แสงสุดท้ายคดีตากใบ บทพิสูจน์วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในสังคมไทย

เหตุการณ์การใช้ความรุนแรงของรัฐไทยต่อผู้ชุมนุมประท้วงแทบทุกกรณีถูกทำให้เงียบลงด้วยวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดถูกลงโทษจากการทำให้ประชาชนเสียชีวิต แม้ว่าเหตุการณ์จะฉายภาพความบิดเบี้ยวรุนแรงเพียงใด อย่างการที่เจ้าหน้าที่หยิบอาวุธปืนเล็งยิงประชาชนเสียชีวิตอย่างตั้งใจ เกิดปฏิบัติการที่ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติ เกิดการเข่นฆ่าจากอคติของเจ้าหน้าที่ที่มองประชาชนร่วมชาติเป็นศัตรู

มีคนตาย แต่ไม่มีคนฆ่า

มีความสูญเสีย แต่ไม่มีความรับผิด

สังคมไทยอยู่กันมาอย่างนี้ ภายใต้โครงสร้างที่ผู้มีอำนาจช่วยเกื้อหนุนกันเพื่อให้ความตายของประชาชนเป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม สังคมไทยอยู่กันมาอย่างนี้ ท่ามกลางความโกรธแค้นของประชาชนที่ไม่ถูกเห็นค่า

เหตุการณ์ตากใบเมื่อปี 2547 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 85 คน รวมถึงมีผู้บาดเจ็บและพิการจากการขนย้ายจากสถานีตำรวจภูธรตากใบไปค่ายอิงคยุทธบริหาร โดยผู้ชุมนุมที่ถูกขนย้ายด้วยวิธีการที่ทารุณในวันนั้นมีถึง 1,370 คน

คำตอบจากกระบวนการยุติธรรมในเรื่องนี้มีเพียงการให้เหตุผลว่า ‘ตายเพราะขาดอากาศหายใจ’ โดยไม่เคยลงโทษใครเลย

ในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นี้จะครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ตากใบและจะทำให้อายุความในคดีนี้หมดลง ภายใต้เวลาที่เหลืออยู่หลักเดือนนี้ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ตากใบจึงรวมตัวกันฟ้องร้องต่อผู้มีอำนาจรับผิดชอบในเหตุการณ์นั้น ด้วยความหวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา

ภาพโดยวจนา วรรลยางกูร

ความจริงใจและเวลาที่นับถอยหลัง

การตัดสินใจดำเนินคดีครั้งนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวพูดคุยระหว่างครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ อูเซ็ง ดอเลาะ ศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดนราธิวาส หนึ่งในทีมทนาย เล่าว่า จากการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ตากใบในพื้นที่เมื่อปี 2566[1] ทางครอบครัวผู้สูญเสียได้มารวมตัวกัน จึงเกิดการพูดคุยและตื่นตัวถึงอายุความที่เหลืออยู่ โดยมีผู้ต้องการเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการเอาผิดเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดประชาชน

ทางกลุ่มญาติได้ติดต่อทนายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ศูนย์ทนายความมุสลิม จนนำมาสู่การตั้งทีมทนาย ประชุมรวบรวมข้อเท็จจริง จนได้ผู้ประสงค์ร่วมฟ้องคดี 48 คน (เป็นตัวแทนผู้เสียชีวิต 34 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บ 14 คน) ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ 9 คน ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567

“คดีตากใบเกิดเหตุการณ์ในปี 2547 เกือบ 20 ปีแล้ว แต่ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีความสูญเสียก็ยังเกิดกับชาวบ้านผู้เสียหายอยู่” อูเซ็งกล่าว

อูเซ็ง ดอเลาะ (ภาพจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย)

น่าสนใจว่าในวันเดียวกับที่ชาวบ้านยื่นฟ้องคดีตากใบนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือถึงอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดีอาญากับตำรวจและทหารในคดีวิสามัญฆาตกรรมในเหตุการณ์ตากใบ โดยมีความเห็นว่าเป็นการกระทำตามสมควรแก่กรณีและเป็นเหตุสุดวิสัย โดยที่สำนวนการไต่สวนการตายนี้ใช้เวลาเกือบ 20 ปีจึงเพิ่งส่งให้อัยการ

เงื่อนไขสำคัญของคดีนี้คือศาลต้องประทับรับฟ้องก่อนหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 แต่ปัจจุบัน (กลางเดือนกรกฎาคม) อยู่ในขั้นไต่สวนมูลฟ้อง โดยที่ผ่านมามีการเลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้อง

“หลังฟ้องไปแล้วมีการนัดไต่สวน จำเลยทั้งเก้าได้รับหมายโดยชอบแล้ว แต่พอนัดไต่สวน จำเลยบางส่วนส่งทนายมา แต่บางส่วนไม่มาตามนัด ทำให้การพิจารณาคดีสะดุดลง ระหว่างนั้นจำเลยบางส่วนยื่นหนังสือว่าการฟ้องนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการบรรยายฟ้องที่หนักเกินจริงและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยบอกว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผู้ร่วมชุมนุมมีอาวุธ ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ เป็นการโยนความผิดให้ผู้ตายและผู้ชุมนุม

“ส่วนการเลื่อนนัดไต่สวน ทนายโจทก์แย้งว่าจำเลยไม่มาก็ถือเป็นดุลพินิจศาลที่จะไต่สวนคดีได้ เพราะจำเลยทราบหมายโดยชอบแล้วแต่ไม่มา ซึ่งจำเลยทราบว่าอายุความใกล้หมดแล้วจึงหาวิธียื้อระยะเวลาให้ยาวที่สุด เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่เขา” อูเซ็งกล่าวและเล่าว่าวันนั้นไม่มีการยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แต่ผู้พิพากษามองว่าเป็นคดีสำคัญและได้รับความสนใจจากประชาชนจึงมีการเลื่อนในที่สุด

ทั้งนี้ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 165[2] ให้อำนาจศาลไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยได้ แม้จำเลยจะไม่มาศาล

นอกจากนี้ หากศาลมีคำสั่งว่าคดีมีมูล ขั้นตอนต่อไปคือต้องนัดให้จำเลยมาศาลภายในอายุความ หากไม่มาก็ต้องร้องให้ศาลออกหมายเรียกและหมายจับ แต่หากไม่ได้ตัวจำเลยในกำหนดก็ถือว่าคดีขาดอายุความ ขั้นตอนที่เหลืออยู่ภายในอายุความเท่านี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ความอึดอัดใจตลอด 20 ปี

“อันดับแรกผมอยากขอความยุติธรรมในเหตุการณ์ครั้งนี้” แบมะ (นามสมมติ) หนึ่งในครอบครัวผู้สูญเสียซึ่งร่วมฟ้องคดีบอก

แบมะเล่าว่าเขาสูญเสียพี่ชายไปในเหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนเขายังเด็ก วันนั้นเขาออกไปไถนากับพี่ชายอีกคน ส่วนพี่ชายคนโตไปตลาดเพื่อซื้อเสื้อใหม่ให้คนในบ้านสำหรับใส่วันฮารีรายอ จนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์หน้าสถานีตำรวจและถูกยิงเสียชีวิต

“จนถึงวันนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ก็ยังไม่สบายใจ ยังรอคอยความยุติธรรม คนที่เสียชีวิตก็เป็นคนเหมือนกัน เหตุการณ์นี้มีคนเสียชีวิต 85 ศพ แต่ไม่รู้ว่าสำนวนคดีหายไปไหน ทำไมรัฐไทยไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างจริงใจ ชาวบ้านรู้สึกคาใจว่าทำไมคนร้ายที่กระทำความผิดยังลอยนวลอยู่

“นอกจากนี้มีการโทษว่าคนเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ทั้งที่มันเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่โดยตรง ภาครัฐมีการเยียวยาเป็นเงินมาแล้ว แต่ถามว่ามันพอไหมกับการเสียชีวิตของคนหนึ่งคน บางคนเป็นเสาหลักของบ้าน ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านยิ่งแย่ลง” แบมะเล่าความในใจและบอกว่าขณะนี้อายุความกำลังจะหมดลง ชาวบ้านจึงรวมตัวกันยื่นฟ้องเพราะไม่อยากให้เรื่องจบไปแบบเงียบๆ

“เรารวมตัวพูดคุยกันว่า เราจะให้จบไปโดยไม่เดินเรื่องเลย หรือเราจะลองสู้เพื่อความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับคนที่เสียชีวิต แม้ว่าคนที่เสียชีวิตไม่ได้กลับมาบอกเราว่ามีการทารุณกรรมอะไรบ้าง แต่ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเราถูกกระทำเหมือนสัตว์ ให้นอนทับกันในช่วงที่พวกเราถือศีลอด ชาวบ้านคิดว่าเป็นการจงใจกระทำแบบนี้กับพวกเรา” แบมะกล่าว

การลุกขึ้นมาสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนในพื้นที่ แต่การอยู่กับความอึดอัดใจมาเกือบ 20 ปี ทำให้ผู้เสียหายคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แบมะบอกว่า “หากมีการดำเนินคดี ชาวบ้านจะได้รู้ว่าการเสียชีวิตของครอบครัวเขานั้นไม่สูญเปล่า มีผู้กระทำความผิดจริง ไม่ใช่เพราะขาดอากาศหายใจ”

ที่ผ่านมาเหยื่อในเหตุการณ์ตากใบต้องอยู่ในความกลัว เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ภาครัฐอยากทำให้หายไป มีเพียงไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะกล้าเปิดหน้าสู้ มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เสียงของพวกเขาจะมีตัวตนในสังคมนี้ เช่นเดียวกับการเดินขึ้นศาลครั้งนี้ แม้ศาลจะยังไม่ประทับฟ้อง แต่ในการไต่สวนมูลฟ้องทำให้ญาติผู้สูญเสียบางคนมีโอกาสพูดระหว่างการแถลงคัดค้านการเลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้อง โดยมีถ้อยคำบางส่วนดังนี้

“คิดวนเวียนอยู่ตลอดถึงเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คนทำให้นอนทับกัน 4-5 ชั้น ที่ติดใจที่สุดคือการตายเป็นเพราะการขาดอากาศหายใจ เมื่อเจ้าหน้าที่เยียวยาและช่วยเหลือส่วนหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่เท่ากับชีวิตพี่ชายที่เสียไป ตากใบเป็นบทเรียนของรัฐที่โหดร้ายที่สุด เป็นประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุด อยากให้คนกระทำความผิดถูกนำตัวมารับโทษ”

“เกือบ 20 ปีผ่านมา ความยุติธรรมที่ต้องการคือการได้รับคำขอโทษ อยากรู้ถึงสาเหตุที่ให้คนมานอนทับกันแบบนั้น ตนจำไม่เคยลืมเหมือนเหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้น อยากให้ศาลดำเนินคดีเสร็จด้วยความรวดเร็ว นำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบและรับโทษตามความผิดที่เขาทำ ที่ผ่านมาแม้ได้รับเงินเยียวยามาบ้าง และตัวเงินก็พอช่วยเหลือได้บ้าง แต่หากต้องเลือกจะขอให้ไม่ต้องเกิดเหตุเช่นนี้และไม่มีผู้ใดต้องเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือพิการตลอดชีวิตอีก”

“ตอนเกิดเหตุ ไม่รู้ว่าสามีเสียชีวิตเพราะเหตุอะไร ไม่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกต้องกำพร้า รัฐบอกว่าจะดูแล แต่เงินชดเชยไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่อยากได้คือรัฐแสดงความรับผิดชอบ ขอโทษต่อประชาชน ทำไมตอนนั้นโหดร้ายกับชาวบ้านเช่นนั้น”

“ถ้าคดีหมดอายุความก็จะติดค้างอยู่ตลอดไป และอยากให้ตุลาการศาลเป็นกลไกในการช่วยเหลือให้ได้ความจริง”

“หากปล่อยให้คดีหมดอายุความเท่ากับซ้ำเติมเหตุการณ์ เหตุการณ์ตากใบเป็นเหตุการณ์ที่กระทำโดยเจตนาจากการให้นอนทับกันในขณะอดอาหารในเดือนรอมฎอน ถ้าอยากให้ชาวบ้านไว้ใจ ต้องให้ความยุติธรรม นำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ”

ในความกลัวยังมีความกล้าหาญ

เหตุการณ์ตากใบเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน ภายใต้การควบคุมพื้นที่โดยอำนาจทหารและการใช้กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิประชาชนได้หลายประการ ทั้งหมดนี้สร้างบรรยากาศให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่

แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองโดยทหารอย่างโจ่งแจ้งแล้ว แต่คนในพื้นที่ชายแดนยังต้องอยู่ในภาวะการถูกควบคุมจับตาโดยทหารเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด 20 ปี การลุกขึ้นมาฟ้องร้องคดีตากใบครั้งนี้จึงต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างสูง

อูเซ็งบอกว่าระหว่างการรวมตัวกลุ่มญาติเพื่อยื่นฟ้องนี้ อยู่ๆ ญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบก็ได้รับหมายให้ไปพบตำรวจ โดยแจ้งว่าเป็นการเรียกสอบปากคำในฐานะพยานโดยไม่มีการทำความเข้าใจ ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเรียกสอบในคดีเก่า ไม่ใช่คดีที่กำลังยื่นฟ้อง ทำให้คนที่ถูกเรียกเกิดความกังวลและชาวบ้านบางส่วนถอนตัวจากการฟ้องคดีปัจจุบันด้วยความกลัว

“ปัจจัยหลักที่ทำเกิดการคุกคามชาวบ้านในพื้นที่คือการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะกฎอัยการศึก แม้ผู้ใช้อำนาจคือทหาร แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นก็จะอ้างกฎหมายพิเศษมาคุกคามชาวบ้านด้วย จนเกิดการใช้อำนาจตามอำเภอใจ บางทีเจ้าหน้าที่ก็ขับรถเข้าไปหาชาวบ้านหลายคันพร้อมปืน สร้างความกังวลใจให้ชาวบ้าน” อูเซ็งบอก

แบมะเล่าเสริมว่า สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้คนในพื้นที่คือการที่เจ้าหน้าที่ไป ‘เยี่ยมบ้าน’ ทั้งที่ชาวบ้านไม่อยากคุยกับเจ้าหน้าที่ เพราะรู้สึกกลัว ไม่สบายใจ ช่วงที่มีการเตรียมยื่นฟ้องคดี มีครอบครัวผู้เสียชีวิตเจอคนอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบมาหาแล้วบอกให้ไปคุยเรื่องคดีตากใบกับเจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจโดยจะให้ค่ารถ โดยข่มขู่ว่าถ้าไม่ไปจะออกหมายจับ นอกจากนี้ยังมีการกดดันมาผ่านทางกำนันผู้ใหญ่บ้านให้ชาวบ้านไปพบตำรวจ

ซาฮารี เจ๊ะหลง ภาคประชาสังคมในพื้นที่ชายแดนใต้เล่าว่า เรื่องตากใบสร้างความกลัวให้ชาวบ้าน เพราะอำนาจรัฐไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองและพยายามทำให้ประชาชนลืม

“ประชาชนในสามจังหวัดไม่มีใครกล้าฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ ต่างจากพื้นที่อื่นในประเทศไทยที่สามารถฟ้องรัฐได้ ปัญหาสามจังหวัดเป็นปัญหาการเมือง เป็นผลที่เกิดขึ้นเกิดจากปฏิบัติการทางการทหาร เป็นผลพวงจากปัญหาการเมืองที่ไม่คลี่คลายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นับแต่มีการปฏิรูปโครงสร้างมหาดไทย เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่อดีตแล้ว กระบวนการยุติธรรมในสามจังหวัดก็มีปัญหาถึงกับทำให้ผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะยิงตัวตายในศาล

“พื้นที่สามจังหวัดมีอำนาจพิเศษซ้อนกันด้วยกฎหมายพิเศษหลายฉบับ ทำให้ประชาชนในสามจังหวัดอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษที่เอาผิดเจ้าหน้าที่เมื่อมีการละเมิดสิทธิไม่ได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจที่ล้นเกินแก่เจ้าหน้าที่” ซาฮารีมองว่าสังคมแบบนี้ผิดปกติมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือมีคนหนีหมายจับเพราะไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญโดยที่ยังไม่ผ่านการพิพากษาในศาล แล้วคนที่รายงานข่าวนี้ก็ถูกคุกคามถูกฟ้อง ส่วนใหญ่โดนมาตรา 116

“สถานการณ์แบบนี้เหมือนเราอยู่ในคุก ต้องทำตัวเองให้เชื่อง พูดข้อเท็จจริงในพื้นที่ได้ยาก” ซาฮารีกล่าว

ซาฮารี เจ๊ะหลง (ภาพจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย)

“สามจังหวัดยังไม่มีความยุติธรรม”

“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ต้องการความกล้าหาญจากชาวบ้าน แต่ภาครัฐต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้เกิดความยุติธรรมด้วย เช่น การคุ้มครองพยาน ที่ยังไม่เกิดขึ้น”

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทยกล่าว เขามองว่าแม้ที่ผ่านมาเหยื่อในเหตุการณ์ตากใบจะเคยได้รับการเยียวยาด้วยเงินแล้ว แต่นั่นยังไม่เพียงพอสำหรับสิทธิในการเข้าถึงการเยียวยา ซึ่งต้องมีทั้งการเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และการชดเชยเยียวยา

“แอมเนสตี้ฯ พยายามเรียกร้องว่าต้องคืนความยุติธรรมให้เหยื่อตากใบ แรกสุดคือศาลต้องรับฟ้องคดีโดยไม่ปล่อยให้หมดอายุความ ซึ่งจะไม่ใช่แค่สูญเสียโอกาสคืนความยุติธรรม แต่ยังเสียโอกาสการสร้างแนวปฏิบัติเพื่อให้ภาครัฐจัดการดูแลการชุมนุมให้ดีขึ้น และเป็นแนวทางให้เหยื่อกลุ่มอื่นที่ถูกละเมิดสิทธิจากกการชุมนุมเข้าถึงความยุติธรรมได้

“ปัญหาตากใบเป็นตัวอย่างที่สะท้อนบรรยากาศในพื้นที่ชายแดนใต้ ภาครัฐต้องกลับไปพิจารณากฎหมายเชิงโครงสร้าง กฎหมายพิเศษต่างๆ ต้องแก้ไขหรือยกเลิก ภาครัฐต้องกลับมาทบทวนและฟังเสียงประชาชนว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต้องมีการเยียวยาชดเชยเพิ่มเติมไหม เพราะผลกระทบเกิดขึ้นกับเขาทั้งชีวิต” ชนาธิปกล่าว

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ (ภาพจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย)

สำหรับอูเซ็งในฐานะทนาย เขามองว่าปลายทางคำพิพากษาเป็นสิ่งที่ยาวไกลเกินไป ก่อนอื่นอยากเห็นศาลสั่งว่าคดีมีมูล อยากให้ปฏิบัติกับประชาชนที่เสียชีวิตไปอย่างให้คุณค่า หากคดีนี้มีทิศทางในแง่ดีอาจทำให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้

“หากคดีไม่สำเร็จก่อนหมดอายุความ จะมีผลให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล ในพื้นที่ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้ชาวตากใบ ยังมีกลไกอื่นเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลให้ความสำคัญ เราจำเป็นต้องเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่รุนแรงและทารุณโหดร้าย ไม่ว่าต่อการชุมนุมหรือควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือผู้ต้องสงสัยในพื้นที่ รัฐต้องทำตามสิ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้” อูเซ็งกล่าว

เหตุการณ์ตากใบเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของความขัดแย้งชายแดนใต้ แน่นอนว่าความยุติธรรมในคดีนี้จะเป็นหนึ่งปมสำคัญต่อความขัดแย้งในพื้นที่ โดยซาฮารีมองว่าถ้ามีความยุติธรรมในคดีตากใบ ชาวบ้านจะเห็นความจริงใจของรัฐ

“ความจริงใจเป็นนามธรรม แต่จะเห็นเป็นรูปธรรมได้ด้วยการปฏิบัติของรัฐ” ซาฮารีบอกว่าภาคประชาสังคมยังต้องเดินหน้างานที่ทำอยู่คือ การทำให้คนในพื้นที่ซึ่งมีอัตลักษณ์แตกต่างจากคนในพื้นที่อื่นเชื่อมั่นในสันติวิธีและประชาธิปไตย ซึ่งเขาคิดว่ารัฐบาลควรมีอำนาจและบทบาทในการจัดการมากกว่านี้ เพราะ 20 ปีที่ผ่านมารัฐบาลให้ทหารแก้ปัญหาและใช้งบประมาณเยอะมาก หากใช้ทหารนำก็จะนำไปสู่ความรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา

ในฐานะหนึ่งในผู้ฟ้องคดี แบมะมีความหวังในการดำเนินคดีครั้งนี้ เพื่อว่าชาวบ้านจะได้รู้ว่าการเสียชีวิตของครอบครัวเขานั้นไม่สูญเปล่า มีผู้กระทำความผิดจริง ไม่ใช่เพราะขาดอากาศหายใจ

“ถ้าสุดท้ายคดีหมดอายุความโดยไม่มีความยุติธรรม ความรู้สึกเราก็จะยังฝังใจ ยิ่งรู้สึกแย่ลง แม้อายุความของคดีหมด แต่ความรู้สึกยังอยู่ ความทรงจำ ประวัติศาสตร์ การสูญเสียยังอยู่ หากไม่มีการแก้ปัญหาใดเลย สามจังหวัดก็ยังไม่มีความยุติธรรม” แบมะบอก

ท่ามกลางเวลาที่กำลังนับถอยหลังหมดลง สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีตากใบสะท้อนไปถึงภาพใหญ่ของสังคมไทย กระบวนการยุติธรรมไทยและวิธีคิดของรัฐไทย ท่ามกลางโอกาสอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ สิ่งที่ชาวบ้านผู้สูญเสียที่ตากใบรอคอยคือ ความตั้งใจของภาครัฐในการให้ความเป็นธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อมาสองทศวรรษ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ซึ่งไม่อาจแก้ได้ด้วยความรุนแรง

References
1 งานเสวนา ‘นับถอยหลัง 1 ปี ก่อนคดีหมดอายุความตากใบ’ ที่ อบต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 จัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และสมัชชาภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP)
2 ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง โดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save