ไม่นานนี้รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ประกาศทำการทดลองทางสังคมครั้งใหญ่ด้วยการแจกเงินก้อนใหญ่แก่กลุ่มคนไร้บ้าน
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจคือผู้รับผิดชอบการวิจัยเชิงทดลองที่จะแจกเงินให้กับกลุ่มตัวอย่างคนไร้บ้านจำนวน 360 คน โดยทีมวิจัยแบ่งผู้รับเงินเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะทำหน้าที่เป็นตัวแปรควบคุมได้รับความช่วยเหลือเช่นที่ผ่านมาตามเดิม ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะได้รับแจกเงินสดก้อนใหญ่จากรัฐบาล
ศาสตราจารย์ไมเคิล แซนเดอร์ส หัวหน้าโครงการวิจัยชี้ว่าเป้าหมายของของนโยบายดังกล่าวคือการแก้ปัญหาความยากจนเรื้อรังเช่นกรณีคนไร้บ้าน โดยงานวิจัยมุ่งทำความเข้าใจขอบเขตของนโยบายนี้ว่าจะได้ผลในสถานการณ์ใด จะได้ผลกับใคร และต้องใช้งบประมาณเท่าไร
นโยบายทำนองนี้มักนำมาซึ่งข้อถกเถียงในหลายระดับ บทความนี้อยากชวนผู้อ่านคลี่ข้อถกเถียงในประเด็นเหล่านี้ รวมถึงสำรวจฐานคิดในการออกแบบนโยบายโดยทั่วไปและตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอังกฤษในกรณีนี้
‘ของ’ vs ‘เงิน’ : ควรแจกอะไรดี?
รัฐสวัสดิการมักมาในรูปแบบการแจกของตามความขาดแคลน เช่น ถ้าประชาชนบางส่วนป่วยแล้วไม่มีเงินรักษาพยาบาล รัฐบาลอาจนำเงินภาษีลงทุนสร้างระบบเพื่อแจกการรักษาพยาบาลฟรีหรือราคาถูก หากคนไม่มีบ้าน รัฐบาลอาจสร้างบ้านของรัฐให้คนอยู่อาศัย ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างระบบสวัสดิการในรูปแบบดั้งเดิม หรือที่รัฐบาลอังกฤษปัจจุบันเรียกว่าแบบ ‘ตามประเพณี’ (traditional)
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนจากการแจกของมาแจกเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ผ่านมาจะทำในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่น การแจกเงินช่วยเหลือในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด เป็นต้น สำหรับรัฐบาลในประเทศตะวันตก การที่รัฐบาลแจกเงินก้อนใหญ่แบบทีเดียวจบให้กับประชาชนโดยตรงเพื่อแก้ปัญหาความยากจนถือว่าแหวกประเพณีอยู่พอสมควร
ข้อโต้แย้งสำคัญต่อการแจกเงินคือหลายคนอาจกังวลว่าเงินดังกล่าวจะถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ ตัวอย่างเช่นในปี 2002 ที่ปรึกษารัฐซานฟรานซิสโกต่อต้านการแจกเงินช่วยเหลือคนไร้บ้าน เพราะเชื่อว่าเงินจะถูกนำไปใช้ซื้อยาเสพติดและแอลกอฮอล์และ ‘การให้เปล่า’ จะทำให้คนอยากพึ่งพาช่วยเหลือตนเองน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเช่นนี้เริ่มถูกท้าทายโดยกลุ่มนักวิจัยในแคนาดาเคยทดลองแจกเงินให้คนไร้บ้าน 50 คน โดยให้เงิน 7,500 ดอลลาร์แคนาดาพร้อมอบรมการใช้จ่ายเงิน ก่อนค้นพบผลลัพธ์สวนทางความเชื่อข้างต้น กล่าวคือ คนที่ได้รับนำเงินไปใช้ซื้อที่พัก อาหาร เสื้อผ้า และสิ่งจำเป็นอื่น ในภาพรวม นโยบายดังกล่าวทำให้คนไร้บ้านเข้าถึงสิ่งของจำเป็นได้ในต้นทุนต่ำกว่าการรอให้รัฐบาลจัดหาของเหล่านี้มาให้ถึง 10% ต่อหัว[1]
อีกข้อดีที่คาดการณ์คือการแจกเงินสดช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายให้ผู้รับ เช่น คนไร้บ้านที่เตรียมสัมภาษณ์งานสามารถใช้เงินซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับงานของตนเองได้ทันที
ข้อค้นพบเชิงบวกเหล่านี้ทำให้สำหรับนโยบายการแจกเงินโดยตรงกลายเป็นที่สนใจของรัฐบาลอังกฤษในปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริบทที่วิกฤตคนไร้บ้านเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศมากว่าครึ่งศตวรรษ และเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน โดยมีข้อมูลที่น่าตกใจเช่นมีประชากรเด็กหลักแสนตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว[2]
‘ถ้วนหน้า’ (universal) vs ‘เฉพาะกลุ่ม’ (target): ควรแจกใครบ้าง
ในบริบทการทดลองทางนโยบายของอังกฤษ รัฐบาลประกาศชัดเจนว่ามุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มคนไร้บ้าน เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อถกเถียงมากนักในโลกจริง ซึ่งเข้าใจได้เพราะฝ่ายสนับสนุนนโยบายเองก็ประกาศเป้าหมายชัดเจนไปที่สาระการแก้ปัญหาให้กลุ่มคนไร้บ้านและความยากจน ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินเลย (แต่ต้านไม่อยู่) ถ้าให้เลือกระหว่างแจกถ้วนหน้ากับแจกเฉพาะกลุ่ม พวกเขาย่อม ‘เกลียด’ การทำนโยบายเฉพาะกลุ่มน้อยกว่าการแจกเงินแบบถ้วนหน้า
แนวคิดขั้วตรงข้ามของการแจกเฉพาะกลุ่มคือ การแจกเงินอย่างถ้วนหน้า ซึ่งเหตุผลพื้นฐานที่สุดของผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือฐานคิดเรื่องสิทธิและพวกเขามุ่งวิพากษ์ปัญหาของการให้สวัสดิการเฉพาะกลุ่มไว้สองประการ
ประการแรก นโยบายเฉพาะกลุ่มจะนำไปสู่การจัดตั้งระบบการคัดกรองจำแนกผู้ได้-ไม่ได้สิทธิ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดจนทำให้มีคนตกหล่นไป นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่หน้างานหรือบุคคลที่สามเข้ามาล้วงหาผลประโยชน์ได้
ปัญหาทำนองเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นในกรณีนโยบายข้างต้นเมื่อพิจารณานิยาม ‘คนไร้บ้าน’ ตามกฎหมายอังกฤษที่ต้องมีการตีความตัดสิน กล่าวคือคนไร้บ้านไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่อยู่ตามพื้นที่สาธารณะ (rough sleeper) แต่ยังรวมถึงกรณีซับซ้อน เช่น คนที่อยู่อาศัยในบ้านที่ ‘ไม่ได้มาตรฐาน’ อยู่ในบ้านภายใต้ ‘ความเสี่ยง’ จากการถูกขู่เข็ญหรือทำร้ายร่างกาย หรือ ‘จำใจ’ อยู่อาศัยในที่ที่ถูกตัดขาดจากครอบครัว[3] การประเมินว่าใครเข้าข่ายกรณีเหล่านี้อาจเอื้อให้มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อให้ประเมินบ้านตนเองว่า ‘ไม่ได้มาตรฐาน’ เป็นต้น
ประการที่สอง การแจกเฉพาะกลุ่มอาจนำมาซึ่งปัญหาการถูกตีตราจากผู้อื่น การเหยียด หรือการสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองของผู้รับ เช่นในอดีตผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านสังคมสงเคราะห์ของรัฐบาลมักถูกมองเป็นคนชั้นล่าง-ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในปัจจุบันยังมีทีมฟุตบอลจากย่านร่ำรวยในประเทศอังกฤษที่ยังนำเรื่องการรับความช่วยเหลือมาแต่งและร้องเป็นเพลงล้อเลียนทีมจากเมืองยากจนหรือเคยยากจน เช่นแฟนทีมลิเวอร์พูลมักถูกร้องเพลงล้อเลียนว่าเป็นพวก ‘นักเซ็นชื่อรับสวัสดิการจากรัฐ’
น่าสนใจว่าข่าวการแจกเงินคนไร้บ้านในประเทศอังกฤษยังไม่ปรากฏข้อถกเถียงทำนองนี้ แต่ด้วยเหตุผลที่กล่าวไป หากเราไปถามฝ่ายที่สนับสนุนการแจกเงินแบบถ้วนหน้า คาดการณ์ได้ว่าหลายคนจะบอกว่านโยบายแจกเงินเฉพาะกลุ่มไม่ดีพอด้วยเหตุผลที่ว่า
‘มีเงื่อนไข’ (conditional) vs ‘ไม่มีเงื่อนไข’ (unconditional): แจกอย่างไร?
หากตัดสินใจแจกเงิน ความกังวลที่อาจยังค้างคาใจคนจำนวนมากโดยเฉพาะฝั่งอนุรักษนิยมในอังกฤษก็จะย้อนกลับไปที่เรื่องปัญหาการใช้จ่ายอย่างสูญเปล่า หรือการทำให้ผู้รับเงินเกิดนิสัยช่วยเหลือตัวเองไม่เป็นจนเคยตัว แย่กว่านั้นคือการเอาเงินไปใช้ในทางที่ทำให้ชีวิตผู้รับแย่กว่าเดิม ข้อกังวลดังกล่าวทำให้กลุ่มคนที่กังวลเรื่องนี้พยายามหาและต่อรองเงื่อนไขที่จะช่วยกำกับการใช้เงินให้ไปในทางที่เหมาะสม
ตัวอย่างหนึ่งคือการโอนเงินไปที่บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษาแก่คนไร้บ้าน โดยให้คนเหล่านี้มีอำนาจห้ามการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม หรืออีกทางคือการทยอยจ่ายเงินตามวาระ เพื่อไม่ให้ใช้ทีเดียวหมด อีกตัวอย่างที่เป็นที่นิยมคือการกำหนดเงื่อนไขการรับเงิน เช่น ต้องพิสูจน์ว่าได้พยายามหางานหรือพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ในทางกลับกันการแจกเงินอย่างมีเงื่อนไขก็สร้างข้อกังวลเรื่องการคอร์รัปชันโดยเจ้าหน้าที่หน้างานผู้ประเมินคัดกรองว่าใครควรได้รับความช่วยเหลือที่กล่าวถึงไปแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการวางเงื่อนไขอาจนำไปสู่ผลลัพธ์อื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เคยมีนักสังคมวิทยาพบว่าการที่กลุ่มคนยากไร้ต้องคอยมาเปิดเผยบอกเล่าถึงความพยายามและล้มเหลวของตนต่อผู้ประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเข้าเงื่อนไข อาจส่งผลให้บุคคลดังกล่าวสูญเสียความเชื่อมั่นและศักยภาพส่วนบุคคลไปเรื่อยๆ จากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘shamefulness revelation’
นอกจากนี้ยังมีประเด็นคำถามเรื่องบทบาทรัฐในฐานะ ‘คุณพ่อรู้ดี’ กล่าวคือรัฐมีอำนาจในการตัดสินว่าผู้รับควรใช้เงินไปกับอะไรจึงดีกับตัวเอง หรือกิจกรรมอะไรไม่เหมาะสมราวกับประชาชนเป็น ‘เด็กน้อย’ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจที่รัฐเสรีนิยมแบบอังกฤษพยายามหลีกเลี่ยงหากไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม ควรหมายเหตุไว้ด้วยว่าต่อให้เป็นการแจกเงินอย่างไร้เงื่อนไขและผู้ใช้นำเงินไปใช้ในทางที่ดูไม่เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นว่าแนวทางดังกล่าวต้องล้มเหลวหรือสูญเปล่าเสมอไป ตัวอย่างเช่นระบบสวัสดิการคนไร้บ้านในฟินแลนด์มอบทั้งที่พักและสวัสดิการอื่นให้กับคนติดยาไร้บ้าน และยังคงอนุญาตให้กลุ่มคนดังกล่าวนำทรัพยากรที่ได้ไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นยาเสพติดมาใช้ในที่พักได้ ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือแนวทางดังกล่าวทำให้คนไร้บ้านยอมเข้ามาอยู่ในที่พำนักของรัฐและใช้ยาเสพติดน้อยลงหรือเลิกยาได้ หลังจากได้มีชีวิตอยู่ในสภาพปกติ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มั่นคงขึ้น หากเป็นไปในกรณีเช่นนี้ ก็ถือได้ว่านโยบายได้ผลในระดับหนึ่ง แม้จะมีการใช้สวัสดิการไปในทางไม่พึงประสงค์ก็ตาม[4]
‘ความยุติธรรม’ กับการออกแบบนโยบาย: ท่าทีซ้ายๆ กลางๆ ของรัฐบาลอังกฤษ
การออกแบบนโยบายมีฐานคิดความยุติธรรมรองรับอยู่เสมอไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แม้แต่ในกรณีการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้มีอำนาจก็ยังต้องหาทางอธิบายความชอบธรรมของนโยบายตนเองในนามความยุติธรรมบางประการ
การแจกเงินหรือสวัสดิการก็เป็นเช่นนั้น ในกรณีส่วนใหญ่ผู้ที่สนับสนุนหรือต่อต้านมักอ้างอิงไปที่ฐานคิดความยุติธรรมบางประการ ซึ่งฐานคิดแต่ละประเภทก็จะส่งผลต่อรายละเอียดนโยบายที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่นนักปัจเจกชนนิยมฝ่ายขวา (right-libertarian) ที่ยึดถือความยุติธรรมแบบเสรีนิยมคลาสสิก เชื่อว่าความยุติธรรมคือการปกป้องสิทธิเหนือร่างกายและทรัพย์สินของปัจเจก ฝ่ายดังกล่าวจะต่อต้านนโยบายสวัสดิการในทุกรูปแบบ โดยชี้ว่าการที่รัฐบังคับเก็บภาษีไปทำนโยบายเศรษฐกิจอย่างสวัสดิการนั้นเทียบได้กับ ‘การปล้น’ เพราะโดยแก่นแล้วกิจกรรมดังกล่าวคือการบังคับเก็บจากคนที่ไม่อยากจ่าย (เขาบอกว่าถ้าไม่เชื่อลองไม่จ่ายภาษี รัฐจะ ‘ชักปืนขู่’ ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่มาเตือนและลงโทษ) ต่อให้จุดหมายของการใช้เงินจะดี แต่สุดท้ายก็ยังเป็นการปล้นซึ่งผิดอยู่ดี
ในทางกลับกัน ฝ่ายที่เชื่อว่าความยุติธรรมได้แก่การประกันการแจกจ่ายการครอบครองทรัพยากรอย่างเท่าเทียมจะมีท่าทีต่อนโยบายตรงข้ามกับฝ่ายแรก ตัวอย่างที่สุดขั้วเช่นแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่เชื่อว่าทุกคนควรเป็นเจ้าของทุกอย่างร่วมกันตลอดมาและตลอดไป หรือที่เอียงซ้ายน้อยกว่านั้นก็คือแนวคิดเช่นในสมัยก่อตั้งอเมริกาของกลุ่มนักคิดสำคัญที่นำโดยโธมัส เพน ซึ่งถกเถียงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมสิทธิโดยธรรมชาติใน ‘การได้รับมอบ’ (เอาไปใช้จ่ายอะไรก็ได้) ทรัพยากรและทรัพย์สินจำนวนเท่าเทียมกับประชาชนในรุ่นเดียวกัน
หากถือฐานคิดหลังนี้ การรับเงินแจกจากรัฐก็เป็นสิทธิ ที่สำคัญคือเมื่อเป็นสิทธิโดยธรรมชาติแล้ว ก็แปลว่าต้องแจกทุกคน แจกอย่างไม่มีเงื่อนไข และแจกโดยไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ควรมีใครมีอำนาจคัดกรองหรือตั้งคำถาม ไม่มีปัญหาเรื่องคุณพ่อรู้ดี ตัวอย่างแนวคิดดังกล่าวในปัจจุบันก็เช่นข้อเสนอของแอน อัลสต็อตและบรูซ แอ็กเคอร์แมน สองนักกฎหมายชื่อดังในอเมริกาที่เสนอโนยบายบนฐานคิดแบบเพน คือให้รัฐจ่ายเงินให้เปล่าก้อนใหญ่แก่ประชาชนทุกคนเมื่อบรรลุนิติภาวะ (universal basic capital) และเคยได้รับมอบหมายให้ริเริ่มนโยบายดังกล่าวบางส่วนในอังกฤษ[5] หรือหากประนีประนอมลงมาบ้างก็คือการตั้งเงื่อนไขบางๆ ว่าจะแจกเงินเป็นรายเดือนในลักษณะการประกันรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (universal basic income) ที่หลายฝ่ายเริ่มพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แทนที่จะจ่ายก้อนใหญ่รวดเดียว บางฝ่ายสนับสนุนการตั้งเงื่อนไขทยอยให้เงินดังกล่าวด้วยเหตุผลว่าต้องการป้องกันการใช้เงินที่ได้หมดไปอย่างสูญเปล่าโดยไม่มีโอกาสกลับตัว
หากเราวางทั้งสองมุมมองไว้ที่ฝั่งขวาและซ้ายตามลำดับ ข้อเสนอของรัฐบาลอักฤษคราวนี้อยู่บนฐานคิดที่ประนีประนอมในรายละเอียดกว่าทั้งสองฝั่ง คือไม่ใช่แจกทุกคนหรือไม่แจกเลย แต่เลือกจ่ายเฉพาะกลุ่ม ในแง่หนึ่งนโยบายดังกล่าวอาจมาจากข้อจำกัดทางทรัพยากรและการเมือง ในอีกแง่หนึ่งฐานคิดความยุติธรรมบางประการก็สามารถประยุกต์ใช้ให้ความชอบธรรมกับการช่วยเหลือเฉพาะบุคคลเช่นนี้ เช่นแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์ที่อยู่ในสภาวะคับขันมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ ฐานคิดดังกล่าวให้ความชอบธรรมกับการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือบางฝ่ายอาจมองว่านโยบายเป็นเครื่องมือ (instrumental) ในการบรรลุผลประโยชน์ส่วนรวม เช่น การลดความยากจนมวลรวม การลดอาชญากรรม
หากพิจารณาจากท่าทีของรัฐบาลดูจะเอนเอียงสอดคล้องกับแนวคิดสุดท้ายมากที่สุด ฐานคิดที่มุ่งผลลัพธ์การช่วยเหลือหรือผลประโยชน์ส่วนรวมเช่นนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในแง่ข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าการออกแบบนโยบายแบบใดจะได้ประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุดต่อเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งในบริบทของนโยบายแจกเงินคนไร้บ้าน ‘ความเหมาะสม’ ก็ได้แก่ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการลดความยากจนและปัญหาสังคม และแนวทางการค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดก็ได้แก่การทดลอง
ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ vs ‘คุณพ่อรู้ดี’
การบรรลุเป้าหมายแก้ความยากจนข้างต้นอาจเรียกร้องให้รัฐบาลต้องออกแบบกฎเกณฑ์เงื่อนไขการรับเงินในลักษณะที่ผลักดันผู้รับเงินให้ใช้เงินในทางที่เหมาะสม ในทางกลับกันการออกแบบกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนก็อาจสร้างปัญหามุมกลับ คือเอื้อให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติสามารถหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หรือบั่นทอนจิตใจผู้รับเงิน นอกจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขในการแจกเงินถูกวิจารณ์ว่าเป็นวิธีคิดแบบ ‘คุณพ่อรู้ดี’ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ข้อกังวลเหล่านี้เปิดให้เห็นประเด็นการให้เหตุผลและรายละเอียดการออกแบบเชิงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษที่น่าสนใจ
กล่าวคือรัฐบาลตัดสินใจว่าจะตั้งเงื่อนไขว่า ‘ไม่โอนเงินเข้ากระเป๋าคนไร้บ้านโดยตรง’ แต่เจ้าหน้าที่หน้างานเป็นผู้ดูแลคนเหล่านี้แทน ในขณะเดียวกันก็ให้ผู้รับเงินเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะใช้เงินเมื่อไหร่ อย่างไร ถ้าจะใช้ก็ไปเบิกจากผู้ดูแลที่ว่า
ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ เป็นไปได้ว่าในทางหนึ่งนโยบายนี้อาจช่วยคัดกรองปัญหาเรื่องการใช้จ่ายไม่เหมาะสม เพราะเมื่อคนไร้บ้านมาเบิกเงิน แน่นอนว่าในโลกจริงคนจ่ายก็คงมีการตั้งคำถามและให้คำปรึกษาในกระบวนการหน้างาน
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลให้เหตุผลในการตั้งเงื่อนไขดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขเพราะไม่ไว้ใจ แต่ตั้งไปเพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิค คือถ้าโอนเงินเข้ากระเป๋าผู้รับโดยตรง คนเหล่านี้จะกลายเป็น ‘ผู้มีรายได้’ ตามนิยามทางกฎหมาย ทำให้พวกเขาสูญเสียสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือบางอย่างที่เคยมีมาแต่เดิมในฐานะผู้ไม่มีรายได้
และเช่นกัน ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ เหตุผลดังกล่าวตั้งเงื่อนไขการให้เงิน โดยหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาเรื่องคุณพ่อรู้ดีและการตีตราไม่ไว้ใจคนไร้บ้านได้ไม่เลว
↑1 | The Guardian, Homeless people to be given cash in first major UK trial to reduce poverty |
---|---|
↑2 | BBC, Briefing: Housing |
↑3 | Ibid. |
↑4 | Ibid. |
↑5 | Bruce Ackerman and Anne Alstott, The Stakeholder Society |