ด้วยเหตุผลที่เดือนมิถุนายนนี้เป็นวาระครบ 92 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ผมขอถือโอกาสเขียนบทความถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่นี้ โดยเน้นอีกครั้งว่าคณะราษฎรหาได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แต่คณะราษฎรดำเนินการให้เกิดความผาสุกทางเศรษฐกิจแก่ราษฎรเป็นสำคัญอีกด้วย
ทั้งนี้ ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ได้ศึกษา ค้นคว้าและเผยแพร่บทบาทด้านเศรษฐกิจของคณะราษฎรมาตลอด แล้วยังเน้นให้เห็นว่า นี่เป็นทั้งรากฐาน ทั้งอุดมการณ์และบทบาททางการเมืองของผู้ก่อการด้วย ผู้เขียนได้ค้นคว้าและสัมภาษณ์อาจารย์ ฉัตรทิพย์ นาถสุภาในประเด็นนี้ แล้วนำมาเรียบเรียงดังนี้
“…เมื่อข้าพเจ้าไปสัมภาษณ์ท่านอาจารย์ปรีดี (พนมยงค์-ขยายความโดยผู้เขียน) ที่ปารีส (ฝรั่งเศส) วันที่ 10 เมษายน 2525 ท่านอาจารย์ได้บอกว่า เมื่อคณะราษฎรยึดอำนาจได้ ได้เสนอสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้พระราชบัญญัติห้ามยึดทรัพย์กสิกร เปลี่ยนอาญาสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินที่จะยึดทรัพย์ของชาวนาจนกระทั่งลูกเมียได้ให้เลิกทันที เลิกภาษีรัชชูปการ ปรับปรุงการภาษีอากร ก่อตั้งระบบเทศบาล พยายามเปลี่ยนระบบราชการเก่า ให้ข้าราชการพลเรือนมีสอบแข่งขัน ไม่ให้เชื่อไสยศาสตร์ ออกพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม จัดให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้นกับกระทรวงการคลัง…”[1]
คำสัมภาษณ์อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษและผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยอาจารย์ฉัตรทิพย์เมื่อเมษายน 2525 หรือ 42 ปีมาแล้ว ให้ความแจ่มชัดอย่างน้อยสองประการ
ประการแรก การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยคณะราษฎรไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น แต่ยังต้องการเปลี่ยนระบบสังคมและระบบการปกครองเพื่อให้นำไปสู่ความเจริญของประเทศ
ประการที่สอง ความเจริญของประเทศตามความคิดของสมาชิกคณะราษฎร ซึ่งมีด้วยกันหลายท่านมีความเกี่ยวข้องกับ แนวคิดการเป็นสมัยใหม่ (modernity) อีกด้วย
แนวคิดการเป็นสมัยใหม่ยังมีได้หลายแนวทาง ซึ่งอาจารย์ฉัตรทิพย์ได้ศึกษาค้นคว้าไว้อย่างน่าสนใจ จนกระทั่งผู้เขียนมีความเห็นว่า แนวคิดของสมาชิกคณะราษฎรไม่ใช่เรื่องเชิงอุดมคติ จับต้องได้ยาก ไร้แผนงานและระบบคิดทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามมันมีระบบคิดทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน น่าสนใจและเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ทว่าระบบคิดทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนนี่เองได้นำอันตรายมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และเหล่าผู้ก่อการทั้งหลาย ด้วยการตอบโต้ทางการเมืองอย่างแยบยลจากฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายนิยมเจ้า จนเกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสองฝ่ายนี้สืบเนื่องในเวลาต่อมา ในที่นี้ผมจะยังไม่เน้นไปยังการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต้องการนำเสนอแนวคิดการเป็นสมัยใหม่ของสมาชิกคณะราษฎรตามที่อาจารย์ฉัตรทิพย์ศึกษาเป็นหลัก เพื่อเข้าใจถึง แก่นกลาง ระบบคิดทางเศรษฐกิจอันสำคัญนับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา
รากฐานอุดมการณ์คณะราษฎร
จากการศึกษาของอาจารย์ฉัตรทิพย์ หมุดประชาธิปไตยที่คณะราษฎรประดิษฐานลง ณ ที่ลานพระรูปทรงม้า มีถ้อยคำจารึกไว้ว่า “…ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ…”
รัฐธรรมนูญฉบับแรก คือพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ก็มีถ้อยคำว่า “…คณะราษฎรได้ขอร้องให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม เพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น…”[2]
นอกจากนี้ อาจารย์ปรีดียังระบุในเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า “…ในการทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ซึ่งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เปลือกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งต่อสาระสำคัญคือ บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร…”
อุดมการณ์ของการปฏิวัติ 2475 คือการเปลี่ยนระบบสังคม ล้มระบบศักดินา ก่อตั้งระบบใหม่ คณะราษฎรต้องการให้ช่วงหลังจาก 2475 ต่างอย่างมากกับช่วงสมัยก่อนหน้านั้น เมื่อคิดถึงว่าสังคมไทยเคยชินกับการมีระบอบพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิ์ติดต่อกันตลอดมาหลายร้อยปี และคณะราษฎรประกาศเลิกระบอบดังกล่าว อีกทั้งประกาศจะสถาปนาชาติไทยที่เจริญรุ่งเรืองราษฎรมีความสุขสมบูรณ์ หรือที่ประกาศฉบับที่ 1 ของคณะราษฎรที่เรียกว่าสมัย ‘ศรีอาริย์’ เห็นได้ว่าคณะราษฎรมีจุดหมายเกินกว่าระบอบการปกครอง แต่ไปถึงระบบสังคมและวัฒนธรรม มุ่งสู่การก่อตั้งอีกสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย โดยคณะราษฎรก็มีอำนาจรัฐอยู่จนช่วงระยะเวลาหนึ่ง คือจนถึง ค.ศ. 1941 หรือ พ.ศ. 2484 ที่ญี่ปุ่นบุกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างน้อย[3]
อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่าประสบการณ์ของ 2475 และช่วงประมาณสิบปีหลังจากนั้น คือประสบการณ์และการต่อสู้กันของแนวคิดการเข้าสู่สมัยใหม่ของไทย เป็นจุดสำคัญที่สุดว่า เราจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนจากยุคสมัยหนึ่งไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง
อาจารย์ฉัตรทิพย์ได้สรุปการกระทำของคณะราษฎรที่พยายามก่อตั้งอีกสมัยหนึ่งของไทย โดยเฉพาะที่พยายามล้มระบบศักดินาและพยายามมุ่งสู่การสถาปนายุคศรีอาริยะของราษฎรคือ ประกาศฉบับที่ 1 ของคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ที่มีข้อความในลักษณะนี้ชัดเจนมากกว่าในเอกสารอื่นใดที่ปรากฏต่อมา โดยมีข้อความว่า “…ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์…” และคณะราษฎรคิดถึงจะตั้งระบอบสาธารณรัฐ หากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงยอมเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในประกาศฉบับที่ 1 คณะราษฎรยังระบุว่าจะทำกิจอันคงจะอยู่ชั่วดินฟ้า สร้างยุคศรีอาริย์ที่ราษฎรสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ พ้นจากสมัยที่เจ้าทำนาบนหลังราษฎร ราษฎรพ้นจากความเป็นไพร่ เป็นข้า มีเสรีภาพ
ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับแรก หรือพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475 มาตรา 1 ก็ระบุว่า “…อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของราษฎรทั้งหลาย…”
ในประกาศฉบับที่ 1 นั้น คณะราษฎรได้ประกาศหลัก 6 ประการ ที่จะยึดถือในระบอบการปกครองประเทศหลัง 2475 คือ
1) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
2) จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3) จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4) จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรดังที่เป็นอยู่)
5) จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้น
6) จะต้องให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
ความเป็นสมัยใหม่ ปฏิบัติการของคณะราษฎร
อาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่า คณะราษฎรต้องการให้ประเทศของเราเข้าสู่การเป็นสมัยใหม่ของเราเอง แต่ก็ไม่ใช่ลอกแบบระบบตะวันตก โดยการเป็นสมัยใหม่[4] ในแบบของไทยนั้น หมายถึงการปฏิเสธระบบเดิมแต่เฉพาะส่วนบน และขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของส่วนล่างและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับส่วนล่าง หรือกล่าวอีกอย่างคือมุ่งให้สังคมไทยสมัยใหม่หลัง 2475 เป็นระบบของราษฎรไทย
ด้วยเหตุนี้ คณะราษฎรจึงเรียกชื่อตัวเองว่าคณะราษฎร โดยมีประกาศของคณะฉบับที่ 1, หลัก 6 ประการของคณะ, ธรรมนูญการปกครองฉบับแรก และเค้าโครงการเศรษฐกิจ เป็นหลักการที่ให้อำนาจ ฟื้นฟู พัฒนา และให้บทบาทในขั้นสุดท้ายเต็มที่แก่ราษฎร
ปรีดี พนมยงค์ และคณะ ให้ความสำคัญอย่างที่สุดต่อสถาบันชุมชนท้องถิ่นของราษฎร เพราะสถาบันของสังคมและวัฒนธรรมไทยเราเองถูกคลุมจากข้างบนหรือถูกกดทับโดยรัฐแบบศักดินามาตลอด คณะราษฎรจึงพยายามจะก่อตั้งรัฐแบบใหม่ โดยเป็นรัฐที่ปลดปล่อย ส่งเสริมและช่วยเหลือสถาบันชุมชนของประชาชน ซึ่งอาจารย์ปรีดีให้สัมภาษณ์ว่าจะมุ่งปรับให้ตำบลเป็นองค์กรนำสังคมไทยสมัยใหม่ เป็นสหกรณ์เป็นผู้ผลิตทางเศรษฐกิจ มีความสามารถปกครองตนเอง และสามารถให้บริการสาธารณะและการศึกษาในพื้นที่
ในทางวัฒนธรรม หนังสือ ‘ปรัชญาของสยาม’ ของจำกัด พลางกูร (1914-1943) ที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2479 ซึ่งเสนอว่าไทยเดินมาถึง Renaissance ของวัฒนธรรม ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก โดยอาจารย์ฉัตรทิพย์เห็นว่าจำกัดใกล้ชิดกับอาจารย์ปรีดี มาก และคณะปัญญาชนสายชาวบ้านอีสาน เพื่อนของจำกัด ก็อยู่ฝ่ายเดียวกับอาจารย์ปรีดี อาจารย์ฉัตรทิพย์คิดว่าภายใต้แนวคิดหลัง 2475 ของคณะของอาจารย์ปรีดี ระบบวัฒนธรรมของไทยจะพัฒนา ถักทอ จากวัฒนธรรมพื้นถิ่นของประชาชน รวมถึงอีกส่วนหนึ่งจากศาสนาพุทธแบบชาวบ้าน ที่อาจารย์ปรีดีสนใจและคุ้นเคย เช่นในแบบของท่านพุทธทาสภิกขุ พระชาวบ้านที่อาจารย์ปรีดีชื่นชอบ[5]
ในแนวคิดของจำกัดที่บอกว่าไทยมาถึง Renaissance หรือที่จำกัดแปลเป็นไทยว่า “ในสมัยปุณรุชชีพ” นี้ จำกัดเขียนว่า “…พละของคนไทยได้นอนหลับฝังอยู่ในภวังค์ (unconscious) แห่งดวงจิตต์มานานแล้ว ถึงเวลาที่จะระเบิดออกมาผลิตอดออกผลเป็นวัฒนธรรมไทยใหม่ เช่นในสมัยปุณรุชชีพแห่งตะวันตก เป็นต้น…”
ในความคิดของอาจารย์ฉัตรทิพย์ จำกัดอาจเห็นว่าไทยเรามีอารยธรรมมานานแล้ว หรือมีนัยว่าไทยมีรากฐานวัฒนธรรมที่มีค่าสูงอยู่เดิม แต่ได้ถูกลืมหรือถูกกดลงไปอยู่ในจิตไร้สำนึก และควรที่จะได้รับการปลุกขึ้นมาอยู่ในจิตสำนึก ผสมผสานกับความเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ นำประเทศให้ทะยานรุ่งเรืองขึ้น[6]
อาจารย์ฉัตรทิพย์ยังเห็นว่า เนื่องจากจำกัดเขียนหนังสือหลังการเปลี่ยนแปลงปี 2475 เพียง 4 ปีหลังจากนั้น จำกัดคงหมายว่าการเปลี่ยนแปลงจะทลายฝาที่กั้นฝั่งประชาชนและวัฒนธรรมของเขา เปิดทางให้สยามก้าวเข้าสู่โลกใหม่ อันมีฐานอยู่กับพลังประชาชนและวัฒนธรรมของตัวเอง
การค้นคว้าของอาจารย์ฉัตรทิพย์ในเรื่องการเปลี่ยนระบบสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจของคณะราษฎร ซึ่งอาจารย์ได้นำมาเน้นย้ำและถ่ายทอดต่อเนื่อง รวมถึงการนำเสนอแนวคิดของอาจารย์เองในเรื่องความเป็นสมัยใหม่ และการหยิบยกประเด็น Renaissance ที่จำกัดอธิบายไว้มาอภิปราย ล้วนเป็นการค้นคว้าฐานคิด อุดมการณ์ของฝ่ายก้าวหน้าของคณะราษฎร ที่เราควรศึกษากันต่อไป
[1] ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์, 2526
[2] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และพระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 (กรุงเทพฯ : สถาบันปรีดี พนมยงค์ 2550) : 55-56.
[3] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา การเป็นสมัยใหม่กับแนวคิดชุมชน (บริษัท สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ จำกัด 2553) : 132.
[4] อาจารย์ฉัตรทิพย์สรุปว่า การเป็นสมัยใหม่หมายถึงวิถีชีวิตสังคมหรือองค์กรสังคมที่เกิดขึ้นในยุโรปจากศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ซึ่งต่อมามีอิทธิพลไปทั่วโลกไม่มากก็น้อย อ้างจาก Anthony Geddens, The Consequences of Modernity, 1990
[5] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อ้างแล้ว : 133.
[6] เพิ่งอ้าง.,