ถอดถอนยุน ซอกยอล: สี่เดือนแห่งบทพิสูจน์ว่าเผด็จการไม่มีที่ยืนในเกาหลี

“เราขอประกาศคำวินิจฉัยดังต่อไปนี้ โดยความเห็นเป็นเอกฉันท์ของตุลาการทั้งหมด ให้ถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอกยอลออกจากตำแหน่ง”

เสียงประกาศจาก มุน ฮยองเบ รักษาการประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐเกาหลีดังขึ้นเมื่อเวลา 11.22 น. ของวันที่ 4 เมษายน 2025 ตามเวลาเกาหลี นับเป็นคำวินิจฉัยครั้งประวัติศาสตร์ต่อข้อกล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดียุน ซอกยอลละเมิดรัฐธรรมนูญจากกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024 โดยอ้างว่ามีกลุ่มต่อต้านรัฐและภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือแฝงตัวอยู่ในรัฐบาล

มติสนับสนุนการถอดถอนอย่างเป็นเอกฉันท์ของตุลาการศาลฯ 8 ต่อ 0 เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของประชาชนชาวเกาหลีที่ออกมาชุมนุมต่อต้านและเรียกร้องให้ยุนลาออกนับครั้งไม่ถ้วนตลอดสี่เดือนมานี้

“우리가 이겼어!” (พวกเราชนะแล้ว!) เสียงโห่ร้องด้วยความปิติจากประชาชนที่เฝ้ารอฟังคำตัดสินอยู่ด้านหน้าศาลรัฐธรรมนูญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณสถานีอันกุก รวมถึงนอกบ้านพักประธานาธิบดีย่านฮันนัม ก่อนจะตามมาด้วยคลื่นแห่งการเฉลิมฉลองที่กระจายไปตามท้องถนนในเกาหลีใต้ ร้านรวงน้อยใหญ่ประกาศแจกอาหารฟรี เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ที่ผู้คนออกมาโพสต์แสดงความดีใจ ไม่นับว่าการนำเสนอข่าวบนหน้าสื่อก็เปลี่ยนไปจากการเรียกขานยุน ซอกยอลด้วยคำว่า ‘ประธานาธิบดี’ เป็น ‘อดีตประธานาธิบดี’ หรือเหลือเพียงแค่ ‘คุณยุน’ เรียกได้ว่าคือจุดสิ้นสุดทางการเมืองของยุนอย่างแท้จริง

จากจุดเริ่มต้นของ ‘กฎอัยการศึก’ ที่มีอายุเพียงหกชั่วโมง จากการกระทำอันลุแก่อำนาจ สู่วันแห่งการพิพากษาที่ตอกย้ำว่าประชาธิปไตยเกาหลียังยืนหยัดมั่นคงและเสียงของประชาชนสามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ วันโอวันชวนคุณย้อนมองสี่เดือนแห่งพายุการเมืองในแดนโสมขาว ที่เป็นกระจกสะท้อนความไม่โอนอ่อนของประชาชนเกาหลีต่อการกระทำใดที่เข้าข่ายเผด็จการ พร้อมมองไปข้างหน้าว่าต้องจับตามองอะไรบ้างก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน

สี่เดือนแห่งความไร้เสถียรภาพทางการเมือง

ย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2024 ที่ผ่านมา สถานการณ์ทางการเมืองในเกาหลีใต้ขณะนั้นเต็มไปด้วยเรื่องที่ยากจะคาดเดา นับตั้งแต่ยุน ซอกยอลประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเวลาราว 22.45 น. ของคืนวันที่ 3 ธันวาคม 2024 เกาหลีใต้ก็เข้าสู่ยุคสมัยที่ “อะไรไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น”

การประกาศกฎอัยการศึกของยุนนำมาซึ่งความงงงวยของประชาชนเกาหลีและนานาชาติ เนื่องจากไม่มีสถานการณ์บ่งชี้ว่าเกาหลีใต้อยู่ในสภาวะฉุกเฉินหรือเข้าใกล้คำว่าสงคราม มีแต่คำกล่าวอ้างที่คลุมเครือถึงการกระทำที่เป็นการ ‘ต่อต้านรัฐ’ จากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาล ยุนยังกล่าวว่าการประกาศกฎอัยการศึกเป็นความพยายามปกป้องประชาชนและรักษาประชาธิปไตยเอาไว้

หากจะหาปัจจัยหนุนเสริมการตัดสินใจนี้ที่พอจะจับต้องได้ก็คงเป็นการยื่นถอดถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลโดยพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อีกทั้งมีการสกัดการผ่านร่างงบประมาณของรัฐบาลที่ตอกย้ำว่ารัฐบาลอนุรักษนิยมพรรคพลังประชาชน (PPP) มาถึงทางตัน และก่อนหน้านั้นพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DPK) หรือพรรคมินจูดังก็คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2024 ทำให้ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในสภา ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นยังมีนัยว่าความเชื่อมั่นในรัฐบาลยุนซอกยอลลดลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่แก้ไม่ตก การเลือกตั้งครั้งนั้นยังมีผู้ออกมาใช้สิทธิเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 32 ปี

ภาพทหารในชุดยูนิฟอร์มเต็มรูปแบบพร้อมรถถังเคลื่อนตัวอยู่รอบกรุงโซล ภาพการปะทะกันระหว่างทหารและ สส. ที่ฝ่าวงล้อมไปโหวตยกเลิกกฎอัยการศึกที่อาคารสมัชชาแห่งชาติบนเกาะยออีโด เป็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศที่ผ่านการต่อสู้กับเผด็จการทหารมาหลายทศวรรษและดูเหมือนว่าประชาธิปไตยจะลงหลักปักฐานแล้ว แม้มวลของเผด็จการกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของรัฐบาลพลเรือน แต่การยับยั้งกฎอัยการศึกได้ในไม่กี่ชั่วโมงจากการที่ สส. 190 คนโหวตลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกแบบไม่แตกแถวก็แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ยังคงเข้มแข็ง  

หลังผ่านค่ำคืนฝุ่นตลบในวันประกาศกฎอัยการศึก สี่วันถัดจากนั้น (7 ธันวาคม 2024) สภาสมัชชาแห่งชาติก็เดินหน้าลงมติถอดถอนยุน ซอกยอลทันที ความพยายามครั้งแรกกลับไม่ประสบบผลสำเร็จเนื่องจาก สส. พรรครัฐบาลบอยคอตโดยการไม่เข้าร่วมการประชุม ทำให้ญัตติเป็นโมฆะเนื่องจากมีผู้ร่วมประชุมสภาไม่ครบองค์ประชุมขั้นต่ำที่ 200 คน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก การประท้วงกดดัน สส. ฝ่ายรัฐบาลจึงดำเนินต่อไปท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ

ต่อมามีความพยายามยื่นญัตติถอดถอนอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2024 ซึ่งในครั้งนี้สภาฯ ลงมติเห็นชอบถอดถอนยุน ซอกยอลจากตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเสียง 204 เสียง ต่อคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ 85 เสียง เปิดทางให้กระบวนการถอดถอนมาสู่มือของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดการดำรงตำแหน่งของยุน

ขณะเดียวกันก็มีความวุ่นวายตามมาในตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี หลังจากที่ยุน ซอกยอลถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรี ฮัน ด็อกซู ก็ก้าวขึ้นมารับบทบาทรักษาการแทนตามลำดับขั้นทางรัฐธรรมนูญ ทว่าฮันกลับต้องเจอกับจุดเปลี่ยนแบบเดียวกับยุน เมื่อพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติถอดถอน เนื่องจากฮันปฏิเสธที่จะแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ 3 คน ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญในการวินิจฉัยคดีถอดถอน (ขณะนั้น เกาหลีใต้มีผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเพียง 6 คนจาก 9 คน ขณะที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเสียงเห็นชอบอย่างน้อย 2 ใน 3 หรือ 6 จาก 9 คน จึงจะสามารถตัดสินถอดถอนประธานาธิบดีได้ การไม่แต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่จึงถูกมองว่าเป็นความพยายามดึงเกมถ่วงเวลา)

ท้ายที่สุด รัฐสภาก็มีมติถอดถอนฮัน ด็อกซู ด้วยคะแนนโหวต 192 เสียง ทำให้ ชเว ซังมก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขึ้นมาเป็นผู้รักษาการประธานาธิบดีคนถัดไป กล่าวได้ว่าในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว เกาหลีใต้มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำถึงสองครั้ง ทั้งหมดสามคน

ในด้านของกระบวนการยุติธรรม การสอบสวนคดีความของยุน ซอกยอลก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะหลังรัฐสภามีมติถอดถอน ยุนปฏิเสธที่จะมาปรากฏตัวตามหมายเรียกการสอบสวน กระทั่งในวันที่ 31 ธันวาคม ศาลเกาหลีใต้จึงมีคำสั่งอนุมัติหมายจับตามคำร้องของหน่วยงานสอบสวนการทุจริต โดยให้เหตุผลว่ายุนไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวน

อย่างไรก็ตาม การจับกุมยุนไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายดาย เมื่อมีกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากมารวมตัวที่หน้าบ้านพักประธานาธิบดีเพื่อขัดขวางการเข้าจับกุม อีกทั้งหน่วยอารักขาประธานาธิบดีก็พยายามวางสิ่งกีดขวางเพื่อสกัดเจ้าหน้าที่ ทำให้ปฏิบัติการการจับกุมยุนมีขึ้นถึงสองครั้ง ในที่สุด ยุน ซอกยอลก็ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม นับเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ‘คนแรกในประวัติศาสตร์’ ที่ถูกจับขณะยังอยู่ในตำแหน่ง โดยระหว่างการสอบปากคำในวันแรกๆ ยุนใช้สิทธิในการไม่ให้การตามกฎหมายและปฏิเสธจะตอบคำถามใดๆ ทำให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า

การปล่อยตัวยุนหลังถูกคุมขังมากว่าสองเดือน เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา โดยศาลชี้ว่าการควบคุมตัวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย สร้างความไม่พอใจให้สาธารณชนอีกครั้งจนนำไปสู่การประท้วงที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญให้เร่งชี้ขาดคำตัดสินการถอดถอน อีกทั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยกเลิกการถอดถอนฮัน ด็อกซู ด้วยคะแนน 7 ต่อ 1 เสียง โดยกล่าวว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องถอดถอนฮัน ถือเป็นการคืนตำแหน่งให้นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อกซูกลับมานั่งเก้าอี้รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้อีกครั้ง[1] และในที่สุดวันชี้ชะตายุน ซอกยอลในฐานะประธานาธิบดีก็ถูกกำหนดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน

การถอดถอนยุน ซอกยอล จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงลำพัง แต่เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการต่อสู้ของประชาชนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยกดดันผ่านการเดินขบวนและชุมนุมบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง ชัยชนะนี้ยังเป็นผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในสภา โดยจะเห็นว่า สส. หลายคนพยายามอย่างหนักในการหาหลักฐานและใช้กลไกรัฐสภาในการผลักดันการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างถึงที่สุด นี่จึงไม่ใช่เพียงการถอดถอนผู้นำคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง แต่คือชัยชนะของกลไกประชาธิปไตยที่ทำงานทั้งจากบนท้องถนนและในสภา

จากปากคำและหลักฐาน สู่คำวินิจฉัยที่ต้องยืนยันการปกป้องประชาธิปไตย

นับตั้งแต่สภาผ่านมติถอดถอนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้จัดให้มีการประชุมเบื้องต้นสองครั้ง มีการไต่สวนทั้งหมด 11 ครั้ง โดยสอบปากคำพยานรวม 16 คน ซึ่งมีการไต่สวนครั้งสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และมีการประชุมหารือแทบทุกวันหลังจากนั้น กล่าวได้ว่ากรณีการถอดถอนยุน ซอกยอลใช้ระยะเวลาการพิจารณาคดีนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลี โดยนานถึง 111 วัน (พัคกึนฮเย 92 วัน และโน มูฮยอน 63 วัน)

ตลอดการพิจารณาคดี ได้มีหลักฐานและข้อเท็จจริงต่างๆ ในวันประกาศกฎอัยการศึกถูกเปิดเผยออกมา หนึ่งในนั้นคือปากคำจากคิม ยงฮยอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้มีบทบาทในการเตรียมพร้อมกองทัพและเป็นตัวแสดงที่ขาดไม่ได้ในแผนการของยุน จากการให้ปากคำในศาล คิมเปิดเผยว่าเขาได้ดึงนายพลสามคนเข้าร่วมแผนการประกาศกฎอัยการศึก แต่นายพลเหล่านี้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของคิมไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามแผนยึดอำนาจของยุน พวกเขาทำตามคำสั่งเพียงแค่การไปสมัชชาแห่งชาติ แต่สั่งให้ทหารไม่บรรจุกระสุน และเมื่อเผชิญกับการต่อต้านก็สั่งให้ถอยกลับ

หลักฐานที่เพิ่งถูกเผยแพร่ออกมายังบ่งชี้ว่ามีความพยายามสร้างข้อกล่าวหาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้การประกาศกฎอัยการศึก โดยคิม ยงฮยอนเผยว่าต้องการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือจากกรณีการปล่อยบอลลูนเพื่อสร้างเหตุผลในการประกาศกฎอัยการศึก หลังเหตุการณ์ 3 ธันวาฯ คิม ยงฮยอนลาออกเพื่อรับผิดชอบ แต่เขาก็ถูกออกหมายจับ ถือเป็นบุคคลแรกที่ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการในคดีกฎอัยการศึกครั้งนี้ ภายหลังเขาพยายามปลิดชีพในที่คุมขังแต่ไม่สำเร็จ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักฐานในกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งนำมาสู่คำตัดสินของศาลที่เห็นพ้องให้ถอดถอนยุนซอก ซอกยอลจากข้อกล่าวหาทั้ง 5 ข้อ ได้แก่ การประกาศกฎอัยการศึก การสั่งให้นำกำลังทหารและตำรวจไปยังสมัชชาแห่งชาติ การออกกฤษฎีกากฎอัยการศึกเพื่อห้ามกิจกรรมของสมัชชาแห่งชาติ การตรวจค้นและยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ และความพยายามในการติดตามผู้พิพากษาเพื่อหวังผลในการจับกุม สำหรับข้อกล่าวหาข้อแรก ผู้พิพากษาได้ให้ความเห็นว่าการประกาศกฎอัยการศึกของยุนถือเป็นการละเมิดหลักการของรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง “เป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน” และ “คุกคามเสถียรภาพของสาธารณรัฐประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง”

ตลอด 22 นาทีของการอ่านคำตัดสิน ผู้พิพากษาได้สรุปทิ้งท้ายว่า

“เนื่องจากผลกระทบเชิงลบที่แผ่ขยายออกไปจากการกระทำของจำเลยอันละเมิดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญนั้นร้ายแรงมาก จึงถือว่าประโยชน์จากการปกป้องรัฐธรรมนูญโดยการถอดถอนจำเลยมีน้ำหนักมากพอที่จะสามารถชดเชยความเสียหายของชาติได้”

ในวันที่โลกทั้งใบดูเหมือนกำลังถอยหลังกลับสู่เงื้อมมือของระบอบเผด็จการ คำวินิจฉัยให้มีการถอดถอนยุน ซอกยอลในวันนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเด็ดขาดของประชาชนเกาหลีที่จะต่อสู้กับความพยายามใดก็ตามที่บ่อนทำลายหลักการประชาธิปไตย ที่ผู้คนในยุคเผด็จการทหารเมื่อราวสี่ทศวรรษที่แล้วต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อให้ได้มา จึงกล่าวได้ว่านี่คือชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนและเป็นหมุดหมายที่ควรเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

เกาหลีใต้หลังการถอดถอน: โจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตามอง

การถอดถอนยุน ซอกยอลออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี หมายความว่าเกาหลีใต้จะต้องจัดการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยหนึ่งในตัวเต็งที่ทั่วโลกจับตามองก็คือ ‘อี แจมยอง’ ผู้นำพรรคมินจูดังที่เคยพ่ายแพ้แบบเฉียดฉิวให้กับยุน ซอกยอลในการเลือกตั้งเมื่อปี 2022

ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าอีอาจหมดโอกาสลงชิงตำแหน่งอีกครั้ง เนื่องจากยังมีคดีความติดตัว แต่เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์เกาหลีใต้ได้พลิกคำตัดสินของศาลชั้นต้น ตัดสินว่าอีไม่มีความผิดในคดีที่กล่าวหาว่าเขาให้ข้อมูลเท็จระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ถือเป็นการเปิดทางให้อีสามารถลงสนามแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกครั้ง

หากอี แจมยองได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำคนถัดไป โจทย์ใหญ่ของเขาไม่เพียงอยู่ที่การฟื้นฟูประชาธิปไตยและความแตกแยกทางสังคม อันเป็นบาดแผลจากยุคยุน ซอกยอลเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศในบริบทโลกที่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังทวีความรุนแรง

ในสมัยของยุน กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ แน่นแฟ้นเป็นพิเศษ อีกทั้งความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากยุคของประธานาธิบดีมุน แจอิน แต่สายสัมพันธ์เช่นนี้อาจเปลี่ยนไปหากอีขึ้นมาเป็นผู้นำ เพราะที่ผ่านมาอีเคยวิจารณ์ว่ายุนมีท่าทีอ่อนน้อมเกินไปต่อญี่ปุ่น พร้อมทั้งส่งสัญญาณที่เป็นมิตรต่อจีนยิ่งขึ้น ท่าทีเหล่านี้อาจไม่สอดรับกับแนวทางของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ไม่นับว่าทรัมป์เรียกร้องให้ประเทศที่พึ่งพาสหรัฐฯ ด้านความมั่นคงให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น ซึ่งเกาหลีถือเป็นหนึ่งในนั้น

ท่ามกลางสนามภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยแรงปะทะของมหาอำนาจ ก้าวต่อไปของเกาหลีใต้จึงไม่เพียงกำหนดอนาคตของประเทศตัวเอง แต่ยังอาจส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภูมิภาค

อ้างอิง

The unravelling of Yoon Suk Yeol: South Korea’s ‘stubborn and hot-tempered’ martial law president

Nation gains closure with Constitutional Court ruling to remove Yoon

Understanding the Constitutional Court’s standards for upholding impeachment

Who is Lee Jae-myung, South Korea’s possible next president?

References
1 ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติถอดถอนชเว ซังมก รักษาการประธานาธิบดี เนื่องจากไม่สามารถแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญคนที่ 9 ได้ แต่ไม่ได้รับการลงมติ

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save