Yes! (2025) เมื่อคนทำหนังอิสราเอล ตรวจสอบความล่มสลายทางจิตวิญญาณของคนในชาติ หลังเหตุการณ์ 7 ตุลา 2023

การสังหารประชาชนในกาซ่าโดยกองทัพอิสราเอลที่ยังคงดำเนินอยู่ รวมทั้งการปิดกั้นการส่งความช่วยเหลือจากนานาชาติ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในปาเลสไตน์จำนวนหลายหมื่นคนในช่วง 20 เดือนที่ผ่านมา นับเป็นสถานการณ์อันน่าหดหู่ น่าสะพรึงกลัว น่าโกรธเกรี้ยว และกระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาอันหลากหลายและสับสนจากคนทั้งโลก ท่ามกลางซากปรักหักพังและรายงานความโหดร้ายอันไม่สิ้นสุดเช่นนี้ ศิลปินคนทำหนังถามตัวเองว่าสื่อภาพยนตร์มีหน้าที่ หรือมีความสามารถแค่ไหนในการถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตำตา และยิ่งถ้าเป็นคนทำหนังจากอิสราเอล หากอาจหาญจะเล่าเรื่องสงครามระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอลในชั่วโมงแห่งความตายนี้ จะเล่าด้วยสายตาและทัศนคติแบบใด 

ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ที่จบไปเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีหนังที่บอกเล่าถึงสถานการณ์ระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลอย่างตรงไปตรงมาและท้าทายความคิดผู้ชมอย่างรุนแรงอยู่หนึ่งเรื่อง นั่นคือ Yes! (2025) เป็นงานใหม่ล่าสุดของ นาดาฟ ลาพิด (Nadav Lapid) ผู้กำกับหนังชาวอิสราเอล เทศกาลเมืองคานส์เป็นงานภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก หนังที่เปิดตัวที่นี่จะได้สปอตไลต์และถูกพูดถึงตลอดทั้งปี ทั้งยังมีโอกาสถูกเผยแพร่ต่อไปในตลาดต่างๆ ทั่วโลก โดย Yes! ของลาพิดได้รับเลือกให้เปิดตัวที่สาย Directors’ Fortnight หรือหนึ่งในสายประกอบของเทศกาลคานส์ (ไม่ใช่สายประกวดหลัก) และกลายเป็นหนังที่เหวี่ยงหมัดใส่ผู้ชมทั้งภาพ เสียง ความคิด และอาจจะเป็นหนังที่คนทำกล้าเสี่ยง กล้าเผชิญหน้า มากที่สุดในบรรดาหนังทุกเรื่องที่ฉายที่คานส์ในปีนี้ 

หลังจากประกาศว่า Yes! จะฉายในสาย Directors’ Fortnight ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้สังเกตการณ์ที่รอดูว่าปีนี้จะมีหนังที่ว่าด้วยเหตุการณ์ปาเลสไตน์-อิสราเอลในเทศกาลใหญ่หรือไม่ (โดยปีที่แล้วมีหนัง No Other Land, 2024 หนังสารคดีที่ร่วมสร้างระหว่างคนทำหนังปาเลสไตน์และอิสราเอล เล่าเรื่องการบุกยึดครองดินแดนของคนปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงค์ ได้รางวัลหมีทองคำที่เทศกาลเบอร์ลิน และประสบความสำเร็จต่อเนื่องถึงชนะรางวัลออสการ์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากผู้สนับสนุนอิสราเอล) ข่าวลือกระซิบกระซาบที่คานส์ เชื่อว่าสายประกวดหลักของเทศกาลไม่กล้าเลือก Yes! เพราะหนังสุ่มเสี่ยงเกินไปและจะเป็นเป้าสายตา จนสุดท้ายหนังไปลงเอยที่สายรองอย่าง Directors’ Fortnight (ซึ่งก็เป็นเป้าสายตาอยู่ดีเพราะคนแห่กันไปเต็มโรง) ส่วนนักวิจารณ์หรือคนในวงการหนังจากโลกอาหรับบางคนที่ผู้เขียนได้พูดคุยด้วย บอกว่าพอเป็นหนังจากผู้กำกับอิสราเอล ก็เกิดกระแสคว่ำบาตรจะไม่ไปดู ไม่พูดถึง ไม่ให้ค่าใดๆ สรุปคือหนังอื้อฉาวและสร้างประเด็นตั้งแต่ก่อนฉายด้วยซ้ำ

Yes! ไม่ใช่หนังสารคดี แต่เป็นหนังฟิกชันตลกร้ายที่ใช้ตัวละครสมมติ นี่ไม่ใช่หนังที่ดูง่าย เป็นหนังที่ซับซ้อนทั้งเนื้อหาและวิธีการเล่า ทั้งยังเป็นหนังหมุดหมายสำคัญสำหรับคนที่อยากจะลองทำความเข้าใจสภาวะทางจิตใจของคนอิสราเอลจำนวนหนึ่งขณะนี้ (คนไทยดูแล้วอาจจะนึกถึงนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่มักมีข่าวไม่ค่อยดีในประเทศไทยช่วงหลัง) เรื่องในหนังว่าด้วยนักดนตรีชื่อ วาย (อาเรียล บรอนซ์) เป็นสายปาร์ตี้ ขี้เมา เล่นยา เซ็กส์ ใช้ชีวิตเหมือนไร้สาระไปวันๆ เพราะครอบครัวมีสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นปกครองและไม่ได้ลำบากลำบนอะไร แม้จะถูกจะย้ำเตือนด้วยสื่อรอบตัวถึงการบุกกาซ่าของกองทัพอิสราเอลและการสังหารคนปาเลสไตน์แบบไม่เว้นวันก็ตาม มาวันหนึ่ง วายได้รับการติดต่อให้แต่งเพลงปลุกใจให้กองทัพ ซึ่งแน่นอนว่าต้องการเนื้อเพลงแนวโฆษณาชวนเชื่อ ขวาจัด กระหายเลือด การไปรับงานนี้นำไปสู่สภาวะกระอักกระอ่วนของวาย คำถามคือเขาพร้อมจะ ‘ขายวิญญาณ’ แบบหมดไส้หมดพุงให้ฝ่ายขวาหรือไม่ หรือเขาจะยังมีมโนสำนึกหลงเหลืออยู่ในใจอยู่บ้าง

ความดุของหนังอยู่ตรงที่เนื้อเพลงที่วายแต่ง มีเนื้อร้องที่พูดถึงเครื่องหมายสวัสดิกะและลัทธินาซี ถึงแม้เนื้อร้องนี้จะอ้างอิงจากเพลงรักชาติของอิสราเอลยุค 1950 แต่หนังทำให้ความหมายของเนื้อร้องคลุมเครือ จนอาจจะตีความได้หลายอย่างว่าใครกันแน่ในยุคสมัยนี้ที่เปรียบเสมือนพวกนาซี

งานภาพยนตร์ของนาดาฟ ลาพิด มุ่งสำรวจแนวคิดชาตินิยมของประเทศอิสราเอลมาตลอด ตั้งแต่ Policeman (2011), The Kindergarden Teacher (2014), Synonyms (2019) และ Ahed’s Knee (2021) ซึ่งเรื่องนี้ได้รับรางวัล Jury Prize ที่เทศกาลคานส์ ร่วมกับ Memoria (2021) ของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล โดย Ahed’s Knee มีตัวละครชื่อวายเหมือนกัน และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการควบคุมความคิดโดยอุดมการณ์ขวาจัดเช่นกัน พูดง่ายๆ ลาพิดทำหนังที่อาจถูกตีความได้ว่า ‘ชังชาติ’ หรือคือหนังที่รัฐไม่ถูกใจ เพราะเป็นการตั้งคำถามต่อนิยามความเป็นชาติอิสราเอลและโครงสร้างของรัฐที่สนับสนุนให้เกิดกระแสชาตินิยม

ความหนักหน่วงของเรื่อง Yes! มาจากตัวหนังเอง ทั้งการใช้ภาพและเสียงที่รบกวนโสตประสาท เพียงแค่ฉากเปิดที่เราเห็นวายปาร์ตี้ราวกับคนเสียสติก็อาจทำเอาคนดูหลายคนชั่งใจว่าจะดูต่อไหวหรือเปล่า หนังใช้ภาพฝันหรือภาพแฟนตาซีแทรกซึมเข้ามาในโลกความจริง การตัดต่อที่ไม่ได้แยแสความต่อเนื่องทางอารมณ์ และตัวละครวายกับเมียที่ทั้งน่ารังเกียจและน่าสมเพชไปพร้อมๆ กัน หนึ่งในฉากสำคัญของหนัง คือเมื่อวายกับแฟนเก่า ขับรถไปยังบริเวณที่เรียกว่า Hill of Love อันเป็นชื่อที่ช่างชวนให้ขำขื่น เพราะที่นี่เป็นเนินเขาที่คนอิสราเอลมา ‘ปิกนิก’ ชมภาพทิวทัศน์การทิ้งระเบิดโจมตีกาซ่า หรือเมื่อตัวละครหนึ่งบ่นว่ามีสำนักข่าวไหนบ้างที่ ‘anti-Israel’ พลางไล่ชื่อให้ฟัง ทั้ง BBC, CNN และอื่นๆ จากนั้นตัวละครนี้หันมาหากล้องและพูดกับคนดูหน้าตาเฉยว่า ‘พวกคุณก็ anti-Israel’ เป็นมุกกวนส้นเท้าที่ทำคนดูกระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน

ในมุมมองของผู้เขียน Yes! ไม่ใช่หนังที่ ‘สนับสนุน’ หรือ ‘ต่อต้าน’ อิสราเอลในความหมายหยาบๆ ของทั้งสองคำนั้น สิ่งที่หนังทำคือการพาคนดูเข้าไปสัมผัสความล้มเหลวทางจิตวิญญาณและความผุพังทางศีลธรรมของคนอิสราเอลอย่างวาย หนังทำงานราวกับเป็นภาพแทนความสับสนในสมองของคนอิสราเอลที่ทั้งรักชาติ ทั้งชิงชังตัวเองในความเพิกเฉย ทั้งโมโหและทั้งปลง ทั้งกระหายเลือดและทั้งสำนึกผิด ทั้งอยากฆ่าปาเลสไตน์ให้ตายให้หมดและทั้งน้อยใจที่คนทั้งโลกไม่เข้าใจว่าตัวเองเผชิญหน้ากับอะไร ความรู้สึกถาโถมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนทำให้คนคนหนึ่งแทบสูญเสียความรับรู้ในฐานะมนุษย์ปกติไปแล้ว นี่คือสภาวะของคนใกล้เสียสติ ที่ต้องเบนความสนใจตัวเองไปยังเรื่องไร้สาระต่างๆ เช่นการสังสรรค์ปาร์ตี้ อย่างที่เราเห็นวายทำแทบทั้งเรื่อง

หนังใส่มุกตลกร้ายหนึ่งเข้ามาในบทสนทนา เมื่อตัวละครหนึ่งเล่าเรื่องตลกให้เพื่อนฟังว่า “มีคนอิสราเอลเดินเข้าไปในบริษัทจัดทัวร์ท่องเที่ยว พนักงานถามเขาว่าจะไปเที่ยวที่ไหน และส่งลูกโลกให้พลางบอกว่า เลือกจากลูกโลกนี้เลยครับว่าอยากไปเที่ยวที่ประเทศไหน ผ่านไปสิบนาที พนักงานเดินกลับมาถามว่า เลือกได้หรือยังว่าจะไปไหน ชายคนนั้นตอบพนักงานว่า ยังเลือกไม่ได้ พอจะมีโลกอีกใบให้เลือกไหม” มุกนี้ทำเอาคนในโรงที่เมืองคานส์หัวเราะปรบมือ และทำให้ผู้เขียนฉุกคิดถึงข่าวพฤติกรรมนักท่องเที่ยวอิสราเอลในไทย (และในหลายประเทศ) ว่าการแสดงออกแย่ๆ ของนักท่องเที่ยวเหล่านั้นสามารถถูก ‘เข้าใจ’ ได้หรือไม่ในระดับหนึ่ง หากเรามองว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรจากวาย คือเป็นคนที่สับสน ระแวง และถูกกดดันทั้งจากโครงสร้างสังคมตนเองและจากภาพความเป็นผู้ร้ายในโลกจนต้องกลบเกลื่อนด้วยพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงดังที่เห็น

Yes! เป็นหนังที่คนทำต้องใจแข็งและกล้าหาญ เพราะในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ หนังจะถูกโจมตีจากทุกฝ่าย หากสนับสนุนปาเลสไตน์ จะเห็นว่าหนังไม่แรงพอ ดูยากเกินไป ไม่เลือกข้าง แถมยังพยายามทำให้คนดูมองความขัดแย้งผ่านสายตาฝั่งอิสราเอล ส่วนฝ่ายสนับสนุนอิสราเอลหรือฝ่ายขวาในประเทศ รับรองว่าด่าหนังเรื่องนี้เละแน่ๆ โดยเฉพาะการฉายภาพความพังพินาศของระบบศีลธรรมและการล้อเลียนพวกคลั่งชาติ ทั้งนี้ตัวนาดาฟ ลาพิด อาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส ทำให้ข้อหาที่ว่าเขาเป็นพวก ‘ชังชาติ’ ยิ่งถูกปั่นได้ง่ายด้วย

สถานการณ์ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลครั้งล่าสุด มีชนวนมาจากการที่ฝ่ายฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 แต่แท้จริงแล้ว การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอลอย่างไม่เป็นธรรม เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และดำเนินต่อเนื่องมายาวนานเกือบ 80 ปี ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมามีภาพยนตร์จำนวนไม่น้อยจากคนทำหนังปาเลสไตน์ อาหรับ และอิสราเอล ที่นำประเด็นความขัดแย้งนี้มาเล่า ทั้งในแบบหนังสารคดีหรือหนังฟิกชัน ทั้งในแบบหนังดราม่า เช่น Wedding in Galilee (1987, มิเชล คาลีฟี) หนังตลกร้ายอย่าง Divine Intervention (2002, เอเลีย สุไลมาน) หรือหนังที่ตรวจสอบประวัติศาสตร์การกดขี่และการพลัดถิ่นแบบ The Dream (1987, โมฮัมหมัด มาลาส) และอื่นๆ อีกมาก ในบรรดาคนทำหนังจากอิสราเอล หนังของลาพิดโดดเด่นด้วยความแรงในเนื้อหา การไม่กะพริบตาต่อหน้าความโหดร้าย และการเสียดสีสังคมอิสราเอลแบบไม่ไว้หน้า ยิ่งในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานในขณะนี้ หนังอย่าง Yes! เป็นคำเตือนถึงลัทธิชาตินิยมหัวรุนแรงว่าจะนำไปสู่การทำลายตัวตนของคนในสังคมได้อย่างไร

คำเตือนให้ระวังแนวคิดชาตินิยมนี้ อาจจะเผื่อแผ่มาถึงคนไทยหรือคนชาติอื่นๆ ที่พร้อมมัวเมาไปกับโฆษณาชวนเชื่อให้นิยมความรุนแรง และหูหนวกตาบอดกับความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติด้วย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save