71 ปีหนังสั้นนักศึกษาไทย จุดเริ่มต้น ปรากฏการณ์ และผลงานในตำนาน

การจัดฉายหนังสั้นทั้งใหม่และเก่าของคนทำหนังห้าช่วงอายุ และผนวกด้วยการวิจารณ์หนังแต่ละเรื่องจากอาจารย์ กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน และตัวผมเองภายใต้ชื่อ ‘หนังสั้น วิจารณ์ยาว’ ซึ่งมีบริษัท GDH เป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก และจัดฉาย ณ​ โรงหนังเอสเอฟซีนีมา เซ็นทรัลเวิลด์ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่มา ก็กลายเป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่ได้รับการตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว

ข้อมูลที่ได้รับรู้รับทราบคือ ทันทีที่เปิดให้ลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จำนวนที่นั่งที่รองรับได้ก็หมดเกลี้ยงในพริบตา และมีคนพลาดหวังจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็คงเพราะเป็นการดูหนังที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายที่น่าจะทำให้ตัดสินใจง่าย แต่อีกส่วนก็น่าจะเพราะรายชื่อของคนทำหนัง ที่ได้รับชวนให้นำหนังสั้นที่พวกเขาทำไว้สมัยยังเรียนหนังสือมาฉายโชว์ ก็เป็นเหตุผลที่น่าตื่นเต้นจริงๆ เพราะเกือบทั้งหมดล้วนเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีบทบาทอยู่ในอุตสาหกรรม ไล่เรียงตั้งแต่ จิระ มะลิกุล ผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ (2025) และผู้บริหาร GDH, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับ ‘ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ’ (2015), พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับ ‘หลานม่า’ (2024) และ ธิติ ศรีนวล ผู้กำกับ ‘สัปเหร่อ’ (2023) เป็นต้น

อีกทั้งแนวคิดการจัดงานก็แยบยลมากๆ เพราะไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว หากก็อย่างที่เกริ่นข้างต้น แนวคิดที่ว่าคำนึงช่วงอายุของคนทำ หรืออีกนัยหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลที่จัดฉายก็คือหนังสั้นคัดสรรของคนทำหนังห้ารุ่น ไล่เรียงจากเล็กสุดอันได้แก่ เจนอัลฟ่า เจนซี เจนวาย เจนเอ็กซ์ และเบบี้บูมเมอร์ หรือช่วงอายุหกสิบปีขึ้นไป ข้อสำคัญ หนังสั้นเกือบทั้งหมดหาดูยากจนถึงยากมาก

ในแง่ผลลัพธ์ของการฉายหนังทั้ง 11 เรื่อง ที่แน่ๆ คือ มันทำให้เห็นเส้นทางที่ทั้งคดเคี้ยวและยาวไกลของหนังสั้นตามชื่อภาษาอังกฤษของงานนี้จริงๆ (Long and Winding Roads of Short Films) และน่าสังเกตว่าหนังสั้นหลายเรื่องไม่ได้เป็นเพียงแค่การฝึกฝนทักษะและกลวิธีในการเล่าเรื่อง ทว่า มันเป็นอะไรบางอย่างที่ ‘อยู่ใกล้หัวใจ’ ของคนทำหนังมากๆ ในแง่ที่มันสะท้อนตัวตนและความนึกคิดของผู้สร้างที่ดูปรุงแต่ง หรือประดิดประดอยน้อยมากๆ

บางที นี่อาจจะนับเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของหนังสั้นนักศึกษาที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านพ้นไปนานแค่ไหน เทคโนโลยีจะเอื้ออำนวยให้การทำหนังเป็นเรื่องง่ายดายเพียงใด ความอ่อนหัด ความไร้เดียงสา ความตะกุกตะกัก ความประดักประเดิดไม่ลงตัว ความเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนของคนทำหนัง ความสดใหม่ในทางความคิดของหนังหลายๆ เรื่อง ก็ยังคงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์หนังสั้นนักศึกษา

พูดไม่ต้องอ้อมค้อม ช่วงเวลาที่หนังสั้นนักศึกษาเจริญงอกงามที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือตอนนี้นี่เอง อย่างน้อยก็ในแง่ของปริมาณ ตัวเลขที่อาจใช้บ่งบอกถึงความแพร่หลายของการสร้างหนังสั้นในระดับนักศึกษา ได้แก่จำนวนผลงานที่ถูกส่งเข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์สั้น ซึ่งเป็นงานจัดฉายหนังสั้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และมูลนิธิหนังไทย 

ข้อความในส่วนคำนำของสูจิบัตรงานหนังสั้นครั้งที่ 28 (ธันวาคม 2024) ระบุว่า จำนวนหนังสั้นที่ถูกส่งเข้าประกวด มีมากถึงเกือบเจ็ดร้อยเรื่อง (693 เรื่อง) เพิ่มจากปีก่อนถึงเกือบร้อยเรื่อง ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นหนังสั้นในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาสิริแล้วมากกว่าห้าร้อยเรื่อง หรือถ้ามองอย่างแยกย่อย หนังสั้นระดับมัธยมฯ ก็เพิ่มจากเกือบร้อยเรื่องในปี 2566 เป็นเกือบสองร้อยเรื่อง (191 เรื่อง) ในปีถัดมา 

ทั้งหลายทั้งปวง ยังไม่นับหนังที่นักศึกษาอีกจำนวนมากสร้างเพื่อส่งในวิชาเรียนและไม่ได้เข้าร่วมประกวดประขันแต่อย่างใด และไม่นับหนังสั้นและคลิปไวรัลในระดับนักเรียนและนักศึกษาอีกนับไม่ถ้วนที่ส่งประกวดภายใต้หัวข้อต่างๆ ขององค์กรและหน่วยงานซึ่งมีเงินรางวัลมากบ้างน้อยบ้าง นั่นเป็นภาพที่แตกต่างอย่างชนิดหน้ามือหลังมือกับยุคเริ่มแรกที่หนังสั้นนิสิตนักศึกษาถูกสร้างกะปริบกะปรอย และจากประสบการณ์ส่วนตัว เป็นกิจกรรมที่จัดฉายในวงแคบตามองค์กรด้านวัฒนธรรมและหอศิลป์ของเอกชน หรือแม้กระทั่งดูกันเองแบบเงียบๆ เหงาๆ ในสถาบันการศึกษาของตัวเอง 

โดยปริยาย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เรียกเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากปรากฏการณ์

หนังสั้นนักศึกษาเรื่องแรกและผลงานยุคบุกเบิก

จากคำบอกเล่าของของ โดม สุขวงศ์ นักอนุรักษ์ภาพยนตร์และผู้ก่อตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) หนังสั้นนักศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดเป็นผลสืบเนื่องจากการเปิดการเรียนการสอนวิชาช่างภาพและภาพยนตร์ของวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ในปี 1952 และมีลักษณะทำร่วมกันเป็นกลุ่มหรือทั้งชั้นเรียน หนังสั้นเรื่องแรกเป็นหนังขาวดำ 16 มม. ชื่อเรื่องว่า ‘นางผมหอม’ สร้างในราวปี 1954 โดม สุขวงศ์ยังบอกอีกด้วยว่า อ.ชิน คล้ายปาน นักทำหนังสารคดีเคยนำหนังเรื่องดังกล่าวไปฉายในงานอบรมการสร้างหนังทดลอง จัดโดยสำนักข่าวสารอเมริกันในปี 1972

นอกจากนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์แห่งชาติ ประจำปี 2024 ของหอภาพยนตร์ ยังบันทึกอีกด้วยว่า นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ริเริ่มถ่ายหนังสั้นสมัครเล่น 8 มม.เพื่อฉายดูกันเอง จนกระทั่งปี 1965 พวกเขาก็สร้างหนังสั้นขาวดำ 16 มม. สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานหาทุนประจำปี เนื้อหาของหนังสั้นส่วนใหญ่เป็นหนังที่สร้างล้อเลียนหนังดังที่เข้าฉายตอนนั้น ข้อเขียนของโดม สุขวงศ์ในเอกสารดังกล่าวยังบอกอีกด้วยว่า นี่เป็นวิธีการแสดงออกของปัญญาชนในช่วงเวลาที่เผด็จการปกครองประเทศ และบ้านเมืองอยู่ภายใต้อิทธิพลของสงครามเย็น 

กล่าวสำหรับรายชื่อของหนัง (สั้น) ที่ฉายในแต่ละปีได้แก่ From Laos with Love (1965), ‘ซามูไรพเนจร’ (1966), ‘แม่นาคสามย่าน’ (1967) เป็นต้น ขณะที่ซากฟิล์มที่หลงเหลือให้ดูได้ อาทิ Thunderbell (1965), ‘แพทย์ไทยผ่าตัดหัวใจ’ (1968) ก็ถือเป็นหลักฐานแสดงว่ามีหนังที่นิสิตคณะสถาปัตยกรรม ถ่ายและฉายดูกันเองอีกจำนวนหนึ่ง

น่าสังเกตว่าขณะที่เนื้อหาหนังสั้นของนิสิตสถาปัตย์มีลักษณะตลกโปกฮา ล้อเลียนเสียดสี หรือพาคนดูหนีไปจากโลกความเป็นจริง ซึ่งต่อมา พัฒนาไปเป็น ‘ละครเวทีถาปัด’ อันโด่งดัง ข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง ‘ภาพยนตร์สั้นไทย’ (2005) โดย ไศลทิพย์ จารุภูมิ บันทึกไว้ว่าในช่วงปี 1970 นักศึกษาธรรมศาสตร์จากหลายคณะ (หนึ่งในนั้นได้แก่วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ ผู้ซึ่งต่อมาเป็นทั้งผู้กำกับหนังและละครโทรทัศน์คนสำคัญ) รวมตัวกันสร้างหนังเงียบขาวดำ 16 มม.โดยอาศัยทุนส่วนตัว จุดประสงค์ก็เพื่อสะท้อนความคิดและความเชื่อทางการเมืองของผู้สร้างตอนนั้น ผลงานเรื่องแรกได้แก่ ‘ปราสาททราย’ ซึ่งเล่าเรื่องราวความรักของชายหนุ่มหญิงสาวที่พังทลายเนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ข้อมูลระบุว่านักศึกษากลุ่มดังกล่าว ยังรวมตัวทำหนังอีก 1-2 เรื่องก็ยุติบทบาทไป

แง่มุมที่ควรหมายเหตุเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงไล่เลี่ยกัน ยังมีนักศึกษากลุ่มอื่นดำริถึงการทำหนังด้วยเช่นกัน โดม สุขวงศ์เล่าว่าในปี 1970 ที่เขาเพิ่งเข้าเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลุ่มนิสิตรุ่นพี่ก็กำลังตระเตรียมทำหนัง 16 มม. เกี่ยวกับการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ มีการเขียนบทเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้าย โครงการนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นการสร้างละครเวที

ขณะที่โดม สุขวงศ์เองผู้ซึ่งในตอนที่อยู่ปีสาม ได้เข้าร่วมเวิร์คช็อปทำหนังทดลองจัดโดยสำนักข่าวสารอเมริกันในปี 1972 และได้ทำหนังสั้นทดลองความยาวสี่นาทีเรื่อง ‘อาทิตย์แตกเมื่อฆ่าแตงโม’ ถ่ายทำด้วยกล้อง 8 มม. ที่เขาหลอกเอาเงินของญาติผู้ใหญ่ไปซื้อ ในเวลาต่อมา หนังเรื่องดังกล่าวก็ได้ฉายในงานเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 18 นอกจากนี้ นักศึกษารุ่นราวคราวเดียวกับเขาอีกหลายคนก็เริ่มต้นทำหนังสั้นส่วนตัว อาทิ วรรณี สำราญเวทย์, ม.ล.วราภา อุกฤษณ์, สุรพงษ์ พินิจค้า สองคนแรกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนคนหลังจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นต้น 

กางจอ” – เทศกาลภาพยนตร์สั้นจากหนังธีสิสส่งครูสู่สายตาสาธารณชน

ไม่มีข้อสงสัยว่าจำนวนหนังสั้นที่เพิ่มขึ้นในช่วงสามสิบกว่าปีให้หลัง เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเอื้ออำนวยของเทคโนโลยี หรือพูดง่ายๆ จากความทุลักทุเลของการถ่ายและจัดฉายด้วยฟิล์ม (8 และ 16 มม.) ถูกทดแทนด้วยการถ่ายและฉายด้วยระบบเทปและดิจิทัลตามลำดับ ซึ่งทำให้กระบวนต่างๆ ง่ายดายขึ้น และบุคคลที่ริเริ่มให้ ‘หนังสั้นส่งครูเพื่อเอาเกรด’ ได้รับการเผยแพร่สู่สายตาคนดูในวงกว้างก็คือจิระ มะลิกุล เมื่อครั้งที่เขาเป็นอาจารย์พิเศษวิชาการผลิตภาพยนตร์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 

สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากความสงสัยส่วนตัวที่เมื่อครั้งเขาทำหนังสั้นส่งอาจารย์แล้ว กลับไม่เคยได้ฉายให้ใครได้ดู อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหนังเหล่านั้นถูกเก็บไว้ที่ใด อีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะเขามองเห็นศักยภาพของหนังสั้นเหล่านั้น และนั่นนำพาให้เขาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดฉาย ‘หนังเพื่อจบศึกษา’ ของนิสิตภายใต้ชื่องาน ‘กางจอ’ ในปี 1994 ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน งานฉายหนังธีสิสดังกล่าวก็ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงครั้งที่ 31 และเป็นจุดเริ่มต้นของบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากมาย

น่าสังเกตว่าหลังจากงาน ‘กางจอ’ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สถาบันที่มีการเรียนการสอนด้านภาพยนตร์ก็เริ่มจัดฉายหนังสั้นธีสิสนักศึกษาของตัวเอง อาทิ งาน ‘Core หนัง’ ของคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, งาน ‘พี่ครับ FILM Thesis Exhibition’ ของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร, งาน ‘Keep Rolling’ ของวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร, ‘ฤดูหนัง’ ของคณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นต้น

อีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ผลักดันให้การสร้างและการฉายหนังสั้นนักศึกษาเบ่งบานเต็มศักยภาพ ได้แก่ การที่มูลนิธิหนังไทยจัดการประกวดภาพยนตร์สั้น ในปี 1997 ซึ่งมีผลงานส่งเข้าประกวดครั้งแรกจำนวนสามสิบเรื่อง และรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศก็มีเพียงสองรางวัล อันได้แก่รางวัลช้างเผือกสำหรับนักศึกษา และรางวัลรัตน์ เปสตันยีสำหรับบุคคลทั่วไป ดังที่เอ่ยถึงข้างต้น ‘เทศกาลภาพยนตร์สั้น’ ยังคงถูกจัดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน (ครั้งต่อไปคือครั้งที่ 29) และทุกอย่างขยับขยายจากครั้งแรก ทั้งจำนวนหนังที่ถูกส่งเข้าประกวด (เกือบเจ็ดร้อยเรื่อง) จำนวนรางวัลที่จำแนกเป็นสาขาต่างๆ ไปอีกสิบกว่ารางวัล ลักษณะการจัดฉายที่เปิดโอกาสให้ดูกันแบบมาราธอน (หนังส่งประกวดทุกเรื่องล้วนได้ฉายผ่านแพล็ตฟอร์มของหอภาพยนตร์ และฉายขึ้นจอใหญ่ในกรณีที่เข้ารอบสุดท้าย) ข้อสำคัญ การประกวดภาพยนตร์สั้นของมูลนิธิหนังไทยและหอภาพยนตร์ กลายเป็นเวทีแจ้งเกิดและฝึกฝนฝีมือของคนทำหนังที่โลดแล่นในอุตสาหกรรมหนังไทยในปัจจุบันนับไม่ถ้วน ไล่เรียงได้ตั้งแต่ อาทิตย์ อัสสรัตน์, บรรจง ปิสัญธนะกูล, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, นวพล รัตนธำรงฤทธิ์, อุรุพงศ์ รักษาสัตย์, จิรัศยา วงษ์สุทิน, รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ฯลฯ 

หนังสั้นนักศึกษาในตำนาน

นี่เป็นหัวข้อที่เกินตัวไปสักหน่อยสำหรับการพูดถึงหนังสั้นนักศึกษาที่ทรงคุณค่าในแง่มุมต่างๆ ได้ครอบคลุม (เช่น ศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ การท้าทายกฏเกณฑ์ ความไม่ประนีประนอม การริเริ่มเป็นคนแรก ฯลฯ) อีกทั้งด้วยจำนวนหนังซึ่งมีมากมายมหาศาลก็ยิ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ และสิ่งที่ทำได้ก็คือการชวนคนอ่านสำรวจรายชื่อหนังอย่างคร่าวๆ เท่าที่พื้นที่การเขียนเอื้ออำนวย และแน่นอนว่าเกณฑ์การคัดเลือกก็เป็นเรื่องอัตวิสัยมากๆ

‘หนังถาปัด’ (1965-1970) 

ประกอบด้วยหนังสั้นสี่เรื่องมัดรวมกัน ความยาว 39 นาที ได้แก่ Thunder Bell (1965), ‘สัปดาห์บริจาคอาหาร’ (1968), ‘แพทย์ไทยผ่าตัดหัวใจ’ (2511), ’12 ปีทอง’ (1970) ทั้งหมดเป็นหนังเงียบขาวดำ 16 มม. ผลงานของนิสิตสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และหอภาพยนตร์อนุรักษ์ภาพยนตร์ชุดนี้ไว้ 

ในแง่ของเนื้อหาสาระก็เป็นดังที่กล่าวข้างต้น มันถูกสร้างด้วยจุดประสงค์ล้อเลียนหนังดังและเหตุการณ์สำคัญในตอนนั้น และในขณะที่คนดูไม่อาจถือสาเรื่องคุณภาพการถ่ายทำและความคล่องแคล่วในการเล่าเรื่อง แต่อย่างหนึ่งแน่ๆ ก็คือ บรรยากาศของหนังดูสนุกสนาน และกระฉับกระเฉงตามวิสัยของกลุ่มคนทำหนังที่ยังอยู่ในช่วงเยาว์วัย

‘! อัศเจรีย์’ (1977)

ภาพยนตร์แนว essay film ของ สุรพงศ์ พินิจค้า สร้างในตอนยังเป็นนักศึกษา เนื้อหาผสมผสานความเป็นหนังสารคดีกับหนังทดลองที่มุ่งแสดงให้เห็นชีวิตที่ขาดแคลนยากไร้ของเด็กๆ ในสลัมได้อย่างมีพลังและไม่ประนีประนอม หนังได้รับรางวัลจากการประกวดภาพยนตร์สารคดีส่งเสริมคุณธรรมประจำชาติปี 1977 จากธนาคารกรุงเทพ (ซึ่งชื่อรางวัลฟังดูตลกร้ายมากๆ) และต่อมา ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1 ในปี 2011

‘หนังไม่เคยมีชื่อเรื่อง’ (1981)

ในลักษณะคล้ายคลึงกับ ‘หนังถาปัด’ ข้างต้น ‘หนังไม่เคยมีชื่อเรื่อง’ เป็นหนังสี พากย์เสียงทับ ความยาวแปดนาทีของจิระ มะลิกุล หนังถูกสร้างเพื่อฉายในงานรับน้องใหม่ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ปี 1981 ประกอบด้วยเรื่องย่อยๆ ห้าเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นหนังล้อเลียนหนังดังตอนนั้นและไม่ได้มีแก่นสารอะไร จิระทำหนังเรื่องนี้ขณะเป็นนิสิตปีสามโดยที่ตัวเขาแทบไม่มีความรู้เรื่องการสร้างภาพยนตร์ และหนังก็ดูอ่อนด้อยในเชิงทักษะจริงๆ แต่ข้อน่าสังเกตก็คือ ในวันที่หนังสั้นเรื่องนี้ถูกนำกลับมาฉายในงาน ‘หนังสั้น วิจารณ์ยาว’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น คนดูปัจจุบันก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะกับมุกตลกของหนังอย่างหรรษาครื้นเครง

‘ด.เด็ก ช.ช้าง’ (1996)

หนังธีสิสของ ทรงยศ สุขมากอนันต์ (หนึ่งในผู้กำกับกลุ่ม ‘แฟนฉัน’) ความยาว 11 นาทีที่เล่าเรื่องเล็กๆ ได้กะทัดรัด แต่กลับตีแผ่ระบบการศึกษาในประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน เหตุเกิดในวิชาวาดเขียน เด็กน้อยถูกคุณครูตั้งข้อกล่าวหาว่าเขาไม่ได้วาดรูปช้างด้วยตัวเอง และวิธีการไต่สวนหาความจริงของครูก็ดูไร้เหตุผลและใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างน่าขุ่นเคือง หนังสั้นเรื่องนี้มีสองเวอร์ชั่น (ตอนจบของเวอร์ชั่นหนึ่งเป็นเสียงเด็กๆ ท่องสูตรคูณ อีกเวอร์ชั่นหนึ่งเป็นเสียงดนตรีเศร้าสร้อย) หนังได้รับรางวัลรัตน์ เปสตันยีในงานเทศกาลภาพยนตร์สั้น ปี 2002

‘หลวงตา’ (2000)

ความลือลั่นของหนังสั้นจากมหาวิทยาลัยรังสิตเรื่อง ‘หลวงตา’ ของภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับ ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ (2004) เมื่อครั้งที่ออกฉายครั้งแรกก็คือมันเป็นหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์ม 35 มม. ความประณีตทั้งงานสร้าง การจัดองค์ประกอบภาพ การตัดต่อและอื่นๆ ก็ทำให้หนังไม่เหลือคราบความเป็นหนังมือสมัครเล่นแต่อย่างใด แต่ส่วนที่พิเศษจริงๆ ได้แก่เนื้อหาที่กะเทาะด้านมืดของวงการศาสนา ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว และน่าสงสัยว่าถ้าหากหนังต้องผ่านการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ในตอนนั้น มันจะถูกห้ามฉายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หนังชนะรางวัลช้างเผือกของปีนั้นด้วย

Graceland (2006)

Graceland เป็นหนังธีสิสระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ ผู้กำกับเรื่อง ‘เจ้านกกระจอก’ (2009) ความยาว 17 นาที ถ่ายด้วยฟิล์ม 35 มม. และนับเป็นหนังสั้นไทยเรื่องแรกที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเป็นทางการให้ฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2006 เนื้อหาว่าด้วยชายหนุ่มในชุด เอลวิส เพรสลีย์ ที่ถูกหิ้วขึ้นรถไปกับหญิงสาวแปลกหน้า ซึ่งบอกเขาว่ากำลังมุ่งหน้าลงใต้ ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ และคนดูได้แต่สงสัยว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่ ขณะที่หนังไม่ได้หยิบยื่นคำตอบใดๆ แต่อย่างหนึ่งที่คนดูสัมผัสได้คือความปรารถนาเบื้องลึกที่ปั่นป่วนสับสนของตัวละคร

‘เด็กสาวสองคนในสนามแบดมินตัน’ (2013)

หนังสั้นชนะรางวัลช้างเผือกตัวที่สองจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นของ จิรัศยา วงษ์สุทิน ผู้กำกับ Flat Girl (2025) ความยาว 13 นาที เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของสองสาวที่อาศัยอยู่ในแฟล็ตตำรวจผ่านเหตุการณ์สั้นๆ ตามชื่อเรื่อง อันได้แก่การตีแบดซึ่งดูเหมือนเป็นสันทนาการตามปกติของทั้งสองคน แต่ทีละน้อย หนังกลับสอดแทรกไว้ด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่ชี้ชวนให้คนดูสำรวจตื้นลึกหนาบางของความสัมพันธ์ที่ลงเอยด้วยหนึ่งในสองตัวละครรู้สึกว่าเธอถูกทรยศหักหลัง นี่เป็นหนังที่ส่วนประกอบต่างๆ สอดประสานกลมกลืน ทั้งโลเคชัน งานกำกับศิลป์ บท การแสดง การกำกับภาพยนตร์ และรวมถึงการตั้งชื่อเรื่องที่ดูเรียบง่ายแต่กลับน่าฉงนสนเท่ห์


เอกสารประกอบการเขียน

1. ข้อมูลภาพยนตร์สําหรับคัดเลือกภาพยนตร์ขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจําปี 2024 โดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

2. งานวิจัยเรื่อง ‘ภาพยนตร์สั้นไทย’ โดยไศลทิพย์ จารุภูมิ (2006)

3. หนังสือสูจิบัตรเทศกาลภาพนตร์สั้น ครั้งที่ 28 (2024)

ลิงค์ชมภาพยนตร์

ภาพยนตร์สั้นเรื่อง “! อัศเจรีย์” (1997)

YouTube video

ภาพยนตร์สั้นเรื่อง “หลวงตา” (2000)

YouTube video

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save