เมื่อ X คือแดนเถื่อน

เมื่อ X คือแดนเถื่อน

หลายคนตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่แตกต่างกัน มีส่วนทำให้คนเข้าไปแชร์ ‘เนื้อหา’ ที่แตกต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น มีคำพูดทำนองว่า – ทวิตเตอร์หรือ X คือดินแดนดิบเถื่อน ใครไม่แน่จริงอย่าเข้ามา ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะแทบทุกข้อความที่ปรากฏอยู่ใน X ล้วนแต่ ‘กระแทก’ ใส่กันไปมา จนอาจเรียกได้ว่าไม่มีทั้งการยั้งมือและยั้งคิด

โดยเฉพาะเนื้อหาทางการเมือง!

Pew Research Center เพิ่งมีผลสำรวจเมื่อต้นปี 2024 เรื่องการใช้งานของผู้คนบนโซเชียลมีเดียสี่แพลตฟอร์ม ได้แก่ ติ๊กต็อก, X หรือ ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม รวมจำนวน 10,287 คน โดยสำรวจระหว่างวันที่ 18-24 มีนาคม 2024 เฉพาะในชาวเมริกันเท่านั้นนะครับ

ในการสำรวจ เขาถามว่าทำไมถึงใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งก็มีคำตอบหลากหลาย เช่น ใช้เพราะมันบันเทิงดี (อันนี้ติ๊กต็อกนำโด่งไปที่ 95%), ใช้เพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนพ้องและครอบครัว (แน่นอน ข้อนี้เฟซบุ๊กนำไปที่ 93%), ใช้เพื่อดูรีวิวสินค้าใหม่ๆ (ข้อนี้เป็นติ๊กต็อกอีกนั่นแหละครับที่มาแรง คือ 62%)

แต่คำตอบหนึ่งที่ทาง Pew Research Center ให้ความสนใจมากก็คือ – เอาไว้ใช้ติดตามข่าวสารเรื่อง ‘การเมือง’

สำหรับคำตอบนี้ X (หรือทวิตเตอร์) นำโด่งอยู่ที่ 59% ตามมาด้วยติ๊กต็อก ที่ 36% ส่วนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมนั้นพอๆ กัน คือ 26% ทั้งคู่

Pew สรุปว่า X เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้เพื่อติดตามข่าวสารทางการเมือง ส่วนแพลตฟอร์มที่เหลือนั้น มักใช้เพื่อความบันเทิงและการติดต่อเพื่อนและครอบครัวมากกว่า

ฟังอย่างนี้ ประกอบกับความเห็นที่ว่า X เป็นแดนเถื่อนเต็มไปด้วยการปะทะกัน เราจึงอาจพอพูดแบบขำๆ ได้ว่า – ดูจากภาพใหญ่ๆ แล้ว คล้ายว่า เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และติ๊กต็อก จะถูกนำมาใช้เพื่อการ ‘เชื่อมโยง’ (connect) แต่ X มักถูกใช้เพื่อการ ‘ตัดขาด’ (disconnect) เสียมากกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่เจ๋งจริง (คำว่า ‘เจ๋ง’ ในที่นี้แปลความได้หลายอย่างนะครับ!) ในเรื่องการตอบโต้กับคนอื่น – ส่วนใหญ่มักไม่เข้ามาใช้งาน X

หลายคนอาจจะมองว่า การโต้เถียงกันบน X น่าจะเป็น ‘ของถนัด’ ของคนที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยม (ในอเมริกาถือกันว่าคือฝั่งที่เลือกพรรคเดโมแครต) มากกว่าฝั่งอนุรักษ์นิยมใช่ไหมครับ

แต่เรื่องนี้ผิดถนัด!

เพราะ Pew บอกว่า ผู้ใช้ X ฝั่งรีพับลิกัน (หรืออนุรักษ์นิยม) ที่มองว่า X นั้นดีต่อกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม เพิ่มขึ้นจาก 17% มาเป็นถึง 53% ในปัจจุบัน พูดง่ายๆ ก็คือ ฝั่งอนุรักษ์ฯ มองว่าการใช้ X นั้น ‘ดี’ ต่อประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้นถึงราวสามเท่า

และกลับกัน ผู้ใช้ X ที่เป็นฝั่งเดโมแครต (หรือเสรีนิยม) กลับรู้สึกตรงข้าม คือรู้สึกไปในแง่ลบ โดยกลุ่มที่เห็นว่า X นั้น ‘แย่’ ต่อประชาธิปไตย เพิ่มจาก 28% ในปี 2021 มาเป็น 39% ในปัจจุบัน

เรียกว่าเป็นความเห็นที่ ‘สวนทาง’ กันอย่างสิ้นเชิง!

คำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ – ทำไมผู้ ‘นิยม X’ ถึงเป็นฝั่งอนุรักษ์นิยมไปได้ ทั้งที่การถกเถียงกันน่าจะเป็นคุณสมบัติของฝั่งเสรีนิยมมากกว่า

แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ อยากชวนมาดูว่า ‘ลักษณะ’ ของ X (หรือทวิตเตอร์เดิม) เป็นอย่างไรเสียก่อน

หลายปีก่อน เคยมีงานเขียนของคุณไบรอัน ออตต์ (Brian Ott) จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิสซูรี วิพากษ์วิจารณ์เรื่องทวิตเตอร์ (ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น X) กับการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ เอาไว้ ตอนต้นของงานชิ้นนี้พูดถึง ‘ตรรกะของทวิตเตอร์’ (Logic of Twitter) ว่าทวิตเตอร์มีลักษณะสำคัญต่างๆ ได้แก่

1. ทวิตเตอร์บังคับให้เรียบง่าย (Twitter demands simplicity.) ไม่ได้เรียบง่ายในความเห็นนะครับ แต่เรียบง่ายในข้อความ คือต้องเขียนข้อความสั้นๆ ทำให้ทวิตเตอร์สื่อสารแนวคิดที่ซับซ้อนไม่ค่อยจะได้ ผลลัพธ์ที่คุณออตต์วิพากษ์เอาไว้ก็คือ ผู้ใช้ทวิตเตอร์จะ ‘คิด’ และ ‘พูดคุย’ กันในเชิงตื้นเขินมากขึ้น ส่วนใหญ่ใช้เพื่อ ‘แสดงอารมณ์ความรู้สึก’ มากกว่าใช้เพื่ออธิบายเหตุผลรองรับความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะเหตุผลในเชิงวิเคราะห์ที่ต้องการไวยากรณ์การเขียนที่ซับซ้อนและยืดยาว

2. ทวิตเตอร์มุ่งเน้นความฉับพลันทันที (Twitter promotes impulsivity.) หรืออาจจะเรียกว่าความหุนหันพลันแล่นก็ได้ คือเห็นข้อความปุ๊บ ก็สามารถตอบสนองได้ในทันทีทันใดโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ผลลัพธ์ก็คือ ข้อความจำนวนมากในทวิตเตอร์จะเกิดจาก ‘อารมณ์ชั่ววูบ’ มากกว่าการไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ซึ่งคุณออตต์ใช้คำว่าก่อให้เกิด highly impulsive activity ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

3. ทวิตเตอร์ฟูมฟักการขาด ‘นาครวิสัย’ (Twitter fosters incivility.) คำว่า ‘นาครวิสัย’ เป็นศัพท์ที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั้งขึ้นเพื่อใช้แทนคำว่า civility นะครับ ปกติหลายคนแปลคำว่า civility ว่า ‘มารยาท’ แต่คำนี้มีรากที่แตกต่างไปจาก manners หรือ etiquette จึงต้องการคำแปลที่ต่างออกไป นาครวิสัยหมายถึงวัตรปฏิบัติที่คนเมืองหรือคนที่อยู่ในชุมชนหนึ่งๆ พึงปฏิบัติต่อกัน แต่ทวิตเตอร์จะมีบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ และขาดปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้ากัน ผลก็คือ ทวิตเตอร์ค่อยๆ นำทางไปสู่การมองว่าความหยาบคาย (แบบ incivility) นั้นเป็นบรรทัดฐานที่ ‘ปกติ’ มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อรวมทั้งสามปัจจัยของคุณออตต์เข้าด้วยกัน เราจะเห็นได้เลยว่า – โดยไม่ตั้งใจ (เพราะเกิดขึ้นเพื่อการ ‘ทวีต’ หรือส่งเสียงร้องสั้นๆ), ทวิตเตอร์ถูกพลวัตทางสังคมผลักดันไปจนกลายเป็นพื้นที่เปิดที่ถูกมองว่าเป็น ‘แดนเถื่อน’ ไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่ทวิตเตอร์หรือ X ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็คือการ ‘จำกัดความยาวของข้อความ’ นี่แหละครับ เพราะอาจมีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบ ‘เสียงก้องในห้องแคบ’ หรือ echo chamber ขึ้นมาได้

มีผู้วิเคราะห์ว่า ข้อความที่มีลักษณะ ‘สั้น’ แต่ ‘เร้าอารมณ์’ มากกว่า มักได้รับการแชร์ต่อและแพร่กระจายได้รวดเร็วและกว้างขวางกว่า โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ ปลุกระดม หรือสอดคล้องกับความเชื่อของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่ด้วยความที่เป็นข้อความสั้น จึงมักขาดบริบทและรายละเอียดที่จำเป็นต่างๆ ทำให้ ‘ส่ง’ (convey) ประเด็นซับซ้อนที่ผู้สื่อสารต้นทาง ‘อาจ’ ต้องการสื่อไปได้ไม่ครบถ้วน ผู้รับสารจึงอาจตีความไปตาม ‘ความเชื่อ’ หรือแม้กระทั่ง ‘อคติ’ และ ‘มายาคติ’ เดิมของตัวเองได้ง่าย ส่งผลให้เกิดการส่งต่อหรือโต้แย้งข้อความนั้นๆ ซึ่งถ้าแพร่หลายพอสมควร ก็จะกลายเป็นกลุ่มผู้เห็นด้วยหรือต่อต้าน แล้วเกิดวงจรการใช้ข้อความที่รุนแรงหรือหยาบคายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจัยเหล่านี้อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้งาน X มีลักษณะ ‘แบ่งขั้ว’ (partisanship) และ ‘หมกมุ่น’ อยู่กับการโต้เถียงเพื่อเอาชนะโดยหาพวกพ้องให้ได้มากกว่า จนบางทีละเลย ‘ข้อตั้ง’ (premise) ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงแต่แรกไปเลยก็มี

สุดท้ายเราจึงพบเห็นภาพของการยกย่อง ‘ความเผ็ดร้อน’ ให้อยู่เหนือ ‘เนื้อหา’ ได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ!

นั่นมีส่วนเสริมการก่อกำเนิดของ ‘ลัทธิเผ่าออนไลน์’ (online tribalism) ขึ้นมา และยิ่งทำให้ปรากฏการณ์ที่ว่ามาทั้งหมดเข้มข้นร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างหยุดไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อลัทธิเผ่ามีส่วนสร้างบรรยากาศของการเมืองเชิงอัตลักษณ์ (identity politics) อย่างเข้มข้น จนผู้คน ‘ยึดติด’ กับการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกันจนเกิดอาการ ‘หลงฝูง’ (ในความหมายของอาการลุ่มหลงไม่ลืมหูลืมตา) และสุดท้ายก็มองข้ามความซับซ้อนของปัญหา สิ่งที่ทำได้ไปวันๆ จนคิดว่าเป็นนิพพานของฝ่ายตัวเอง – ก็คือการโจมตีอีกฝ่ายแทนการหาทางออกร่วมกัน

เมื่อภาพใหญ่ของการใช้ X เป็นแบบนี้ คำถามที่ว่าทำไมผู้ใช้งาน X ฝั่งอนุรักษ์นิยมจึงมองว่า X ดีต่อระบอบประชาธิปไตยมากกว่า จึงมีคำตอบที่น่าตั้งคำถามกลับไปอีกหนว่า – มันคือประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่!

ที่จริงแล้ว X หรือทวิตเตอร์เดิมนั้น เป็นโซเชียลมีเดียที่สำคัญมาก เพราะมีลักษณะเด่นตรงการส่งข้อความสั้นที่มาจากแนวคิดเรื่อง microblogging หรือการเขียน ‘ข้อความจิ๋ว’ เพื่อเสนอไอเดีย ความคิดเห็น และการ ‘บอก’ ให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่แบบเร็วๆ แถมยังออกแบบให้เรียบง่าย ตัดทอนฟีเจอร์อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นทิ้งไป จะได้อ่านง่าย พิมพ์สะดวก ความสั้นและง่ายจึงทำให้ผู้คนเข้ามาใช้งานทวิตเตอร์กันเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น X จึงควรเป็น ‘พื้นที่’ ให้มนุษย์เราได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี จะเป็นความคิดเห็นทางการเมืองหรือไม่ก็ได้ โดยอุดมคติแล้ว ข้อความสั้นเหล่านั้นควรจะมีจำนวนมากมายมหาศาลเพราะมันข้ามพ้นการใช้ลีลาภาษาจนสื่อสารได้ง่าย จึงควรจะทำให้เราเห็นถึง ‘ความหลากหลาย’ ทางความคิดและความเป็นไปได้ต่างๆ นานาไม่รู้จบ แทนที่จะ ‘ถูกขัง’ อยู่กับเสียงก้องในห้องแคบและลัทธิเผ่าของตัวเอง

น่าเสียดาย ที่ผลลัพธ์ในปัจจุบันกลับกลายเป็นตรงข้าม เพราะผู้ใช้แต่ละฝ่าย ‘ฉวยใช้’ (exploit) ลักษณะต่างๆ ของ X เพื่อดึงดูด ‘ฝูง’ ของตัวเองให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำ ‘เสียง’ เหล่านั้นไปใช้เป็นไพร่พลสู้รบปรบมือกับ ‘ฝูง’ อื่นๆ และบ่อยครั้งก็เลยไปถึงการเผยแพร่ ‘ข่าวลวง’ (fake news) ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวด้วย

ในภาพใหญ่ X จึงตกอยู่ในสภาพ ‘ดงระเบิด’ หรือ ‘แดนเถื่อน’ อย่างน่าเสียดาย!          

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save