การรายงานข่าวไม่ใช่อาชญากรรม หยุดสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว

จากที่มีการจับกุม ณัฐพล เมฆโสภณ ผู้สื่อข่าวประชาไท และณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ ช่างภาพอิสระ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 จากการทำหน้าที่รายงานข่าวศิลปินพ่นสัญลักษณ์ไม่เอา 112 และสัญลักษณ์อนาธิปไตยบนกำแพงวัดพระแก้วเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ โดยมีการควบคุมตัวและไม่ให้สิทธิประกันตัว

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการจับกุมคุมขังผู้ที่แสดงออกทางการเมืองหลายกรณี ทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน จนถึงการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวให้ปกคลุมสังคมไทย

101 ชวนบรรณาธิการหลายสำนักข่าวให้ความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อยืนยันสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนในการทำหน้าที่นำเสนอข่าว

เมื่อการรายงานข่าวไม่ใช่อาชญากรรม ผู้สื่อข่าวไม่ใช่อาชญากร สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตย

“การสานต่อบทสนทนาที่ดี (healthy conversation) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความเปลี่ยนทางการเมืองและเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระดับโลก

“เสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ไม่ใช่เฉพาะสื่อสารมวลชนแต่กับประชาชนทุกคน”

นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์

บรรณาธิการบริหาร TODAY

“การจับกุมนักข่าวประชาไทและช่างภาพอิสระครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นปัญหา 3 เรื่องใหญ่ๆ

“1. คนไทยบางกลุ่มยังสนใจความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง เห็นได้จากคอมเมนต์ตามเพจข่าวต่างๆ ที่สนับสนุนการจับกุมครั้งนี้ โดยคล้อยตามคำอธิบายของเจ้าหน้าที่รัฐที่ว่าการไปทำข่าวการพ่นสเปรย์บนกำแพงวัดพระแก้ว เมื่อปี 2566 เป็นการ ‘สนับสนุนการกระทำความผิด’ ทั้งที่สื่อมวลชนเป็นเพียงผู้บันทึกเหตุการณ์และนำเสนอข้อเท็จจริง ซึ่งหากยึดตามตรรกะเดียวกัน การไปทำข่าวการรัฐประหาร, ทำข่าวอาชญากรรม, ทำข่าวการใช้อำนาจโดยมิชอบ, ทำข่าวการทุจริตของผู้มีอำนาจ ก็ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดด้วยหรือไม่ – เราอยากให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ข้ออ้างนี้มาจับกุมสื่อฯ ได้จริงๆ หรือ

“2. การใช้อำนาจแบบเหวี่ยงแหของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีคำถามเรื่องความรับผิดชอบ หากท้ายสุดแล้ว การใช้อำนาจนั้นเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง ใครจะเป็นผู้ต้องรับผิด ตำรวจชุดที่ไปจับกุม? นายตำรวจระดับสูง? เพราะก่อนหน้านี้ ช่างภาพอิสระที่ถูกจับกุมล่าสุดเคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามที่พัก แต่ถึงปัจจุบันยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบใดๆ

“3. การมีอยู่ขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ควรเป็นปากเสียงแทนนักข่าวและช่างภาพในสนาม แต่ปฏิกิริยาจากผู้บริหารองค์กรวิชาชีพสื่อฯ หลังเกิดเหตุ กลับโยนภาระให้สื่อฯ ที่ถูกจับกุมไปสู้คดีในชั้นศาล และหากอยากให้องค์กรวิชาชีพสื่อฯ ช่วยเหลือก็แจ้งมา ไม่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่ของตัวเองแต่อย่างใด ทั้งที่บางคนก็อยู่ในองค์กรวิชาชีพสื่อฯ มาเป็นทศวรรษ นำไปสู่คำถามตัวโตๆ จากสื่อมวลชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ทำข่าวจริงๆ ว่า เราจะมีองค์กรเหล่านี้ไว้ทำไม ถ้ามีแล้วไม่ทำงาน

“ปัญหาทั้งหมดที่ไล่เรียงมานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เหตุการณ์ล่าสุดเพียงตอกย้ำว่าแม้จะผ่านเข้าสู่รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่การใช้อำนาจเพื่อลดทอนเสรีภาพในการทำงานของสื่อมวลชนก็ยังมีอยู่ เราต้องยืนยันหลักการว่า ‘การไปทำข่าวไม่ใช่อาชญากรรม’ ไม่เช่นนั้นต่อไปผู้มีอำนาจก็จะใช้ข้ออ้างนี้ในการปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชน ผ่านการสร้างความหวาดกลัว ไม่ให้สื่อฯ มืออาชีพได้ทำงานตามที่สังคมคาดหวัง”

พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

บรรณาธิการบริหาร Nation STORY

“ความรู้สึกแรกคือ สื่อมวลชนถูกจับจากการรายงานข่าว มันเป็นไปได้อย่างไร?

“ยิ่งพอรู้ว่าเป็นการจับกุมตามหมายจับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2566 ยิ่งทำให้เกิดคำถามหลายอย่างขึ้นในหัว สิ่งที่ต้องคิดต่อในฐานะสื่อคือ กรณีแบบนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่รัฐต่อการทำหน้าที่สื่อมวลชนหลังจากนี้หรือไม่

“ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในเวลานี้คือ ข้อเท็จจริงที่นำมาสู่การออกหมายจับเพียงเพราะเป็นการปฏิบัติการรายงานข่าวตามขั้นตอนในสถานการณ์ปกติหรือมีพฤติการณ์อื่นๆ แวดล้อมที่นำมาประกอบการดำเนินคดีด้วย เพราะหากข้อเท็จจริงนี้ไม่ชัดเจน เส้นแบ่งไม่ชัดเจน อาจทำให้สังคมตั้งคำถามและกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนในอนาคต ซึ่งอาจรวมไปถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

“ที่สำคัญ องค์กรสื่อ รวมถึงองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชนต่างๆ ควรแสดงบทบาทต่อกรณีนี้ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนหลังจากนี้”

อรุชิตา อุตมะโภคิน บรรณาธิการข่าว ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ (The Active) Thai PBS

“นักข่าวที่ไปทำข่าวตามหน้าที่ มิอาจเป็นอาชญากรในสายตารัฐ เราไม่ใช่คู่ขัดแย้งของฝ่ายใด แต่เราทำงานเพื่อสื่อสารทุกข้อเท็จจริงไปยังสังคม

“สังคมลงโทษสื่อได้ถ้าเราออกนอกมาตรฐานวิชาชีพ ถ้าเราไม่ช่วยกันปกป้องสื่อที่ทำหน้าที่ ผลลัพธ์ของวันนี้ อาจกลายเป็นเราเองสักวันในอนาคต”

ธนกร วงษ์ปัญญา บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard

“ผิดหวังกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อสื่อมวลชน

“การรายงานข่าวทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นประกอบเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ใช่ ‘การสนับสนุน’ ให้ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำความผิด

“การเสนอข้อเท็จจริงแล้วถูกเอาผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ย่อมมีผลต่อบรรยากาศการทำงานของสื่อในภาพรวม แต่ผมคิดว่าท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขณะนี้จะเป็นแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่รัฐกลับมารักษาบรรยากาศและความยุติธรรมให้สังคมประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้ดีกว่าที่เป็น”

วรรณโชค ไชยสะอาด

บรรณาธิการอาวุโส Voice Online

“กรณีนี้คล้ายกับกรณีที่ประชาชนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เรื่องอื่นๆ คือ มีกระบวนการที่รวบรัด ขั้นตอนการขอหมายจับ-การควบคุมตัวที่ผิดปกติ และลงท้ายบทสรุปด้วยการไม่ให้ประกันตัว ราวกับว่าพวกเขาทำอาชญากรรมร้ายแรง ทั้งที่ในความเป็นจริง ยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ว่าพวกเขาทำอะไรที่ผิดจากมาตรฐานการทำงาน

“เรื่องต่อมาคือหากทั้งสองคนถูกกล่าวหาว่า ‘สนับสนุน’ การทำลายโบราณสถานด้วยการ ‘ทำข่าว’ ก็แปลว่าประเทศนี้ผิดปกติอย่างมาก

“ในมุมของรัฐและฝ่าย ‘ความมั่นคง’ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจเต็มเรื่องนี้) ดูเหมือนต้องการใช้กรณีนี้ข่มขู่ให้สื่อมวลชนมี ‘ระยะห่าง’ กับนักกิจกรรม ให้สื่อทั้งกระแสหลัก กระแสรอง สื่อพลเมือง ระมัดระวังมากขึ้นในการรายงานความเคลื่อนไหวของนักกิจกรรม ทำให้องค์กร ทำให้กองบรรณาธิการหวาดกลัวมากขึ้นในการรายงานข่าว ซึ่งวิธีการแบบนี้ใช้มาหลากหลายครั้งในประเทศเผด็จการ แต่ยังไม่ได้ถูกใช้มากนักในประเทศไทย ดูเป็นการปิดปากสื่อ ที่ทำให้การรายงานข่าวต้อง ‘ตรวจทาน’ มากขึ้นในการนำเสนอประเด็นใดๆ รวมถึงหากเรื่องนี้เป็นขบวนการก็อาจทำให้บรรดาสื่อสำนักเล็กๆ ทำงานในสนามได้ยากขึ้น สื่อสำนักใหญ่ๆ ก็อาจมีกระบวนการเซ็นเซอร์ตัวเองสูงขึ้น

“น่าแปลกที่เป็นความเคลื่อนไหวในห้วงเวลาเดียวกัน สอดรับกันพอดีกับการจัดการฝ่ายนักกิจกรรม และการปลุกกระแส ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ ขึ้นมาพอดี รวมถึงดูจะเป็นการทดสอบกระแสบางอย่าง ซึ่งหากสื่อมวลชนนิ่ง ยอมให้รัฐใช้วิธีการจัดการแบบนี้ ก็อาจหมายความว่ารัฐอาจใช้วิธีแบบนี้ได้ต่อไปเรื่อยๆ

“ทั้งหมดนี้ สุ่มเสี่ยงทำให้อันดับเสรีภาพสื่อมวลชนที่ปีที่แล้วอยู่ในอันดับที่ 106 ของโลก จากการจัดอันดับของ Reporters Without Borders ย่ำแย่ลงไปอีก เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดประชาธิปไตยของไทย (Democracy Index) ที่จัดอันดับโดย EIU ก็จะย่ำแย่ลงไปอีกเหมือนกัน แทบไม่ต้องไปคิดถึงการเป็นคณะมนตรีความมั่นคงสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเลย

“กรณีนี้สื่อมวลชนอาจต้องรวมกันหนักแน่นขึ้น เพื่อยืนยันหลักการ ยืนยันหลักสิทธิเสรีภาพว่าการทำข่าว รายงานข่าว ไม่ใช่อาชญากรรม และตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้หนักแน่นขึ้นว่ากำลังเป็นเครื่องมือของใคร และของอะไรหรือไม่”

สุภชาติ เล็บนาค บรรณาธิการบริหาร The Momentum

“สิ่งที่พวกเราในฐานะสื่อมวลชนควรช่วยกันส่งเสียง คือการย้ำหลักการว่าการรายงานข่าวตามข้อเท็จจริงไม่ใช่อาชญากรรม การรายงานข่าวไม่เพียงแค่เป็นเสรีภาพสื่อที่ถูกคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แต่ยังเท่ากับเสรีภาพของประชาชนที่จะได้รับข้อมูลข่าวสาร

“การจับกุมสื่อมวลชนเพราะเขาไปรายงานข่าว ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย ถ้าหากหน้าที่ขั้นพื้นฐานอย่างการรายงานข้อเท็จจริงถูกเจ้าหน้าที่รัฐมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ถ้าพวกเราในฐานะสื่อมวลชนยังคงเงียบและไม่ออกมาส่งเสียงใดๆ เพดานเสรีภาพสื่อในอนาคตก็จะถูกกดลงมาเรื่อยๆ จนการตั้งคำถามต่อรัฐก็อาจจะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม

“สื่อไม่ใช่กระบอกเสียงของรัฐและการรายงานข่าวเป็นสิทธิอันชอบธรรมของสื่อมวลชน สังคมจึงควรจะมีสิทธิที่จะได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งความคิดเห็น ข้อเรียกร้อง และเสียงของผู้ที่ถูกทำให้ไม่มีเสียงในสังคม

“เสรีภาพสื่อเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของสังคมประชาธิปไตย ยิ่งในวันที่สังคมมีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย การมีหลักประกันว่าสื่อจะสามารถทำหน้าที่ได้โดยไม่หวาดกลัวก็ยิ่งสำคัญต่อการคลี่คลายความขัดแย้ง”

ธัญวัฒน์ อิพภูดม บรรณาธิการบริหาร The MATTER

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save