็กนะ แต่ต้องรู้ให้ทัน ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสก็ลองหยิบตัว AI ที่ฟรีมาใช้ ให้พอรู้ศักยภาพความสามารถของมัน หรือศึกษาหาความรู้สักนิดหน่อยว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องคืออะไร แต่ไม่อยากให้รู้สึกตื่นตระหนก ไม่อยากให้ถูกล้างสมองว่ามันจะฉลาดขึ้นจนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตอนนี้แค่ถามมัน มันยังตอบมั่วซั่วอยู่เลย

เราเพียงศึกษาไว้เพื่อให้มีความรู้พื้นฐาน พอถึงวันที่ลูกเริ่มใช้ อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเขาคุยกับแอปฯ อะไร รู้ว่าโรงเรียนสอนเรื่องอะไร เหมือนตอนเรารับเทคโนโลยีอื่นๆ หรือตอนที่เรารับมือปัญหาเด็กกับเกม พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเล่นเกมเป็น ไม่ต้องเชี่ยวชาญจนรู้ว่าเด็กจะติดเกมไหม แต่รู้ว่ามันคืออะไร ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องคืออะไร ไม่ใช่ไม่รู้เลยแล้วลูกก็ใช้บัตรเครดิตไปเติมเกมจนหมด

อย่างหนึ่งที่น่าจะเริ่มทำได้เลย คือการสร้างกลุ่มสังคมคุยกับพ่อแม่คนอื่น เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารว่าลูกคนอื่นเขาก็ใช้กันแล้วนะ ทำให้สังคมมีโครงสร้างที่ให้พ่อแม่สามารถหาความช่วยเหลือได้ หาคนปรึกษาได้  



ภาครัฐหรือผู้กำหนดนโยบายจะมีส่วนช่วยครอบครัวในเรื่องการเตรียมพร้อมต่อยุค AI ได้อย่างไร นโยบายกำกับดูแล AI ควรมีหน้าตาแบบไหน เพื่อลดความเสี่ยงต่อเด็กและครอบครัว

อันดับหนึ่งคือเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็ก เราอาจจะไม่ต้องร่างกฎหมายใหม่ แต่ต้องปรับกฎหมายที่มีอยู่ เอารายละเอียดของ AI และความเสี่ยงเกี่ยวกับ AI เข้าไปดูว่ามันส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างไรไหม เขียนนโยบายที่ครอบคลุมถึงครู พ่อแม่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสิทธิเด็กให้ชัดเจน

ที่เหลือน่าจะเป็นนโยบายกํากับให้บริษัทที่เอาเทคโนโลยี AI มาใช้ต้องคํานึงถึงความปลอดภัย คํานึงถึงสังคม ต้องมีฟีเจอร์ประเภท parental control แล้วก็มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุน ทำแหล่งข้อมูลความรู้อย่างที่ผมบอก ทำให้คนในสังคมได้รู้ ตื่นรู้ แล้วก็พร้อมตั้งรับ สำหรับรายละเอียดยังคงมีอีกเยอะ เช่น การส่งเสริมก็ต้องมาดูว่าเส้นที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน พื้นที่ที่บอกว่าโรงเรียนควรจัดให้เด็กใช้ AI มีสัดส่วนเท่าไหร่

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องตามมาคือเราต้องมีนโยบายประเภทส่งเสริมโรงเรียนวิจัย มีสถาบันวิจัยเข้าไปดูว่าอะไรมีประสิทธิภาพต่อเด็ก เด็กจะเข้าถึง AI ช่วงวัยไหนดี งานวิจัยบางอย่างอาจจะไม่ต้องทำเองในประเทศเราก็ได้ ไปดูว่าประเทศอื่นทํายังไงก็ได้ แต่คงมีบางมุมที่น่าคิดว่าแนวทางของเขาเหมาะกับเราไหม

อีกด้านหนึ่งคือทำอย่างไรให้คนทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีได้ นี่ก็ต้องอาศัยนโยบายที่แอคทีฟ เพราะทุกวันนี้คนบางกลุ่มยังเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตเลย และในอนาคต ช่องว่างในการใช้เทคโนโลยีอาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เราต้องหาวิธีลดช่องว่างตรงนั้น เป็นนโยบายที่ผมคิดว่าต้องมี ไม่ต้องทำปีนี้ก็ได้ ปีนี้แค่วางจุดยืนสักหน่อยว่ามุมมองของประเทศไทยต่อ AI อยู่ตรงไหน ประเด็นการคุ้มครองสิทธิเด็กคืออะไร หยิบสองอย่างนี้มาคุยกันก่อน ส่วน 5 ปี 10 ปีถัดไป เราค่อยมาคุยเรื่องการลดช่องว่างกัน


ถึงที่สุดแล้ว คุณมองว่าสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการอยู่ร่วมกับ AI หรือเทคโนโลยีในอนาคตคืออะไร

ผมเป็นนักใช้เทคโนโลยี เพราะฉะนั้นมุมมองของผมคือใช้ครับ ลองครับ เล่นครับ เล่นกับลูกครับ นี่คือสิ่งที่ผมทําเลย ส่วนตัวผมเริ่มให้ลูกเล่นตั้งแต่ 8 ขวบ หยิบ AI มานั่งเล่นกับลูก บอกว่า เฮ้ย พ่อก็ใช้ไม่ค่อยเป็นหรอกนะ เรามาลองดูด้วยกันไหม เราใช้มันหาโอกาสคุยกับลูกได้ และเรียนรู้ไว้ว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องยังมี เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยล้อฟรีให้ลูกใช้ตามสบาย หาวิธีควบคุมนิดหน่อยอย่างระมัดระวัง ผมพบว่าครอบครัวที่ผมรู้จักหลายๆ ครอบครัวปล่อยให้ลูกใช้เทคโนโลยีตามสบายเลย ซื้อโทรศัพท์ให้ แต่ไม่ใช้ parental control หรือควบคุมเวลาการอยู่กับหน้าจอ จนลูกยังถามผมเลยว่าเพื่อนๆ เขาไม่มีใครมีสกรีนไทม์สักคน ทำไมเขาใช้ได้วันละหนึ่งชั่วโมงเอง ผมก็บอกว่า พ่อแม่แต่ละคนไม่เหมือนกันนะ This is what you get (หัวเราะ) คือผมคิดว่านั่นก็มากไป ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปดีกว่า มาลองเล่นด้วยกัน เรียนรู้ความเสี่ยงของมัน ขณะเดียวกัน ก็กล้าที่จะทดลองไปด้วยกัน




ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save