จากการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านไปในรอบปีนี้ ทั้ง อบจ. (1 กุมภาพันธ์ 2568) และเทศบาล (11 พฤษภาคม 2568) มีประเด็นหนึ่งที่ผมสนใจไม่แพ้ผลการเลือกตั้ง นั่นคือ ‘สถิติผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง’ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการเลือกตั้ง บางแห่งที่ได้นายกคนใหม่ซึ่งเอาชนะคนเดิมที่ครองตำแหน่งมานานได้ก็เพราะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิที่เพิ่มขึ้น
ในภาพรวมเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าจำนวนผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าการเลือกตั้ง สส. ทว่ามีข้อแตกต่างระหว่าง อปท. แต่ละประเภท นั่นคือ ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.น้อยกว่าเทศบาล ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเทศบาลน้อยกว่า อบต. และผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อปท.รูปแบบพิเศษน้อยที่สุด แม้แต่เทศบาลเองในแต่ระดับก็ไม่เหมือนกัน เทศบาลตำบลมากกว่าเทศบาลเมือง และเทศบาลเมืองก็มากกว่าเทศบาลนคร (ดูตารางที่ 1) จนอาจพูดได้ว่ายิ่งท้องถิ่นมีขนาดเล็ก เปอร์เซ็นต์ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งยิ่งสูง ด้วยเชื่อว่าเพราะยังมีสายใยในชุมชนและความเป็นเครือญาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
หากพิจารณารายจังหวัดพบว่ามีเพียง 2 จังหวัดที่ติดอันดับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสูงสุดในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น โดยเป็นการสลับตำแหน่งอันดับหนึ่งกันระหว่างลำพูนกับพัทลุง (ดูตารางที่ 2)
ขณะที่สถิติของจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยพบว่ามีความแตกต่างกันระหว่างระดับชาติกับของท้องถิ่น โดยมักเป็นกลุ่มเดียวกันในการเลือกตั้งแต่ละระดับ กล่าวคือถ้าเป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมักเป็นจังหวัดปริมณฑล อย่างนนทบุรี ปทุมธานี กับชลบุรี ขณะที่ระดับชาติเป็นจังหวัดภาคอีสาน เช่น หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี (ดูตารางที่ 3)
ตารางที่ 1: สัดส่วนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ระหว่างปี 2562-2568[1]
การเลือกตั้งระดับชาติ | การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น | ||||||||
ปี | สส. | ร้อยละ | ปี | อบจ. | เทศบาล | อบต. | รูปแบบพิเศษ | ||
2562 | รวมทั้งหมด | 75.71 | 2563-2565 | 62.86 | นคร | 54.62 | 74.58 | กทม. | 60.73 |
ไม่รวมเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต และนอกราชอาณาจักร | 71.52 | เมือง | 62.10 | เมืองพัทยา | 49.96 | ||||
ตำบล | 71.17 | ||||||||
รวม | 62.63 | ||||||||
2566 | รวมทั้งหมด | 74.87 | 2568 | 55.71 | นคร | 51.52 | ต้นปี 2569 | กทม. | กลางปี 2569 |
ไม่รวมเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต และนอกราชอาณาจักร | 70.06 | เมือง | n/a | เมืองพัทยา | |||||
ตำบล | n/a | ||||||||
รวม | 63.08 | ||||||||
ค่าเฉลี่ย | รวมทั้งหมด | 75.29 | ค่าเฉลี่ย รวม 61.48 | 59.28 | นคร | 53.07 | – | กทม. | – |
ไม่รวมเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต และนอกราชอาณาจักร | 70.79 | เมือง | n/a | เมืองพัทยา | |||||
ตำบล | n/a | ||||||||
รวม | 62.85 |
ตารางที่ 2: จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นมากที่สุด 5 ลำดับแรก ระหว่างปี 2562-2568
การเลือกตั้ง อันดับ | สส. ปี 2562 | อบจ. ปี 2563 | เทศบาล ปี 2564 | อบต. ปี 2564 | สส. ปี 2566 | อบจ. ปี 2567-2568 | เทศบาล ปี 2568 |
1. | ลำพูน (87.34%) | พัทลุง (78.04%) | พัทลุง (83.43%) | พัทลุง (84.97%) | ลำพูน (86.25%) | ลำพูน (73.43%) | พัทลุง (81.89%) |
2. | แม่ฮ่องสอน (83.46%) | ลำพูน (77.86%) | ลำพูน (78.76%) | ตรัง (83.38%) | เพชรบุรี (84.52%) | นครนายก (73.00%) | ปราจีนบุรี (78.82%) |
3. | เชียงใหม่ (83.33%) | นครนายก (75.79%) | ราชบุรี (77.80%) | สุราษฎร์ธานี (83.26%) | พัทลุง (84.46%) | พัทลุง (72.56%) | ฉะเชิงเทรา (76.17%) |
4. | พัทลุง (83.27%) | สตูล (74.29%) | ฉะเชิงเทรา (77.49%) | สงขลา (82.76%) | นครปฐม (83.52%) | นราธิวาส (68.42%) | ลำพูน (75.29%) |
5. | สตูล (82.32%) | เชียงใหม่ (71.95%) | ปราจีนบุรี (77.11%) | เพชรบุรี (82.60%) | ฉะเชิงเทรา (82.84%) | มุกดาหาร (68.02%) | มุกดาหาร (74.59%) |
ตารางที่ 3: จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นน้อยที่สุด 5 ลำดับแรก ระหว่างปี 2562-2568
การเลือกตั้ง อันดับ | สส. ปี 2562 | อบจ. ปี 2563 | เทศบาล ปี 2564 | อบต. ปี 2564 | สส. ปี 2566 | อบจ. ปี 2567-2568 | เทศบาล ปี 2568 |
1. | หนองคาย (67.04%) | นนทบุรี (50.02%) | นนทบุรี (45.83%) | n/a | หนองบัวลำภู (67.29%) | ปทุมธานี (37.52%) | นนทบุรี (42.65) |
2. | หนองบัวลำภู (67.68%) | ชลบุรี (53.55%) | ชลบุรี (54.65%) | n/a | อุดรธานี (67.49%) | นครสวรรค์ (37.57%) | ชลบุรี (48.01%) |
3. | อุดรธานี (67.82%) | สมุทรสาคร (54.42%) | สมุทรสงคราม (55.08%) | n/a | หนองคาย (67.49%) | นนทบุรี (41.12%) | สมุทรปราการ (49.10%) |
4. | สกลนคร (68.71%) | สุรินทร์ (55.52%) | ภูเก็ต (56.55%) | n/a | สกลนคร (68.18%) | กำแพงเพชร (45.08%) | ภูเก็ต (50.80%) |
5. | สุรินทร์ (68.85%) | บุรีรัมย์ (55.76%) | ปทุมธานี (57.08%) | n/a | สุรินทร์ (69.38%) | ชลบุรี (45.24%) | ปทุมธานี (51.88%) |
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ ทำไมคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งระดับท้องถิ่นน้อยกว่าระดับชาติ ทั้งที่หักส่วนที่เป็นการเลือกตั้งล่วงหน้า เลือกตั้งนอกเขต และเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่มีอยู่ 4-5% ออกไปแล้ว ดูจากค่าเฉลี่ยมีช่องว่างอีกราว 9% เสียงเหล่านี้หายไปไหนในการเลือกตั้งท้องถิ่น
สมมติฐานที่ผมมี เช่น วัยรุ่นไม่สนใจการเมืองท้องถิ่น ผู้ที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่ที่ตนมีชื่อในทะเบียนบ้านกลับบ้านไปเลือกตั้งเฉพาะคราว สส. หรือกำหนดวันเลือกตั้งไม่เหมาะสม กระแสข่าวเชิงลบที่มีในสื่อสารมวลชนก่อนเลือกตั้ง รวมไปถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของภาครัฐยังไม่ดีเพียงพอ
ช่วงวัยกับความใส่ใจในการเมืองท้องถิ่น
เกี่ยวกับประเด็นนี้ไม่ได้มีตัวเลขยืนยัน เนื่องด้วยการรายงานสถิติผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่เคยจำแนกกลุ่มอายุให้เห็น
จากการสอบถามผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งเทศบาลให้กับ WeWatch ในหลายหน่วยหลายจังหวัดต่างบอกตรงกันว่า จาก 10 คนที่เห็นเดินมาคูหาเลือกตั้ง เป็นวัยรุ่นแค่ 1-2 คน สำทับด้วยข่าวคราวบรรยากาศหน่วยเลือกตั้งที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นไปด้วยความเงียบเหงา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กรณีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อให้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอม นักศึกษาก็ไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก ดูได้จากจำนวนผู้ใช้สิทธิเมื่อคราวเลือกตั้ง อบจ. ซึ่งอยู่ที่ราว 40% ทว่าครั้งนี้ลดลงกว่าครึ่งซึ่งน่าจะเป็นเพราะอยู่ระหว่างปิดเทอมด้วย[2]
งานวิจัยเรื่องนี้มีอย่างจำกัดมาก ชิ้นหนึ่งที่พบเป็นการเลือกศึกษาการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาโดยพบว่า ช่วงอายุที่ออกไปเลือกตั้งมากที่สุดอยู่ระหว่าง 41-51 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่จึงออกไปใช้สิทธิมากกว่าประชากรที่อายุน้อยที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่[3]
อีกเรื่องที่น่าสนใจเป็นการศึกษาการไม่ไปใช้สิทธิของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทว่าทำนานแล้วและเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พบว่าปัจจัยด้านระบบการเมือง เช่น ความเบื่อหน่ายต่อนักการเมือง ไม่เชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรม ตลอดจนปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ติดธุระ ไปต่างจังหวัด เจ็บป่วย ต้องการพักผ่อน ล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในระดับสูงและปานกลางตามลำดับ โดยมีความแตกต่างระหว่างคณะสายวิทยาศาสตร์กับคณะสายสังคมศาสตร์[4]
เพจ Connect the Dots ปล่อยบทวิเคราะห์ออกมาหลังจากการเลือกตั้งเทศบาลหนนี้แทบจะทันทีโดยชี้ว่า แนวโน้มของ Youth Apathy หรือความไม่แยแสทางการเมืองของเยาวชนเป็นผลจากความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะกับความผิดหวังที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล ทำให้คน Gen Z (กลุ่มอายุช่วง 16-30 ปี) มีความคิดว่า “จะเลือกไปทำไม เมื่อเลือกไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ซึ่งนอกจากจะไม่อยากออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ยังเมินเฉยต่อประเด็นทางสังคมและการเมือง ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ยิ่งการเมืองท้องถิ่นยิ่งห่างไกลไปจากวิถีชีวิตของคนรุ่นนี้ทำให้ความตื่นตัวลดน้อยถอยลงไปอีก[5]
มิหนำซ้ำก่อนการเลือกตั้งยังมีข่าวคราวที่ไม่สู้ดีของนักการเมืองท้องถิ่นยึดพื้นที่บนหน้าสื่อกระแสหลักต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีของผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล ลูกชายของอดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรีขับรถเก๋งเบียดรถกระบะของลุง-ป้าจนได้รับอุบัติเหตุ
การอพยพย้ายถิ่นของคนทำงาน
รายงานการสำรวจการย้ายถิ่นของประชากรประจำปี 2567 ระบุว่า ผู้ย้ายถิ่นกว่า 80% ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่อื่น แยกเป็นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดอื่น ร้อยละ 40 อยู่ภายในจังหวัดที่อยู่ปัจจุบัน ร้อยละ 25 และอยู่ต่างประเทศ ร้อยละ 15 ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างเอกชนถึงกว่าร้อยละ 70
สาเหตุด้านการงานคือสาเหตุหลักของการย้ายถิ่น รองลงมาเป็นเรื่องครอบครัว โดยที่ภาคกลางมีผู้ย้ายถิ่นสูงกว่าภาคอื่นๆ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนปัญหาความเจริญกระจุกตัวในเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรม รวมถึงความจำเป็นในการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่แท้จริงในพื้นที่[6]
โอกาสที่คนกลุ่มที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จังหวัดอื่นจะกลับไปเลือกตั้งจึงน้อย ขณะที่คนที่อยู่ต่างประเทศนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ คนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดเดียวกันมีโอกาสสูงกว่า แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าบางจังหวัดมีขนาดใหญ่ แม้แต่การเดินทางภายในจังหวัดเองก็ไม่ได้สะดวกรวดเร็วแต่อย่างใด
ถ้าเป็นการเลือกตั้งใหญ่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลับเพราะเห็นว่าสำคัญ ขณะที่การเลือกตั้งท้องถิ่นมีบ่อยและเกิดขึ้นไม่พร้อมกันจนอาจสร้างภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางยิ่งกว่า และอาจทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะกลับหรือไม่
สอดคล้องกับเหตุผลที่ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ส่วนใหญ่แจ้งกับทางการ โดยมีข้อมูลทั้งในปี 2563 กับปี 2568 สอดคล้องกัน นั่นคือประมาณ 60% ให้เหตุผลว่ามีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร รองลงมาคือมีกิจธุระจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล อยู่ที่ราวๆ 10-20%
ข้อสังเกตคือในการเลือกตั้ง อบจ. ปีนี้มีคนแจ้งเหตุเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัว เมื่อเทียบกับตอนปี 2564 เพิ่มจาก 632,461 คนเป็น 1,456,220 คน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ทาง กกต. นำเอาระบบแจ้งเหตุออนไลน์มาใช้กับการเลือกตั้งท้องถิ่นและประชาสัมพันธ์อย่างแข็งขัน (ให้น้ำหนักเสียยิ่งกว่าการณรงค์ให้คนออกไปใช้สิทธิกันเยอะๆ)
ช่วงเวลาและวันเลือกตั้งไม่เอื้อ
วันเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมามักถูกกำหนดขึ้นในช่วงก่อนที่จะมีการครบวาระไม่นาน เช่น อบจ. ครบวาระ 20 ธันวาคม 2567 โดยที่ กกต. เห็นชอบแผนจัดการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 หรือเทศบาลครบวาระ 27 มีนาคม 2568 โดยที่ กกต. เห็นชอบแผนจัดการเลือกตั้งในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568
การกำหนดวันเลือกตั้งดังกล่าวถือว่าค่อนข้างกระชั้นชิดทั้งสองกรณี กล่าวคือเพียงประมาณสามเดือนก่อนวันเลือกตั้งจริง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้เกินกว่านั้น ทั้งที่วันเลือกตั้งควรถูกประกาศออกมาล่วงหน้าเป็นปีๆ และควรถูกบรรจุลงในปฏิทินเฉกเช่นวันหยุดราชการ
ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่เลือกจัดการเลือกตั้งก็ส่งผล ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเลือกตั้ง อบจ. ที่จัดในวันเสาร์มีผลให้ผู้ใช้สิทธิลดลงไปพอสมควร สาเหตุมาจากต้องทำงานในวันนั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพลูกจ้างได้ค่าแรงรายวัน หรือการเลือกตั้งเทศบาลที่จัดตรงช่วงหยุดยาวสามวันพอดี จึงเกิดเป็นคำถามว่าส่งเสริมให้คนกลับภูมิลำเนาเพื่อไปเลือกตั้งหรือเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างประเทศมากกว่ากัน
หวังว่าบทความชิ้นนี้อย่างน้อยจะกระตุ้นให้ กกต. จัดเก็บและเผยแพร่สถิติให้ละเอียดยิ่งขึ้น อาทิ จำแนกเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามช่วงอายุ เหตุผลอันแท้จริงที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขณะเดียวก็อยากเห็นงานศึกษาวิจัยที่เจาะลึกอีกด้าน นั่นคือการ ‘ไม่’ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นโดยเฉพาะ ทั้งที่มุ่งศึกษาเชิงพื้นที่ในกลุ่มจังหวัด ตลอดจนกลุ่มอายุที่เชื่อกันว่าออกไปใช้เลือกตั้งกันน้อย ทั้งหมดนี้ย่อมช่วยให้เรามีคำตอบแจ่มชัดขึ้น
ส่วนข้อเรียกร้องที่ไปไกลกว่าคือ สิทธิในการเลือกตั้งท้องถิ่นในเขตเลือกตั้งตามพึงประสงค์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถกำหนดได้ว่าจะเลือกตั้ง ณ ท้องถิ่นที่อาศัยปัจจุบันหรือที่ซึ่งตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
[1] สำหรับข้อมูลในตารางที่ 1-3 ร้อยละของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นยึดสถิติจากการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูลที่รวบรวมโดยทีมงาน The Active ของทาง Thai PBS ดู “เลือกตั้ง สส. ฮาฮา เลือกตั้งท้องถิ่นฮือฮือ: เปิดสถิติเลือกตั้งท้องถิ่นไทย ทำไมน้อยกว่าระดับชาติ!,” The Active (9 พฤษภาคม 2568), จาก https://theactive.thaipbs.or.th/data/local-elections-stat ยกเว้น อบต. ใช้ตัวเลขจากการแถลงข่าวของ กกต. ซึ่งไม่มีข้อมูลในรายละเอียด ขณะที่สถิติในการเลือกตั้งเทศบาลครั้งล่าสุดในปี 2568 ยังไม่สมบูรณ์ กกต.อยู่ระหว่างการรวบรวม
[2] “เลือกตั้งเทศบาล ในมช.เงียบเหงา นับคะแนนได้ไว ทั้ง 4 หน่วย คนมาใช้สิทธิ 21%,” มติชนออนไลน์ (11 พฤษภาคม 2568), จาก https://www.matichon.co.th/region/news_5178049
[3] วินัย มีสุข, “ปัจจัยอันมีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศึกษาเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 1,” วารสารรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน), 2561, 47-55.
[4] ศุภชัย ทาคำ, ปัจจัยที่มีผลต่อความคิดเห็นในการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนิสิตนักศึกษาไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2544.
[5] ดู https://www.facebook.com/th.connectthedots/photos/จะเลือกไปทำไม-เมื่อเลือกไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง-แนวโน้ม-youth-apathy-ที่ทำให้-g/1172846227973997/
[6] สำนักงานสถิติแห่งชาติ, การสำรวจการย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. 2567, (กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2568), บทสรุปผู้บริหาร.